จากการผนึกกำลังอันน่าจดจำที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2021 TAG Heuer และ Porsche ร่วมกันเป็นหุ้นส่วนระดับโลก เพื่อเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์และคุณค่าในคุณภาพ นวัตกรรม และศักดิ์ศรี ซึ่งได้จับมือกันอย่างภาคภูมิใจในการนำเสนอนาฬิการุ่นใหม่อย่าง TAG Heuer Carrera Chronosprint x Porsche ที่มาพร้อมกับดีไซน์ 2 รูปแบบ การเปิดตัวครั้งนี้นับว่าเป็นการแสดงความเคารพในช่วงวาระแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปีของคอลเล็กชั่น TAG Heuer Carrera และ Porsche 911 (เดิมถูกเรียกว่า 901) การผนวกรวมองค์ประกอบต่าง ๆ ทั้งจากนาฬิกาและรถยนต์ ทำให้ออกมาเป็นนาฬิกาเหล่านี้ ที่จะมอบประสบการณ์การบอกเวลาที่ไม่มีใครเทียบได้ โดยการเผยโฉมครั้งใหม่นี้ รวมถึงการนำความเร็วและความแม่นยำมาบรรจบกัน ได้เป็นการจารึกถึงแก่นแท้ของความสำเร็จที่น่าประทับใจของ Porsche 901 รุ่นดั้งเดิม จากอัตราเร่งถึง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 9.1 วินาที นับเป็นก้าวสำคัญที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ประวัติศาสตร์ของ 911 ได้รับการเปิดเผยมา พลังแห่งความแม่นยำ นับตั้งแต่การเปิดตัวอย่างทลายขีดจำกัดในปี 1963 Porsche
Blancpain X Swatch “Scuba Fifty” เผยโฉมแล้วสำหรับการ collaboration ครั้งยิ่งใหญ่ของสองแบรนด์ในเครือ Swatch Group หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงจาก Omega x Swatch เรียกว่าเป็น Blancpain Fifty Fathoms ในรูปแบบของ Swatch Blancpain X Swatch สดุดีนาฬิการุ่น Fifty Fathoms นาฬิกาเพื่อนักดำน้ำเรือนแรกที่แท้จริง นาฬิการุ่นนี้รังสรรค์โดยนักดำน้ำลึกที่มีใจรักเมื่อ 70 ปีที่แล้ว นับเป็นการปฏิวัติวงการการทำนาฬิกา ด้วยการเป็นเรือนแรกที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งหมดของนักสำรวจใต้น้ำได้สำเร็จ นาฬิการะบบจักรกลทั้งห้ารุ่นในคอลเลกชัน Bioceramic Scuba Fifty Fathoms คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของตำนานแห่งวงการการทำนาฬิกาแบบสวิสอย่างครบถ้วน พร้อมหยิบยืมจุดเด่นของนาฬิกา SCUBA ตระกูลนาฬิกาเพื่อการดำน้ำของเราเอง นาฬิกาแต่ละรุ่น ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากใต้ท้องทะเลลึก เป็นการสดุดีมหาสมุทรทั้งห้า รวมถึงสิ่งมีชีวิตอันสวยงาม สีสันสดใสอย่างทากทะเล (nudibranch) ที่อาศัยอยู่ในใต้ทะเลลึก โดยมีทั้งหมด 5 สีจาก 5 ocean-themed The Atlantic
ใหม่ล่ามาแรง กับออโตเมติกสกู้ตเตอร์เซกเม้นต์ใหม่ล่าสุดของ Honda โดย ไทยฮอนด้า ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทย ได้เปิดตัวรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด New Honda Giorno+ เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อวันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่ง New Honda Giorno+ ได้ถูกสร้างสรรค์พัฒนาต่อยอดแรงบันดาลใจจากตัวแทนความเท่ของวัยรุ่นยุค 90s อย่าง Giorno 50cc ปี 1992 สู่ภาษางานออกแบบใหม่ผสานอดีตและอนาคตเอาไว้ในแนวทางโมเดิร์นคลาสสิก ลงตัวกับงานดีไซน์ที่แมทช์กันได้กับทุกลุค ปลุกเร้าจิตวิญญาณ High Fashion Scooter ด้วยชุดไฟหน้า – ไฟท้าย LED ที่โดดเด่น การออกแบบของ New Honda Giorno+ได้เลือกใช้เส้นสาย Horizontal Line สื่อถึงความล้ำสมัย ผสานกับเส้นโค้งมนที่สื่อถึงความเรียบง่าย คลาสสิก พร้อมพื้นผิว รวมถึงสีสันที่ดูพรีเมียมสวยงาม พร้อมให้พวกเราได้บ่งบอกสไตล์ที่แตกต่างผ่านสีสันทั้ง 6 สี ไม่ว่าจะเป็น ขาว / เทา
ว่ากันว่ารถที่ใช้ สามารถบ่งบอกตัวตน และไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ออกมาได้เป็นอย่างดี และ New Honda Giorno+ คือการเปิดมิติใหม่ด้วยนิยามความเป็น High Fashion Scooter ที่พร้อมสะท้อนทุกสไตล์ให้ทะลุระดับ New High ยิ่งกว่าเดิม เรียกได้ว่าเปิดตัวกันไปแบบสด ๆ ร้อน เมื่อวานนี้ กับออโตเมติกสกู้ตเตอร์รุ่นล่าสุด และถือเป็นเซกเมนต์ใหม่สุดของ Honda กับ Giorno+ ที่ถูกสร้างสรรค์พัฒนาต่อยอดแรงบันดาลใจจากตัวแทนความเท่ของวัยรุ่นยุค 90s อย่าง Giorno 50cc ปี 1992 สู่ภาษางานออกแบบใหม่ผสานอดีตและอนาคตเอาไว้ในแนวทางโมเดิร์นคลาสสิก ลงตัวกับงานดีไซน์ที่แมทช์กันได้กับทุกลุค ปลุกเร้าจิตวิญญาณ High Fashion Scooter ด้วยชุดไฟหน้า – ไฟท้าย LED ที่โดดเด่น และการเลือกใช้เส้นสาย Horizontal Line สื่อถึงความล้ำสมัย ผสานกับเส้นโค้งมนที่สื่อถึงความเรียบง่าย คลาสสิก พร้อมพื้นผิว รวมถึงสีสันที่ดูพรีเมียมสวยงาม พร้อมให้พวกเราได้บ่งบอกสไตล์ที่แตกต่างผ่านสีสันทั้ง 6 สี ไม่ว่าจะเป็น ขาว
การกลับมาอีกครั้งของ MB&F HM9 อภิมหาเรือนเวลาที่ถูกเรียกขานว่าเป็นหนึ่งในกลไกที่สวยงามที่สุดในโลก บรรจุในเคสใสสามชิ้นผลิตจาก sapphire crystal ขนาด 57mm x 47mm x 23mm สามารถรับชมการทำงานของตัวเครื่องได้จากทุกมุม มีสองสีใหม่คือ หน้าปัด PVD-coated สีฟ้าในกรอบ white gold และ PVD-coated สีเขียวในกรอบ yellow gold ราคาเรือนละ 16 ล้านบาท ผลิตเพียงสีละ 5 เรือนในโลก MB&F HM9 “Sapphire Vision” Diameter: 57mm x 47mm Caliber: In-house movement Functions: Hours, minutes Power Reserve: 45 hours Winding: Manual Water Resistance: 30 meters
เปิดรับความสดใส ด้วยสีสันแห่งฤดูร้อนจากทางฟากฝั่งยุโรปที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา กับ Maurice Lacroix AIKON Automatic Limited Summer Edition เรือนเวลาคอลเลกชั่นพิเศษ ที่มีเพียงรุ่นละ 888 เรือนทั่วโลกเท่านั้น จากความนิยมของคอลเลกชั่นนาฬิกา AIKON ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนาฬิการุ่นไอคอนิกแห่งตำนานยุค 90s อย่าง Calypso ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2016 สู่การต่อยอดตำนานที่เร้าใจยิ่งกว่า ด้วยเฉดสีที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน กับสีสันแห่งฤดูร้อนที่ถูกถ่ายทอดลงบนหน้าปัด และสายนาฬิกาแบบ Integrated ของ AIKON Automatic Limited Summer Edition รุ่นล่าสุด ที่สะท้อนจิตวิญญาณนาฬิกาสปอร์ตผ่านตัวเรือนทรงกลมพร้อมหน้าปัดตกแต่งลวดลาย Clous de Paris แบบด้าน ขับเน้นเสน่ห์ของฤดูร้อนผ่านแสงเงาของสีสันที่งดงามในทุกมุมมอง ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ทั้งการใช้ชีวิตแบบ Urban ในเมืองใหญ่ หรือการสวมใส่พักผ่อนในวันสบาย ๆ Maurice Lacroix AIKON Automatic Limited Summer Edition พร้อมให้ทุกคนสัมผัสความสดใส กับเฉดสีที่มีชีวิตชีวาของฤดูร้อน ผ่านตัวเรือน
นาฬิกา แอร์เมส เอช08 ถูกรังสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 2021 ถ่ายทอดถึงการผสมผสานระหว่างหลักการอันเข้มแข็งเข้ากับมาตรฐานระดับสูง ที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นและลื่นไหลผ่านสัญลักษณ์แห่งผลงานออกแบบอันร่วมสมัย พร้อมด้วยสไตล์อันทรงพลังนี้ได้สร้างรูปเป็นดั่งวัตถุที่ถ่ายทอดไว้ทั้งหมดระหว่างความสมดุลและความตรงข้ามกัน ธรรมชาติอันมีมิติที่หลากหลายจึงได้ถูกสะท้อนผ่านการนำกับรูปทรงและวัสดุมาสร้างสรรค์ ด้วยความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันในรายละเอียดและทักษะอันแม่นยำซึ่งผนึกรวมกันสู่เอกลักษณ์หนึ่งเดียวของความสปอร์ตและความสง่างาม พร้อมทั้งยังมอบพลังอันมีชีวิตชีวาและสัมผัสแห่งอารมณ์ความรู้สึกของเส้นสาย เผยให้เห็นถึงสุนทรียะความสวยงามเฉพาะหนึ่งเดียว โดยถ่ายทอดบนหน้าปัดวงกลมพร้อมทั้งฟอนต์สไตล์ดั้งเดิม และหลอมรวมภายในตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมกับขอบมนอันแสนนุ่มนวล ออกแบบโดย ฟิลิปป์ เดโลตัล (Philippe Delhotal) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แห่ง แอร์เมส ออร์โลเฌอร์ (Hermès Horloger) นาฬิกา แอร์เมส เอช08 คือผลลัพธ์ของการผสมผสานระหว่างพื้นผิวและแร่ กับเฉดสีเข้มและสัมผัสที่เต็มไปด้วยสีสัน ผสานโดยเส้นสายเรขาคณิตที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ร่วมกับสไตล์การตกแต่งทั้งแบบด้านและเงาวาว เอกลักษณ์อันโดดเด่นของผลงานล่าสุดนี้ยังได้ต้อนรับความหลากมิติแห่งเสน่ห์ของเฉดสีอันเรืองรอง ทั้งในโทนสีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน หรือสีส้ม ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมมน หรือคุชชัน (cushion-shaped) ร่วมถ่ายทอดความทันสมัยที่ได้มาจากบล็อกของคอมโพสิต วัสดุที่มีน้ำหนักเบา แต่ยังคงความแข็งแกร่งทนทานสูง พร้อมทั้งภาพลักษณ์เฉพาะหนึ่งเดียว โดยประกอบด้วยกลาสไฟเบอร์อะลูมิไนซ์ถักและผงชนวน ซึ่งให้เม็ดสีธรรมชาติ มอบแสงสะท้อนสีเงินอันลุ่มลึก ตัดกับขอบตัวเรือนและเม็ดมะยมเซรามิกสีดำโดดเด่น สร้างสรรค์เป็นมิติของแสงและเฉดสีที่ขับเน้นมิติอันลุ่มลึกของหน้าปัดสีคอนกรีต พร้อมทั้งตกแต่งแบบเกรนอย่างประณีตละเอียดอ่อน รวมถึงยังมอบการอ่านค่าเวลาได้อย่างชัดเจนแม่นยำโดยเข็มชี้และตัวเลขอารบิกแบบนำมาติดสีดำเรืองแสง สัมผัสของเฉดสีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน หรือสีส้มบนขอบผนึกของกระจกหน้าปัดนาฬิกา
บอกเลยว่าอย่าง Hype งานนี้ถูกใจทั้งเกมเมอร์ และเหล่า Sneaker อย่างแน่นอน กับ Onitsuka Tiger x Street Fighter 6 งาน Collab ระหว่าง 2 แบรนด์ตัวพ่อเแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง Onitsuka Tiger และ CAPCOM Co., Ltd. ที่ร่วมมือกันเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยครั้งนี้ได้มีการสร้างสรรค์รองเท้ารุ่นใหม่อย่าง ENDACTUS™ ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเกม Street Fighter 6 ภาคใหม่ล่าสุดที่วางขายไปเมื่อ 2 มิถุนายน ที่ผ่านมา ดีเทลของรองเท้าจัดเต็มกลิ่นอายของตำนานเกมต่อสู้ชื่อดัง มีการตกแต่งด้วยโลโก้ Onitsuka Tiger ที่ส้นเท้าด้านซ้าย และโลโก้ Street Fighter ที่ส้นเท้าด้านขวา พร้อม Packaging อย่างกล่องรองเท้าและถุงช็อปปิ้งที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากโลโก้ Street Fighter 6 เช่นกัน นอกจากนี้
กว่าจะขึ้นแท่นตำนานเจ้าสมุทรของ OMEGA ในทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นของ Seamaster ต้องย้อนไปในปี 1932 ซึ่ง ณ ขณะนั้นชื่อของ Seamaster ยังไม่ถูกกล่าวขาน แต่เป็นปีที่โลกได้รู้จักกับบรรพบุรุษของ Seamaster อย่าง OMEGA “Marine” เรือนเวลาที่มาจากฝันอันทะเยอทะยานในการสร้างนาฬิกาที่มีเทคโนโลยีสำหรับใช้งานใต้น้ำ เพียบพร้อมไปด้วยนวัตกรรมที่สามารถนำนักสำรวจให้ดิ่งลึกไปยังโลกเบื้องล่างที่ไม่มีใครรู้จัก นอกจากนี้ “The Marine” ยังครองตำแหน่งนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกของโลกที่วางจำหน่ายให้แก่พลเรือน ถือเป็นการปูเส้นทางให้กับอนาคตของนาฬิกาดำน้ำ ก่อนที่ OMEGA จะให้กำเนิด Seamaster ในปี 1948 หลังจากผ่านมา 16 ปี ก็ได้เวลาที่ประวัติศาสตร์ของ Seamaster เริ่มต้นจารึกเรื่องราวปฐมบท เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี 1945 ทาง OMEGA ได้ใช้เวลาหลังจากนั้นร่วม 3 ปี ในการนำความรู้ทางการทหารจากประสบการณ์การสนับสนุนเครื่องบอกเวลาให้เหล่านักบินของกองทัพอากาศ และราชนาวีแห่งสหราชอาณาจักรมากกว่า 110,000 เรือน มาประยุกต์ให้เป็นคอลเลกชั่นเรือนเวลาสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน และผลลัพธ์ที่ได้คือนาฬิกา OMEGA Seamaster ซึ่งเปิดตัวในปี 1948
เมื่ออาดิดาส ออริจินอลส์ เปิดประตูสู่ความหรูหราอีกระดับ นำรองเท้าสุดคลาสสิกอย่าง STAN SMITH จับคู่กับ BLUE VERSION คอลเลกชันเสื้อผ้าสุดพรีเมียมอีกครั้งในซีซันใหม่ ที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อตอบโจทย์ทุกการสวมใส่ ตั้งแต่ถนนคอนกรีตในเมืองไปจนถึงพื้นดินย่านชนบท พิสูจน์ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของอาดิดาส ที่พร้อมปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งอนาคตอยู่เสมอ เพื่อตอกย้ำความคลาสสิกอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของรองเท้าโมเดลฮิตตลอดกาลอย่าง STAN SMITH รองเท้ารุ่นนี้จึงได้ถูกนำมาพัฒนาและปรับโฉมใหม่อีกครั้งในคอลเลกชัน FW23 STAN SMITH โดยคู่แรก STAN SMITH CS โดดเด่นด้วยโทนสีที่แตกต่างจากปกติและร่องรอยการตัดเย็บสุดประณีต ในขณะเดียวกัน STAN SMITH LUX ถูกยกระดับด้วยวัสดุและดีเทลสุดพรีเมียม โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์และความซิกเนเจอร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้าเทนนิสไว้ทั้งหมด ตอกย้ำการเป็นแฟชันไอเทมชิ้นสำคัญของรองเท้า STAN SMITH ที่กลับมาโลดแล่นอย่างมีชีวิตชีวาสำหรับคนรุ่นใหม่ สำหรับเสื้อผ้าในคอลเลกชัน BLUE VERSION ได้ผสมสานสุนทรียะสไตล์เรโทรกับกิมมิคในรายละเอียด โดยมีสินค้าหลักในคอลเลกชันเป็นบอดี้สูท เสื้อและกางเกงแทรค Bluebird Montreal ที่เข้าชุดกัน กระเป๋าดัฟเฟิล รวมถึง หมวก เสื้อ และแอกเซสซอรี่อีกมากมาย การเปิดตัว FW23 STAN SMITH STYLED