รังสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 2021 นาฬิกา แอร์เมส เอช08 คือตัวแทนของการผสมผสานระหว่างหลักการอันเข้มแข็งเข้ากับมาตรฐานระดับสูงที่หลอมรวมไว้ด้วยความหนักแน่นและลื่นไหล โดยสัญลักษณ์งานออกแบบอันร่วมสมัยซึ่งสะท้อนถึงสไตล์อันทรงพลังนี้ได้สร้างรูปเป็นวัตถุที่ถ่ายทอดไว้ทั้งหมดด้วยความสมดุลและความตรงข้ามกัน ธรรมชาติอันมีมิติที่หลากหลายจึงได้ถูกแสดงออกผ่านการเล่นกับรูปทรงและวัสดุ ด้วยความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันในรายละเอียดและกระบวนการสร้างสรรค์อันแม่นยำ ที่ได้สร้างรูปเป็นภาพลักษณ์ที่มีทั้งความสปอร์ตและสง่างาม ด้วยพลังอันมีชีวิตชีวาและสัมผัสแห่งอารมณ์ความรู้สึกของเส้นสายซึ่งเผยให้เห็นถึงสุนทรียะความสวยงามเฉพาะหนึ่งเดียว โดยถ่ายทอดบนหน้าปัดวงกลมพร้อมทั้งฟอนต์สไตล์ดั้งเดิม และหลอมรวมไว้ภายในตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมกับขอบมนอันแสนนุ่มนวล ออกแบบขึ้นโดย ฟิลิปป์ เดโลตัล (Philippe Delhotal) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แห่ง แอร์เมส ออร์โลเฌอร์ (Hermès Horloger) นาฬิกา แอร์เมส เอช08 คือผลลัพธ์ของการผสมผสานระหว่างพื้นผิวและแร่กับเหลือบสีเข้มและสัมผัสที่เต็มไปด้วยสีสันผสานโดยเส้นสายที่ไม่อัดแน่นจนเกินไปและโดดเด่นด้วยรูปทรงเรขาคณิตอันสง่างามร่วมไปกับรูปลักษณ์ของทั้งสไตล์แบบด้านหรือเงาวาว โดยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของนาฬิการุ่นล่าสุดนี้ในวันนี้ยังได้เสริมความรุ่มรวยแห่งเสน่ห์ด้วยการผสมผสานระหว่างทองและไทเทเนียม รังสรรค์ขึ้นภายใต้โลหะผสมอันแข็งแรงและน้ำหนักเบา กับตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมมนหรือคุชชัน (cushion-shaped) ของนาฬิกา แอร์เมส เอช08 ที่ประกอบด้วยฝาหลังตัวเรือนทำจากไทเทเนียม เคลือบดีแอลซี (DLC) สีดำ ส่วนด้านบนของตัวเรือนชิ้นกลางทำจากโรสโกลด์ การเล่นบนความแตกต่างกันนี้ยังเสริมเสน่ห์ยิ่งขึ้นด้วยขอบตัวเรือนและเม็ดมะยมเซรามิกสีดำซึ่งสลับระหว่างการตกแต่งแบบขัดด้านซาตินและขัดเงา ขณะที่ตัวเรือนแบบทูโทนได้ฉายความโดดเด่นให้กับมิติอันลุ่มลึกของหน้าปัดตกแต่งแบบเกรนอย่างประณีตในเฉดสีดำ ซึ่งตัดกับเข็มชี้ทองเรืองแสงและตัวเลขอารบิกทอง มอบเป็นความชัดเจนอันสมบูรณ์แบบ ขณะที่ดิสก์นาทีกลางและเข็มวินาทีเคลือบด้วยนิกเกิลสีดำ พร้อมทั้งการแสดงวันที่ภายใต้ช่องหน้าต่างทรงคุชชัน ณ ตำแหน่งระหว่าง 4 และ 5 นาฬิกา ถ่ายทอดซึ่งการแสดงอันสมดุล สวยงาม และอ่านค่าได้อย่างชัดเจน
เชื่อว่าชาว UNLOCKMEN หลายคนต่างเติบโตมา พร้อมความสุขบนหน้าจอ ที่เต็มไปด้วยฉากชวนตื่นตาตื่นใจระหว่างรับชมการต่อสู้ของฮีโร่ร่างยักษ์ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์โลกจากเหล่าสัตว์ประหลาดไคจูตัวร้าย พร้อมเอาใจช่วยด้วยความลุ้นระทึกกับเงื่อนไขเวลาจำกัดของพระเอกขณะที่อยู่ในร่างยอดมนุษย์นามว่า Ultraseven โดยเรื่องราวของ Ultraseven นักรบผู้ผดุงความยุติธรรมจากดวงดาวแห่งแสงใน Nebular M78 ที่ออกอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1967 – 1968 ได้กลายเป็นตำนานสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 55 ปี เช่นเดียวกันกับเรือนเวลา SEIKO 5 SPORTS ซึ่งยืนหยัดในฐานะ Automatic Day-Date Watch รุ่นแรกของญี่ปุ่น ที่มาพร้อมราคาคุ้มค่า คุณภาพน่าเชื่อถือ และดีไซน์ที่ถูกพัฒนาให้ร่วมสมัยสำหรับหนุ่มสาวหัวใจสปอร์ตมาเป็นเวลา 55 ปี นับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 1968 ด้วยช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดิบพอดี ทำให้ยอดมนุษย์ Ultraseven และเรือนเวลาชั้นยอดอย่าง SEIKO 5 SPORTS มีโอกาสได้โคจรมาเจอกันในคอลเลกชั่น SEIKO 5 SPORTS 55th ANNIVERSARY ULTRASEVEN LIMITED EDITION เรือนเวลารุ่นพิเศษ ตัวแทนการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 55 ปีของทั้งคู่ ที่บอกเลยว่าแฟน
ย้อนไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 1939 และจบลงในปี 1945 ท่ามกลางชีวิตหลังสงครามเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง ได้มีนวัตกรรมหลายอย่างที่เกิดขึ้นจากช่วงเวลายากลำบากที่สุดของมวลมนุษยชาติ หลายสิ่งถูกคิดค้นขึ้นเพื่อฟื้นฟูความสะดวกในการใช้ชีวิตด้วยเทคโนโลยีและสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ บางอย่างเกิดขึ้นและดับไป บางอย่างก็ได้กลายเป็น Culture ฝังรากลึกลงไปในวิถีชีวิตของมนุษย์ หนึ่งในนั้นคือ Lambretta แบรนด์ scooter สัญชาติ Italian จากเมือง Milan ที่มีอายุรวมมากถึง 75 ปี นับตั้งแต่ Lambretta เผยโฉมโมเดลแรกสุดในปี 1947 ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ Scooter ที่มีประวัติความยิ่งใหญ่สืบทอดมาอย่างยาวนาน มีโมเดลระดับ Iconic ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ post-war Italian design และยังเป็นหมุดหมายบันทึกประวัติศาสตร์สำคัญของโลกแห่ง Scooter มากมายหลายรุ่น ก่อนจะพัฒนามาสู่ Lambretta รุ่นใหม่ ๆ ที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน วันนี้เราจะพาไปย้อนดูเรื่องราวในอดีตที่สำคัญตั้งแต่ก่อนจะมีคำว่า Lambretta ผ่าน timeline ของ Scooter รุ่นต่าง ๆ ที่น่าสนใจ
“หลายคนอาจมองว่าเราเป็นคนทำงาน Street Art ที่ประสบความสำเร็จ แต่พูดตรง ๆ คือ เราไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงจุดนั้นหรือเปล่า แค่รู้สึกว่าถ้าเรามีโอกาส ได้รับโอกาสอะไรมา เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด งานมันต้องพัฒนาเรื่อย ๆ เราอยากรู้สึกตื่นเต้นกับงานที่ทำ ณ ปัจจุบันให้มากที่สุด อยากรู้สึกเหมือนตอนทำงานกำแพงแรก ที่เราผ่านอะไรมามากมายจนสุดท้ายก็ทำสำเร็จ เราว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลย” Quote ข้างต้นคือมุมมองการสร้างงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Passion จากปากของชายที่เรา และใครอีกหลายคนทั้งในไทยรวมถึงต่างประเทศ ต่างให้การยอมรับว่าเขาคือหนึ่งในศิลปินเบอร์ต้น ๆ ที่นำพาผลงาน Street Art ไทย ให้ดังไกลถึงต่างแดน แม้เจ้าตัวจะไม่มั่นใจว่าได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางของความสำเร็จแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่าผลงานมากมายของ ‘รักกิจ สถาพรวจนา’ หรือ ที่หลายคนรู้จักในชื่อ RUKKIT น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว จากจุดเริ่มต้นของเด็กชายธรรมดาที่มีใจรักในการวาดรูป แต่การคว้ารางวัลประกวดวาดภาพระดับอนุบาลมาครอง กลับกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้เด็กชายรักกิจ มุ่งมั่นในเส้นทางศิลปะต่อเนื่องและเริ่มต้นทำงานประจำในสาขากราฟิกดีไซน์เนอร์ จนกระทั่งสิ่งที่เรียกว่า “โอกาส” ที่ถูกหยิบยื่นให้ได้เปิดเส้นทางใหม่ให้ผู้ชายคนนี้ได้รู้จักกับงาน Street Art และใช้ชีวิตกับศิลปะแขนงนี้มาจนถึงปัจจุบัน “หลังจากจบมหาวิทยาลัยก็ไปทำงานกราฟิกดีไซน์ก่อน จากนั้นมีรุ่นพี่ชวนไปทำงาน Street Art เป็นงานพ่นกำแพงที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพฯ (BACC) เริ่มทำครั้งแรกก็รู้สึกชอบเลย
ในปี 1880 มีคนพบร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวนิรนามคนนึงลอยอยู่ในแม่น้ำ Seine เมือง Paris ไม่มีเบาะแสว่าเธอเป็นใคร คนงานห้องเก็บศพจึงปั้นใบหน้าของเธอ (Death mask) หรือรูปปั้นส่วนศีรษะที่หล่อด้วยปูนปล๊าสเตอร์เพื่อตามหาคนรู้จัก แม้สุดท้ายจะไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้องแสดงตัว แต่หลายคนกลับรู้สึกหลงใหลในใบหน้าที่สงบและเปื้อนยิ้มของเธอ กลายเป็นรูปปั้นที่ถูกใช้ตกแต่งบ้านหรือร้านค้าเพื่อความสวยงามไปทั่วยุโรป จนหลายคนเรียกใบหน้าของเธอว่า “Mona Lisa of The Seine” ใบหน้าของเธอยังถูกใช้เป็นแรงบันดาลใจในการแต่งนิยายมากมายหลายเรื่อง เช่น 1900 novella The Worshipper of the Image by Richard Le Gallienne หรือภาพยนตร์เยอรมันปี 1936 ชื่อ Die Unbekannte ที่ใช้เรื่องราวการเสียชีวิตของเธอในการแต่งเนื้อเรื่องขึ้น เวลาผ่านไปถึงปี 1950 เมื่อหมอสองคนคือ James Elam และ Peter Safar ค้นพบเทคนิคการทำ CPR แบบ mouth-to-mouth และอยากเผยแพร่เทคนิคที่มีประโยชน์นี้ให้คนอื่นได้ฝึกฝน จึงติดต่อไปที่บริษัทผลิตของเล่น Asmund Laerdal
อีกครั้งกับความร่วมมือ TAG Heuer x Nintendo ทั้งสองได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์เรือนเวลาสองรุ่นสุด limited ในรูปแบบของโครโนกราฟ TAG Heuer Formula 1 สำหรับนักสะสมเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองไปกับ Mario Kart แฟนๆที่หลงใหลความสดใสและกล้าหาญของ Super Mario จะได้เห็นตัวละครโปรดของพวกเขาโลดแล่นอีกครั้ง คอลเล็กชั่นที่เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันอันเป็นสัญลักษณ์ของ TAG Heuer และการออกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งสองสิ่งเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีม TAG Heuer และ Nintendo เพื่อปรับแต่งในทุกรายละเอียด โดยทั้งสองแบรนด์ได้ร่วมแบ่งปันแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งคู่ ในคอลเลคชัน TAG Heuer Formula 1 และชุด Mario Kart ได้แก่ อะดรีนาลีน ความเร็ว การแข่งขัน ไปจนถึงชัยชนะ “เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะเปิดเผยสองผลงานล่าสุดที่เกิดจากความร่วมมือของเรากับทาง Nintendo “TAG Heuer Formula 1 X Mario Kart Limited Editions” (Chronograph และ Chronograph Tourbillon) ผสมผสานไปด้วยการเล่นสนุกๆ ซึ่งจะทำให้แฟน ๆ ของ Mario Kart ทั่วโลกพึงพอใจด้วยการจับเวลาที่ละเอียดและมีประสิทธิภาพสูง” Frédéric Arnault
หากเอ่ยถึงชื่อ Speedmaster หนึ่งในซีรีส์นาฬิการะดับไอคอนิกจาก OMEGA เชื่อว่าบรรดาผู้หลงใหลในเรือนเวลาส่วนใหญ่คงมีภาพจำถึงเรื่องราวการประกาศศักดาให้โลกจารึกในฐานะ Moonwatch นาฬิกาที่ถูกสวมโดยนักบินอวกาศ Neil Armstrong และ Buzz Aldrin ผู้ฝากรอยเท้าเล็ก ๆ ที่สุดแสนจะสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติลงบนพื้นผิวดวงจันทร์ในเดือนกรกฎาคม ปี 1969 แต่สำหรับสาวก Speedmaster อีกจำนวนไม่น้อยคงรู้กันดีว่า เดิมทีนาฬิกาเรือนนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อพิชิตดวงจันทร์ หากแต่ชื่อ Speedmaster ยังประกาศก้องถึง DNA แห่งความเร็วที่ชัดเจนเข้มข้นจนแทบไม่ต้องเสียเวลาตีความ นับย้อนไปตั้งแต่ปี 1957 ช่วงเวลาที่ปฐมบทของเรื่องราวแห่ง Speedmaster จาก OMEGA ได้เริ่มต้นด้วยเรือนเวลาที่มาพร้อมเข็มบอกทิศทางแบบ Broad Arrow รูปทรงหัวลูกศรสุดโดดเด่น และยังเป็นนาฬิกาข้อมือ Chronograph แบบแรกที่นำสเกล Tachymeter หรือมาตรวัดความเร็วมาไว้บนขอบตัวเรือน เพื่อจุดประสงค์สำหรับใช้งานในวงการ Motorsport เรียกได้ว่าก่อนจะไปโลดแล่นบนดวงจันทร์ เหล่านักแข่งรถ ช่างเทคนิค รวมถึงทีมงานในสนามประลองความเร็ว ต่างก็เคยประทับใจในความทนทาน, ประสิทธิภาพ รวมถึงงานดีไซน์ของ Speedmaster มาแล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ชื่อของ Speedmaster
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ณ ตอนนี้ ชื่อของ ALBA แบรนด์นาฬิกาดีไซน์สวยที่มีจุดเด่นเรื่องราคาจับต้องได้ภายใต้คุณภาพการผลิตที่การันตีโดยแบรนด์เรือนเวลาชั้นนำของญี่ปุ่นอย่าง SEIKO กำลังเป็นที่จับตามองด้วยคอลเลกชั่นเท่ ๆ มากมายที่ทยอยเปิดตัวออกมาภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “The Reflection Of Japan” ซึ่งแต่ละรุ่นแต่ละคอลเลกชั่นนั้นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นโดนใจ ด้วยงานดีไซน์ที่สะท้อนถึงคุณภาพความเป็น Japan Product กับนาฬิกาแนว Sport Style ที่หนุ่ม ๆ อย่างเราสามารถหยิบมาสวมใส่ได้ในทุกโอกาส ล่าสุดทาง ALBA ก็ได้เผยโฉมอีกหนึ่งคอลเลกชั่นใหม่ซึ่งยังคงคอนเซ็ปต์ความเท่ที่สะท้อนจิตวิญญาณญี่ปุ่นออกมาได้เป็นอย่างดี กับ ALBA Monster Thailand Creation ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรือนเวลารุ่นยอดนิยมของรุ่นพี่อย่าง SEIKO ที่ได้รับการขนานนามจากเหล่านักสะสมว่า Monster ด้วยความแข็งแรงบึกบึนของตัวเรือน และดีไซน์ที่ดูแปลกตาแต่มีเสน่ห์ครองใจผู้คนมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การเปิดตัวในปี 2000 และ Monster ที่ถูกตีความภายใต้ชื่อ ALBA Monster Collection นั้น เป็นการนำเอาเอกลักษณ์ระดับไอคอนิก มาร้อยเรียงเรื่องราวและดีไซน์ใหม่ ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาผ่านนาฬิการะบบอัตโนมัติ 3 รุ่น 3 สไตล์ ที่ยังคงความโดดเด่นเอาไว้แบบครบ ๆ ทั้งในเรื่องขนาดตัวเรือนกำลังเข้าข้อที่ 42.4
Franck Muller ร่วมฉลองครบรอบ 50 ปี กับบริษัท Cortina Watch หนึ่งในบริษัทด้านการค้าปลีกนาฬิกาและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของสิงคโปร์ โดยได้เปิดตัวคอลเล็กชั่นนาฬิการุ่นพิเศษ Vanguard Revolution 3 Skeleton ซึ่งประกอบไปด้วย 5 รุ่นย่อย ที่ได้รับการออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตออกมาในจำนวนจำกัด นอกจากนี้ในเดือนที่ผ่านมายังได้มีการจัดแสดงคอลเล็กชั่นนาฬิกาที่เป็นสุดยอดของการประดิษฐ์นาฬิกาจากอัญมณีชั้นสูง และเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนแห่งความหรูหราของ Haute Horlogeries ซึ่งเป็นการนำเอารุ่นพิเศษอย่าง ทูร์บิญอง (Tourbillions) แบบสามเข็ม ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า และได้นำเอาเพชรพลอยที่ได้คัดสรรมาอย่างดีเยี่ยมเพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่น่าค้นหา นาฬิกา Vanguard Revolution 3 Skeleton อันเป็นเอกลักษณ์ทั้ง 5 รุ่นนี้ ได้รับการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันโดยช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ที่ Watchland ในเจนีวา เพื่อรำลึกถึงความร่วมมืออันล้ำค่าระหว่าง Franck Muller และ Cortina Watch รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ที่โดดเด่นและจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกของ Franck Muller โดย มร. เจเรมี ลิม CEO ของ
หากเอ่ยถึงชื่อ Speedmaster ’57 แฟน ๆ OMEGA หลายคนน่าจะรู้กันดีว่านี่คือเรือนเวลาที่ถูกรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อสะท้อนความเป็น Sport and Racing Watch ของตระกูล Speedmaster ซึ่งส่งต่อตำนานการบอกเวลาอันยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ปี 1957 ล่าสุด OMEGA ก็พร้อมเผยโฉมรุ่นใหม่จากคอลเลคชั่น Speedmaster ’57 และยังได้นักแสดงชื่อดังจากสองฝั่งทวีปทั้ง ‘จอร์จ คลูนีย์’ และ ‘ฮยอนบิน’ มาร่วมกันเฉิดฉายในโฆษณาเรือนเวลาคอลเลคชั่นนี้ ซึ่งต้องยอมรับว่าทั้งคู่คือส่วนผสมที่เติมเต็มภาพลักษณ์ทั้งสองด้านของโครโนกราฟอันโด่งดัง คลูนีย์สื่อถึงสไตล์ที่คลาสสิกและตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับแคมเปญ อีกทั้งเป็นการตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์ที่เขามีมาอย่างยาวนานกับ OMEGA ในขณะที่ดาราดาวรุ่ง ฮยอนบิน นั้นมาด้วยความเท่และจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยใหม่ที่ประกาศก้องถึงการพัฒนาของ Speedmaster ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เช่นเดียวกับนาฬิกา Speedmaster ’57 ที่เป็นตัวแทน DNA การออกแบบดั้งเดิมของ Speedmaster ที่เผยโฉมเมื่อปี 1957 ซึ่งถือกำเนิดมาสำหรับนักแข่งรถและช่างเครื่องรวมถึงทีมงานในสนามประลองความเร็ว เพื่อเป็นการรำลึกถึงต้นกำเนิด คอลเลคชั่น Speedmaster ’57 จึงประกอบไปด้วยนาฬิกาถึงแปดรุ่นใหม่ที่นำเสนอสไตล์ที่เพรียวบาง, หน้าปัดหลากสีสัน, สายนาฬิกาโลหะแบบวินเทจ รวมถึงกลไก Co-Axial Master Chronometer 9906 ชั้นเลิศ