หากพูดถึงพ่อ คนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงหัวหน้าครอบครัวที่ไม่ค่อยจะพูดหรือแสดงออกทางอารมณ์มากนัก แต่ในฐานะของความเป็นพ่อ เชื่อได้ว่าพ่อทุกคนมีสัญชาตญาณแห่งความเป็นพ่อตั้งแต่ได้รู้ว่ามีสิ่งชีวิตน้อยๆ ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้ถือกำเนิดขึ้น และพร้อมที่จะทำหน้าที่ในการปกป้องดูแลอย่างเต็มที่ เนื่องในวันพ่อปีนี้ เราจะขอยก 7 ตัวละครคุณพ่อที่ควรค่าแก่การพูดถึง ยกย่อง และชื่นชมในฐานะผู้นำครอบครัว ฮีโร่ของลูกและตัวอย่างที่ดีให้กับผู้อื่น พาโบล เอสโกบาร์ จาก Narcos พาโบล เอสโกบาร์ เจ้าพ่อโคเคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศโคลอมเบียและของโลก ที่มีลุคเหี้ยมโหด ดุดันจากสายตาของคนภายนอก แต่สำหรับลูกของเขา พาโบลคือคุณพ่อที่รักและเป็นฮีโร่ตัวจริง พาโบลคอยบอกและแสดงออกให้ลูกชายเขาเห็นถึงความสำคัญของการเป็นหัวหน้าครอบครัว พร้อมทั้งย้ำเสมอว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวต้องมาก่อน นอกจากนี้พาโบลยอมเสียสละทุกอย่างและทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพื่อลูกและภรรยาของเขา อาทิ เขาเผาเงินกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้ลูกสาวผิงไฟเมื่อเธอหนาว เป็นต้น วอลเตอร์ ฮาร์ทเวล ไวท์ ซีเนียร์ จาก Breaking Bad วอลเตอร์ ไวท์ อดีตอาจารย์สอนวิชาเคมีในไฮสคูลที่ต้องผันตัวมาเป็นผู้ผลิตยาเสพย์ติดเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวในอนาคตและรักษาตัวจากโรคมะเร็งระยะที่3 วอลเตอร์และภรรยามีลูกชาย 1 คนที่เป็นโรคสมองพิการ และลูกสาวที่ภรรยาของเขากำลังตั้งครรภ์ (คลอดในตอนท้ายของซีซันที่ 2) แม้ว่าสภาพแวดล้อมและปัญหาชีวิตกดดันให้วอลเตอร์ต้องทำเรื่องผิดกฎหมาย แต่ในฐานะพ่อและสามีเขายอมทำทุกอย่างเพื่อชีวิตที่ดีที่สุดของลูกและภรรยา โดยเฉพาะกับลูกชาย วอลเตอร์อยู่เคียงข้างให้กำลังใจและผลักดันให้เขาสู้และมองข้ามความผิดปกติ รวมทั้งปลูกฝังให้เขาเป็นผู้นำครอบครัว
1-800-273-8255 นี่ไม่ใช่เบอร์มงคล หรือดูดวงเสี่ยงโชคแต่อย่างใด เพราะมันคือชื่อเพลงสุดแปลกที่กำลังเป็นกระแสสังคมในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ขณะนี้ โดยเจ้าของบทเพลงดังกล่าวคือแร็ปเปอร์ผิวขาววัย 27 ปี นามว่า Logic ซึ่งน่าแปลกว่าผลงานก่อนหน้านี้ของเขาแทบจะไม่เป็นที่คุ้นหูนักฟังเพลงเสียเท่าไหร่ แต่กลับสร้างผลงานสตูดิโอชุดที่สามได้อย่างกระแทกใจคนฟัง โดยเปลี่ยนมุมมองจากการพูดถึงตัวเอง มาเล่าเรื่องปัญหาของคนอื่น จนเป็นที่มาของชื่ออัลบั้ม “Everybody” โดยมีเพลง 1-800-273-8255 อยู่ในนั้น สาเหตุที่เพลงตัวเลขนี้ถูกพูดถึงและส่งต่ออย่างมากบนโลกออกโลน์น่าจะมาจากเนื้อหาภายในเพลงที่พูดถึง การฆ่าตัวตาย ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมอเมริกาที่ปัจจุบันมีการพูดและถกเถียงกันอย่างมาก เพราะปัญหาการฆ่าตัวตายในวัยรุ่นมีเปอร์เซ็นต์มากขึ้น อีกทั้งจะเห็นได้ว่าในปีที่ผ่านมานักร้องชื่อดังอย่าง Chester Bennington และ Chris Cornell ตัดสินใจทำอัตวินิบาตกรรม ทำให้เริ่มมีการกลับมาทบทวนในเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง โดย 1-800-273-8255 คือเบอร์สายด่วนของศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งชาติ และ Logic ต้องการมุ่งหวังให้เพลงนี้สามารถไปช่วยเหลือคนที่คิดจะฆ่าตัวตายให้เปลี่ยนใจ และเขาอยากจะสะท้อนถึงแก่นของปัญหาว่าประเด็นการฆ่าตัวตายของวัยรุ่นที่คนรอบตัวอาจจะไม่ทันได้นึกคิดว่าเราอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจลาจากโลกนี้ไป เหมือนกับเช่นใน Music Video ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กวัยรุ่นผิวสีที่กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้าเนื่องจากตัวเองเป็นเกย์ จนคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะโดนกดดันจากสังคม หลายคนอาจจะตั้งข้อสงสัยว่าแล้วแค่เพลงเดียว จะมีผลช่วยให้ปัญหาการฆ่าตัวตายลดลงได้อย่างไร ? แต่เชื่อหรือไม่ว่าหลังจากที่ Logic ได้ขึ้นแสดงเพลงนี้ในงาน MTV VMAs 2017 ปรากฎว่ามีสายโทรศัพท์โทรมาขอรับคำปรึกษาจาก ศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งชาติ (ตามชื่อเพลง) เพิ่มขึ้นถึง 50
สำหรับนักฟังเพลงแล้ว วงอย่าง Stone Temple Pilots ถือว่าเป็นอีกวงดนตรีหนึ่งที่เป็นขวัญใจของใคร หลาย ๆ คน โดยเฉพาะตัวนักร้องนำอย่าง Scott Weiland ที่แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาฝากเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นผลงานการเขียนเนื้อร้อง เสียงร้อง มุมมอง และยังมีบทสัมภาษณ์อีกหลายอันที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิตของผู้ชายคนนี้ วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้นำเอาบทสัมภาษณ์ของนักร้องที่มีเอกลักษณ์ในตัวตนชัดเจนจากการถือโทรโข่งร้องลั่นอยู่บนเวทีอย่าง Scott Weiland ที่เคยได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rock n roll ชื่อดังอย่าง Rolling Stone มาให้ได้อ่านกัน หากใครเป็นแฟนของ Stone Temple Pilots และ Scott Weiland ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง ในครั้งที่ Scott Weiland ได้นั่งลงให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rolling Stone ช่วงเดือนมิถุนายนปี 2007 เขามีอายุได้ 39 ปี และนั่นเป็นครั้งแรกของการพูดคุยกันระหว่างเขากับนิตยสาร Rolling Stone แต่หลังจากนั้นเขาก็มีโอกาสได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Rolling Stone
หลายครั้งที่เราได้นำเสนอ Playlist ของเพลงที่เหมาะแก่การฟังในช่วงเวลาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Playlist สำหรับการออกกำลังกาย, Playlist สำหรับเพิ่มพลังในการทำงาน รวมไปถึงเหตุผลมากมายที่อธิบายให้ทุกคนเข้าใจว่า ทำไมการฟังเพลงถึงช่วยทำให้ช่วงเวลาเหล่านั้นของคุณเป็นช่วงเวลาที่ดีขึ้นได้ ซึ่งคงมีหลาย ๆ น่าจะได้นำไปทดลองฟังด้วยตัวเอง รวมถึงบางคนที่อาจจะฟัง Playlist ที่เราเคยแนะนำไปให้ก่อนหน้านี้แล้วรู้สึกว่ามันสามารถช่วยได้จริง ๆ ก็เลยฟังมันซ้ำไปซ้ำมาทุกวันจนตอนนี้รู้สึกว่า ต้องการ Playlist ใหม่ ๆ บ้างแล้ว วันนี้เราเลยจัด Playlist ใหม่ ที่สามารถช่วยทำให้คุณมีพลังได้ทันทีตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมา และยังสามารถฟังยาว ๆ ไปได้ตลอดทั้งวัน จนถึงกระทั่งเวลาก่อนนอนมาให้กับชาว UNLOCKMEN โดยเฉพาะเลยทีเดียว Playlist ที่ว่านี้ เป็นการรวมเพลงที่ถูกคัดกรองมาแล้วว่า ทุกเพลงนอกจากจะช่วยลดความเครียดในระหว่างวันได้แล้ว เพลงใน Playlist นี้ยังช่วยให้คุณมีช่วงเวลาที่ดียิ่งขึ้นได้ ไม่ว่าคุณจะทำกิจกรรมอะไรอยู่ก็ตาม ถ้าหากใครกำลังมองหา Playlist จาก Spotify ที่สมบูรณ์แบบสำหรับเพิ่มสุขในการดำรงชีพที่มีความหลากหลาย และต่อเนื่องยาวนาน แต่ไม่อยากจะเสียเวลาตามหามันด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ วันนี้ถือเป็นโชคดีนาทีทองของคุณแล้ว เพราะเราได้จัด 9 Playlist ระดับคุณภาพที่คุณจะต้องประทับใจมาให้ที่นี่ โดยที่คุณมีหน้าที่แค่กดฟังเท่านั้นก็สามารถแฮปปี้กับชีวิตได้ทันที
ว่ากันว่า ผู้ชายอย่างเราต่อให้โตแค่ไหนก็ยังคงมีความเป็นเด็กผู้ชายในอดีตติดตัวอยู่เสมอ อย่างตอนเป็นเด็ก ของเล่นที่เด็กผู้ชายโปรดปรานก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง อาจจะเป็นรถของเล่น หรือปืนของเด็กเล่น ที่ดูเหมือนว่าจะฝังอยู่ในจิตใจ ส่งผลให้ผู้ชายอย่างเราสนใจในของสองสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าในชีวิตประจำวันจะไม่จำเป็นต้องมีมันไว้ในครอบครองก็ตาม วันนี้เราจะพาผู้ชายทุกคนย้อนวัยไปในเรื่องของอาวุธอย่าง ปืนพก แถมยังไม่ใช่ปืนพกธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่มันเป็นปืนพกที่มาจากภาพยนตร์ชื่อดังที่ถ้าหากใครเคยดูก็คงจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ กันว่า “เชร้ดด..ปืนอะไรทำไมโคตรเท่!?” นั่นก็คือ Romeo+Juliet นั่นเอง เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องของความรักที่เกิดขึ้นระหว่างสงคราม และความบาดหมางของ 2 ตระกูลดังอย่าง Capulet และ Montague โดยหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย ก็มีคนมากมายที่มีอาวุธปืนเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ได้นำเอาอาวุธคู่ใจตรงดิ่งไปที่ร้านแต่งปืนเพื่อทำการ Custom ให้ปืนของพวกเขามีสภาพเหมือนในหนังกันมากมาย นั่นก็เพราะความสวยของปืนแต่ละกระบอกนั้น มันยากจะบรรยายจริง ๆ วันนี้เราจึงได้นำเอาปืนพกเจ๋ง ๆ ที่ปรากฎอยู่ในหนังมาให้ได้ดู และรู้จักกันว่า จริง ๆ มันมีชื่อมีหน้าตา รวมไปถึงมีความเป็นมาอย่างไร ก่อนที่มันจะถูกโมดิฟายจนสวยเฉียบขาดบาดตาอยู่ในหนัง ก่อนอื่นต้องขอบอกให้รู้เอาไว้ก่อนว่า Romeo+Juliet ในเวอร์ชั่นนี้นั้น ถูกดัดแปลงมาจากบทประพันธ์อมตะของ William Shakespeare และเข้าโรงภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 1996 ดังนั้น มันจึงถูกประยุกต์ให้ทันสมัยใกล้เคียงโลกความจริงในปัจจุบัน
แม้ว่าการรับชมภาพยนตร์จะเป็นกิจกรรมเพื่อการพักผ่อนอย่างหนึ่งที่มุ่งเน้นให้ความบันเทิงเริงรมย์เป็นหลัก แต่ภายในภาพยนตร์ส่วนใหญ่มักสอดแทรกเรื่องราวแง่คิดต่าง ๆ ไว้ หากเราใช้วิจารณญาณในการรับชมก็จะได้รับบทเรียน ประสบการณ์ที่สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเองได้ต่อไป ดังเช่นบทเรียนล่าสุดที่ทีมงาน UNLOCKMEN ได้จากการรับชมซีรีส์เรื่อง Walking Dead เกี่ยวกับภาวะการเลือกเป็นผู้นำ ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ผ่านตัวละคร Protogonist และ Antagonist ในเรื่องความชัดเจนของการดูแลบริวารของตัวเอง ผ่านวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Walking Dead พยายามให้แง่คิดกับคนดู เพราะหากใครเป็นแฟนพันธ์ุแท้ของเรื่องนี้ก็คงพอจะทราบว่าตลอดเวลา Walking Dead ได้พยายามสอดแทรกเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมการเป็นมนุษย์ จนมันเป็นภาพยนตร์ที่ให้อะไรมากกว่าแค่หนังซอมบี้ไล่ฆ่าคนทั่วไป *เนื้อหาต่อไปนี้อาจจะมีการสปอยล์บางส่วนของซีรีส์ดังนั้นหากใครไม่อยากสูญเสียอรรถรสควรจะข้ามคอนเทนต์นี้ไป ใน Walking Dead เราจะสามารถแยกตัวละครสองตัวที่มี conflict กันอย่างชัดเจนนั่นคือนายอำเภอ Rick Grime และ Negan ไบเกอร์ขาโหด ซึ่งเราได้วิเคราะห์พฤติกรรมของทั้งสองอ้างอิงจากงานวิจัยของ Daniel Goleman และทีมของเขาในชื่อ “Leadership that gets results, a landmark 2000 Harvard business review
หลังจากที่ Disney และ Lucasfilm ได้ปล่อยจักรวาลเส้นเรื่องใหม่ของภาพยนตร์อวกาศสุดคลาสสิคอย่าง Star Wars เมื่อสองปีก่อน ในชื่อตอนว่า The Force Awakens และภาคแยกอย่าง Rogue One จนได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้ Disney ที่จ่ายเงินกับค่าลิขสิทธิ์ไปแพง เตรียมถอนทุนคืนโดยการออกมาประกาศอย่างหนักแน่นว่า ต่อไปนี้ในทุก ๆ ปี เราจะได้รับชมภาพยนตร์ของจักรวาล Star Wars ทั้งภาคหลัก และตอนแยกชนิดปีชนปี สืบเนื่องจาก Lucasfilms ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ทางการว่าใน Star Wars ตอนที่ 8 ที่ชื่อว่า The Last Jedi ของผู้กำกับ Rian Johnson จะเป็นแค่การเริ่มสู่จักรวาลอันไกลโพ้นของ Star Wars เท่านั้น ซึ่งทาง Lucasfilms และ Disney ได้วางตัวให้ Rian Johnson กลับมารับหน้าที่เขียนบท และกำกับ
หลังจากที่บุรุษเหล็กซูเปอร์ฮีโร่ตลอดกาลอย่าง Superman เป็นอันต้องจบชีวิตลงหลังจากการต่อสู้กับมหาวายร้าย Doomsday ในภาพยนตร์เรื่อง Batman vs Superman เชื่อว่าแฟน ๆ คอมมิค รวมถึงแฟนหนังจากจักรวาล DC ต่างก็อยากรู้ชะตากรรมความเป็นไปของฮีโร่ในดวงใจ ที่แน่นอนว่าจะต้องกลับมามีบทบาทใน Justice League ภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่กำลังจ่อคิวฉายในบ้านเรากลางเดือนพฤศจิกายนนี้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ชวนให้ลุ้นคือเขาจะกลับมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง เหตุผลที่ชวนให้ลุ้นนั่นก็เพราะว่า ถึงแม้ทุกคนจะรู้ดีว่าหนังรวมดาวซูเปอร์ฮีโร่ตัวชูโรงของทางฟากฝั่ง DC ที่ยกขบวนตัวละครคลาสสิคจากค่ายมาครบ ทั้ง Batman, Wonder Woman, The Flash, Aquaman และ Cyborg คงจะขาด Superman ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ DC เคียงบ่าเคียงไหล่มากับอัศวินรัตติกาลอย่าง Batman ไปไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าทาง DC จะมีแผนเตรียมเอาไว้ เพื่อให้การกลับมาของ Superman นั้นไม่ใช่เพียงแค่เส้นเรื่องธรรมดา ที่เป็นการฟื้นคืนชีพ แล้วมารวมพลังช่วยเพื่อน ๆ พิทักษ์โลกตามสูตร เพราะนับตั้งแต่ช่วงเริ่มโปรโมท จนมาถึงตอนนี้ที่หนังใกล้จะเข้าฉายเต็มที ถ้าไม่นับภาพ First Look สำหรับแนะนำเหล่าฮีโร่ของทาง
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของ The Lord of the Rings ที่ยังไม่จุใจกับอภิมหาแฟรนไชส์ภาพยนตร์แฟนตาซี 6 ภาค ก็เตรียมรับความสนุกเพิ่มเติมได้อีกครั้ง เมื่อ Amazon ได้ประกาศว่าพวกเขาได้ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์นวนิยายเรื่องดังกล่าวจาก J.R.R. Tolkien สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย เพื่อนำมาถ่ายทอดในรูปแบบของซีรีส์หลายซีซั่นด้วยกัน ทำให้คราวนี้ได้ดูกันตาเปียกตาแฉะกันแน่ ๆ กับการผจญภัยตามหาแหวน จากการเปิดเผย Amazon จะไม่ได้นำเนื้อเรื่องเดิมจากหนังสือ The Fellowship of the Ring มาเป็นเส้นเรื่องหลัก แต่ทาง Amazon จะทำงานร่วมกับ J.R.R. Tolkien , Prime Original , Trust Harper Collins , New Line Cinema และ Warner Bros. เพื่อสร้างเส้นเรื่องใหม่เฉพาะในซีรีส์นี้เท่านั้น โดยคาดว่าเนื้อเรื่องของซีรีส์นี้จะเปิดการผจญภัยครั้งใหม่ของตัวละครใน middle earth ซึ่งเป็นช่วงก่อนภาคแรก The Fellowship
“แฟชั่นดีไซเนอร์ผู้เก็บตัวที่สุด ถ่อมตัวที่สุด ไม่รู้จักคำว่าการตลาด ไม่สนใจคำว่าเซเลบริตี้ ไม่คุ้นเคยคำว่าการโปรโมทตัวเอง และไม่ใส่ใจคำว่าเทรนด์” อาจฟังดูเป็นนิยามแปลกประหลาดเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นจริงสำหรับแฟชั่นดีไซเนอร์คนใด แต่นี่แหละคือนิยามของ ดรีส แวน โนเทน (Dries Van Noten) ผู้ได้รับการยอมรับจากคนรักแฟชั่นทั่วโลกในฐานะ “ดีไซเนอร์อิสระที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุค” และเพราะนิยามนั้นนั่นเอง Dries จึงเป็นหนังเรื่องแรกที่ดีไซเนอร์เจ้าของผลงานแสนละเมียดละไมผู้นี้ ยินยอมให้มีคนทำหนังถือกล้องเดินตามเข้าไปสำรวจเรื่องราวของเขา ตั้งแต่กระบวนการทำงานในห้องออกแบบไปจนถึงชีวิตส่วนตัวในบ้านแบบที่ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตมาก่อน ผู้กำกับ ไรเนอร์ โฮลซ์เมอร์ ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มกับการติดตามดรีส แวน โนเทนตั้งแต่วันเริ่มต้นคิดผลงาน 4 คอลเล็กชั่นใหม่ ตั้งแต่ขั้นตอนการเฟ้นหาผ้า, การปัก และการพิมพ์ลายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จนถึงวันที่งานเหล่านั้นปรากฏต่อสายตาชาวโลกผ่านแค็ตวอล์คระดับ “พลาดไม่ได้” ในปารีสแฟชั่นวีค โดยระหว่างทางนั้น เราจะได้รับรู้ทั้งชีวิต ความคิด และจิตใจอันเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ของดีไซเนอร์ชั้นมาสเตอร์ผู้นี้ที่ยังสามารถรักษาสถานะความเป็น “นักออกแบบอิสระ” มาได้ตลอดการทำงานยาวนานถึง 25 ปี ท่ามกลางบรรยากาศการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลของโลกแฟชั่น 4 จุดเด่นที่ทำให้ “ดรีส” แตกต่าง ไอริส แอพเฟล คุณทวดแฟชั่นไอค่อนผู้โด่งดังแห่งนิวยอร์ก บอกเราไว้ในหนังเรื่อง Dries ว่า “ดรีสไม่เหมือนแฟชั่นดีไซเนอร์คนไหนๆ