เราเชื่อว่าการเดินทางไม่ได้ให้เพียงแค่ความสนุกและการพักผ่อนเท่านั้น แต่มันยังเป็นการเปิดประสบการณ์การเรียนรู้และเติมพลังใหม่ ๆ ให้กับชีวิต ต้นปีแบบนี้หลายคนอาจจะกำลังวางแผนเที่ยวกันอยู่ เพราะจะได้เก็บเงินและวันลาได้ทัน หากใครที่ยังไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่นอน เราขอเสนอ 6 จุดหมายในต่างแดนที่กำลังมาแรงในปี 2018 นี้ไว้ให้เป็นไอเดีย • สหราชอาณาจักรหรือประเทศอังกฤษ: หนึ่งในประเทศผู้ทรงอิทธิพลของโลกที่อยู่ในบั๊กเก็ตลิสต์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เป็นที่ที่อัดแน่นไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังบักกิงแฮมและดาวนิงสตรีทที่เห็นกันในเรื่อง เดอะ คราวน์ (The Crown) รวมทั้งธรรมชาติและภูมิประเทศที่หลากหลายตามแต่ละภูมิภาคของเกาะ ทั้งชายหาด ทุ่งหญ้ารวมไปถึงป่าเขาแบบในเรื่อง โลกมันห่วยช่วยไมได้ (The End of the F***ing World) นอกจากนี้ประเทศอังกฤษยังมีความทันสมัยและถือเป็นศูนย์กลางของธุรกิจในยุโรปอีกด้วย อย่าให้ฟ้าฝนที่ไม่แน่นอน หยุดคุณไม่ให้ไปเยือนดินแดนแห่งนี้ • นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา: เหมือนกับเพลงของเจซีและเอลิเชีย คีย์ ที่ร้องว่า “เมืองที่ความฝันถูกสร้างขึ้น และไม่มีอะไรที่คุณไม่สามารถทำได้” แน่นอนว่าเพลงนี้พูดถึงมหานครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนนับล้านคนต่อปีเดินทางไปเยี่ยมชมมหานครที่ไม่เคยหลับใหลแห่งนี้ ตึกสูงระฟ้า แท็กซี่สีเหลืองและเทพีเสรีภาพถือเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ นิวยอร์กยังเป็นเมืองที่แฟน ๆ ไปตามรอยซีรีส์ยอดฮิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอพาร์ตเม้นท์ของมอนิก้าใน เฟรนส์ (Friends) หรือแฟน
…ไม่แม้กระทั่งในโลกที่ท้าทายความตายของอัลเทอร์ด คาร์บอน (Altered Carbon) โลกที่สามารถสรรหาความเป็นอมตะได้ และร่างกายมนุษย์นั้นถูกเมินค่า เสมือนเพียงรองเท้าหนึ่งคู่ที่สามารถทิ้งได้เมื่อหมดอายุการใช้งาน สร้างจากนวนิยายนัวร์ไซเบอร์พังก์คลาสสิคโดย ริชชาร์ด เค มอร์แกน, Altered Carbon คือเรื่องราวที่เต็มไปด้วยกลอุบายและเล่ห์เหลี่ยมของ การฆาตกรรม ความรัก เซ็กส์ และการหักหลัง ซึ่งเกิดขึ้นในโลกอนาคตอีก 300 ปีข้างหน้า สังคมถูกเปลี่ยนโดยเทคโนโลยีใหม่ ๆ จิตใต้สำนึกสามารถเปลี่ยนให้อยู่ในรูปดิจิทัล ร่างกายมนุษย์สามารถสลับสับเปลี่ยนได้ ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดอีกต่อไป Takeshi Kovacs นายทหารที่รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวของกลุ่มทหารชั้นยอดเยี่ยมที่พ่ายแพ้ในเหตุการณ์จลาจลต่อต้านการจัดระเบียบโลกใหม่ จิตวิญญาณและความคิดของเขาถูกกักขังไว้ “ในน้ำแข็ง” ยาวนานนับศตวรรษจนกระทั่ง ลอเรนซ์ แบนครอฟต์ ชายที่ร่ำรวยอย่างมาก และมีอายุยืนยาว ยื่นข้อเสนอให้ชีวิตใหม่แก่โคแวกส์อีกครั้ง แต่ในการแลกเปลี่ยนครั้งนี้โคแวกส์ต้องค้นหาคำตอบการฆาตกรรมของแบนครอฟต์ด้วย Altered Carbon จากผู้สร้างและอำนวยการผลิต เลตา คาโลกริดิส อัลเทอร์ด คาร์บอน นำแสดงโดย โจแอล คินนาแมน (Joel Kinnaman) เจมส์ เพียวฟอย (James Purefoy) มาร์ธา
บรรยากาศวันเด็กมาถึงพร้อมความสดใส และการจัดงานมากมายเพื่อให้อนาคตของชาติได้ใช้วันของพวกเขาให้มันส์เต็มที่ แต่ในฐานะที่ผู้ชายอย่างเราผ่านพ้นวัยเด็กมาแสนนานจนไม่รู้จะออกไปเผชิญหน้ากับรถติดและผู้คนพลุกพล่านไปทำไม UNLOCKMEN ก็ภูมิใจนำเสนอบรรยากาศวันเด็กแบบผู้ชาย ๆ ด้วยหนังเด็กผี เด็กปีศาจ 5 เรื่องที่ดูไปแล้วรับรองว่าคุณอาจจะทำใจรักเด็กได้ยากขึ้น 10 ระดับ Joshua: บริสุทธิ์ซ่อนอำมหิต ความขนลุกของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะลุกขึ้นมาทำลายครอบครัวตัวเองให้ค่อย ๆ พังลงไปต่อหน้า!? แค่พล็อตเรื่องก็ชวนขนลุกและคิดในใจว่าเด็กมันคิดได้ยังไงแล้ว และนี่คือเรื่องราวของโจชัวเด็กชายวัย 9 ขวบ ที่หน้าตาและความใสซื่อของความเป็นเด็กล่อลวงตัวละครอื่น ๆ ในเรื่องได้อยู่หมัด แต่สำหรับสายตาคนนอกที่นั่งชมอยู่นั้นบอกได้เลยว่าผู้ชายอย่างเราต้องมีขนลุกขนพองและอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเรามีลูกชายอย่างนี้บ้างจะเป็นเช่นไร? Children Of The Corn: เด็กนรกทุ่งสังหาร แค่รู้ว่านี่คือภาพยนตร์ที่สร้างมาจากหนังสือที่ถูกแต่งขึ้นโดย Stephen King เจ้าพ่อเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทก็พอจะเดาได้แล้วว่าเรื่องราวจะชวนให้ประสาทสั่น ตัวสั่นกันขนาดไหน เรื่องราวว่าด้วยหนุ่มสาวที่หลงเข้ามายังเมืองที่มีแต่เด็ก ๆ อาศัยอยู่ แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้ใหญ่ไม่ได้หายไปแบบธรรมดาสามัญ แต่ผู้ใหญ่ทั้งเมืองถูกเด็กพวกนี้สังหาร! เหมาะกับวันที่เด็ฏวิ่งพลุกพล่าน รับรองว่าดูไป เห็นเด็กไป เราก็แอบหลอนตัวเองไปสุด ๆ The Omen: อาถรรพณ์กำเนิดซาตานล้างโลก แม้ผู้ชายอย่างเราจะไม่ได้อินกับการมีลูกของตัวเองได้มากเท่าที่สาว ๆ อิน แต่หากเราพูดถึงเด็กผู้ชายวัย 5 ขวบ เราก็คงอดจินตนาการถึงเด็กชายวัยกำลังซนสุดแสบคนหนึ่งที่เราก็อดอยากเล่นด้วยไม่ได้
การที่ได้ใช้เวลาว่างในวันหยุด หรือเวลาพักผ่อนหลังเลิกงาน คนเราต่างก็มีวิธีผ่อนคลาย และเพิ่มความสุขให้กับตัวเองแตกต่างกันออกไป แต่สำหรับเราแล้ว การได้นั่งโซฟาสบาย ๆ เปิดแอร์เย็น ๆ แล้วหาหนัง หรือ Documentary ดี ๆ สักเรื่องมาดูพร้อมทั้งจิบเบียร์ไปด้วยนั้น คืออะไรที่สุขกายสบายใจสุด ๆ กันเลยทีเดียว แต่จะว่าไปหนังดี ๆ ส่วนใหญ่พวกเราก็มักจะซื้อตั๋วไปชมกันในโรงกัน จะเหลือก็แต่เรื่องที่เราไปดูไม่ทัน หรือติดธุระไม่ว่าง หนังดี ๆ เหล่านั้น ถึงจะถูกเราไปซื้อแผ่นมาตามเก็บดูที่บ้าน เมื่อมันเป็นแบบนี้ หนังดี ๆ ที่หลงเหลือให้คุณได้ใช้เวลาดูมันที่บ้านของคุณเองนั้น จึงมีไม่มากนัก และจะให้เอาหนังที่เคยดูไปแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ มาดูซ้ำ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องอยู่ดี ดังนั้น บางคนที่แม้อาจจะมีเวลา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลาไปกับการดูหนังเรื่องไหนดี ซึ่งเราเองก็เคยประสบปัญหาเหล่านี้เหมือนกัน จนในที่สุดเราก็เจอทางสว่างที่จะทำให้คุณได้นั่งรบชมสิ่งดี ๆ แถมยังมีประโยชน์ไม่แพ้การดูหนังอีกด้วย นั่นก็คือ การหา Documentary มาดูแทน ซึ่งพวก Documentary เหล่านี้ จริง ๆ แล้ว มันก็เป็นหนังประเภทหนึ่งเช่นกัน
เริ่มต้นปีใหม่มาได้ไม่นาน คอหนังทั้งหลายคงถูกยั่วยวนด้วย trailer น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย ที่เรียงคิวรอเข้าฉายในปี 2018 นี้ สำหรับคนที่กำลังวางแผนชวนสาวไปออกเดท หรืออยากพาแฟนไประลึกความหวานเหมือนตอนสมัยจีบกันใหม่ ๆ ในปีนี้อยู่ UNLOCKMEN ได้ทำการเลือกสรรเฉพาะหนังภาคต่อฟอร์มยักษ์แห่งปี ที่แววดี ดูเพลินทั้ง 4 เรื่องมาไว้ตรงนี้แล้ว เหมาะมากถ้าใช้สร้างโอกาสงาม ๆ ชวนสาวมานั่งย้อนดูภาคเก่า ๆ ที่บ้านเราให้ชื่นใจ ก่อนจะจูงมือกันไปดูต่อภาคใหม่ในโรงหนัง ใครชอบแนวไหน ตัดสินใจเลือกชมกันตามความชอบได้เลย Insidious : The Last Key เดินทางมาสู่ภาคที่ 4 สำหรับ Insidious หนังสยองขวัญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ โดยภาคนี้จะนำเรากลับมาที่บ้านของ Dr. Elise Rainier คนเห็นผีผู้สามารถสื่อสารกับวิญญาณได้จริง ไม่เพ้อเหมือน ‘จิว ริตสัมผัส’ แน่นอน และจะต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่มีนิ้วมือเป็นกุญแจ ใช้ไขเปิดประตูแห่งความตายอันน่ากลัว ซึ่งนอกจากความน่ากลัวของผี และปีศาจในเรื่องแล้ว ในภาคนี้ก็แฝงด้วยเรื่องราวความน่ากลัวของมนุษย์ซ่อนไว้ด้วยเช่นกัน ลองมาดูกันว่าคนหรือผีจะน่ากลัวกว่ากัน สำหรับภาคนี้จะลุ้นระทึก และกดดันมากกว่าภาคก่อนแค่ไหน คงต้องไปหาคำตอบพร้อมความขนลุกเอง ดีไม่ดีคุณอาจจะโดนสวมกอด หรือเข้าซบจากผู้หญิงขี้กลัวข้าง
หลังจากรอคอยกันมาถึง 2 ปี ก็ได้ฤกษ์ที่ภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่อย่าง Star Wars ตอนที่ 8 ในชื่อ The Last Jedi ออกฉายสู่จอเงินอีกครั้ง ซึ่งเรื่องราวของ Star Wars คงไม่ต้องท้าวความใด ๆ อีกต่อไปแล้ว เพราะทั้งหมดได้กลายเป็นหน้าประวัติศาสตร์ของโลกภาพยนตร์บทหนึ่ง ซึ่งเราสามารถสืบหาข้อมูลได้อย่างง่ายดาย Star Wars ถือเป็นมหากาพย์ภาพยนตร์ที่มีความแตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ อย่างมาก เพราะมันเกิดขึ้นจากโปรเจ็คต์เล็ก ๆ ก่อนจะขยับขยายสร้างรายได้ให้กับตัวผู้กำกับ George Lucas อย่างมหาศาล ซึ่งถ้าใครเป็นสาวก Star Wars ก็จะพอทราบว่า แต่เดิมแล้ว Star Wars IV : A New Hope เป็นเพียงหนังอินดี้ทดลองงานไซไฟที่ไม่มีใครการันตีได้เลยว่าจะประสบความสำเร็จ และมีภาคต่อมาได้ยาวนานขนาดนี้ แต่ความมุ่งมั่นตั้งใจของ George Lucas ทำให้ปัจจุบันจักรวาลของ Star Wars โลดแล่นไปสู่จักรวาลอันสุดไกลโพ้น กลายเป็น sub-culture ที่ยิ่งใหญ่ของโลกไม่ต่างจาก
แม้ว่าการรับชมภาพยนตร์จะเป็นกิจกรรมเพื่อการพักผ่อนอย่างหนึ่งที่มุ่งเน้นให้ความบันเทิงเริงรมย์เป็นหลัก แต่ภายในภาพยนตร์ส่วนใหญ่มักสอดแทรกเรื่องราวแง่คิดต่าง ๆ ไว้ หากเราใช้วิจารณญาณในการรับชมก็จะได้รับบทเรียน ประสบการณ์ที่สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเองได้ต่อไป ดังเช่นบทเรียนล่าสุดที่ทีมงาน UNLOCKMEN ได้จากการรับชมซีรีส์เรื่อง Walking Dead เกี่ยวกับภาวะการเลือกเป็นผู้นำ ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ผ่านตัวละคร Protogonist และ Antagonist ในเรื่องความชัดเจนของการดูแลบริวารของตัวเอง ผ่านวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Walking Dead พยายามให้แง่คิดกับคนดู เพราะหากใครเป็นแฟนพันธ์ุแท้ของเรื่องนี้ก็คงพอจะทราบว่าตลอดเวลา Walking Dead ได้พยายามสอดแทรกเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมการเป็นมนุษย์ จนมันเป็นภาพยนตร์ที่ให้อะไรมากกว่าแค่หนังซอมบี้ไล่ฆ่าคนทั่วไป *เนื้อหาต่อไปนี้อาจจะมีการสปอยล์บางส่วนของซีรีส์ดังนั้นหากใครไม่อยากสูญเสียอรรถรสควรจะข้ามคอนเทนต์นี้ไป ใน Walking Dead เราจะสามารถแยกตัวละครสองตัวที่มี conflict กันอย่างชัดเจนนั่นคือนายอำเภอ Rick Grime และ Negan ไบเกอร์ขาโหด ซึ่งเราได้วิเคราะห์พฤติกรรมของทั้งสองอ้างอิงจากงานวิจัยของ Daniel Goleman และทีมของเขาในชื่อ “Leadership that gets results, a landmark 2000 Harvard business review
หลังจากที่ Disney และ Lucasfilm ได้ปล่อยจักรวาลเส้นเรื่องใหม่ของภาพยนตร์อวกาศสุดคลาสสิคอย่าง Star Wars เมื่อสองปีก่อน ในชื่อตอนว่า The Force Awakens และภาคแยกอย่าง Rogue One จนได้รับผลตอบรับอย่างล้นหลาม ทำให้ Disney ที่จ่ายเงินกับค่าลิขสิทธิ์ไปแพง เตรียมถอนทุนคืนโดยการออกมาประกาศอย่างหนักแน่นว่า ต่อไปนี้ในทุก ๆ ปี เราจะได้รับชมภาพยนตร์ของจักรวาล Star Wars ทั้งภาคหลัก และตอนแยกชนิดปีชนปี สืบเนื่องจาก Lucasfilms ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ทางการว่าใน Star Wars ตอนที่ 8 ที่ชื่อว่า The Last Jedi ของผู้กำกับ Rian Johnson จะเป็นแค่การเริ่มสู่จักรวาลอันไกลโพ้นของ Star Wars เท่านั้น ซึ่งทาง Lucasfilms และ Disney ได้วางตัวให้ Rian Johnson กลับมารับหน้าที่เขียนบท และกำกับ
สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของ The Lord of the Rings ที่ยังไม่จุใจกับอภิมหาแฟรนไชส์ภาพยนตร์แฟนตาซี 6 ภาค ก็เตรียมรับความสนุกเพิ่มเติมได้อีกครั้ง เมื่อ Amazon ได้ประกาศว่าพวกเขาได้ติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์นวนิยายเรื่องดังกล่าวจาก J.R.R. Tolkien สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย เพื่อนำมาถ่ายทอดในรูปแบบของซีรีส์หลายซีซั่นด้วยกัน ทำให้คราวนี้ได้ดูกันตาเปียกตาแฉะกันแน่ ๆ กับการผจญภัยตามหาแหวน จากการเปิดเผย Amazon จะไม่ได้นำเนื้อเรื่องเดิมจากหนังสือ The Fellowship of the Ring มาเป็นเส้นเรื่องหลัก แต่ทาง Amazon จะทำงานร่วมกับ J.R.R. Tolkien , Prime Original , Trust Harper Collins , New Line Cinema และ Warner Bros. เพื่อสร้างเส้นเรื่องใหม่เฉพาะในซีรีส์นี้เท่านั้น โดยคาดว่าเนื้อเรื่องของซีรีส์นี้จะเปิดการผจญภัยครั้งใหม่ของตัวละครใน middle earth ซึ่งเป็นช่วงก่อนภาคแรก The Fellowship
“แฟชั่นดีไซเนอร์ผู้เก็บตัวที่สุด ถ่อมตัวที่สุด ไม่รู้จักคำว่าการตลาด ไม่สนใจคำว่าเซเลบริตี้ ไม่คุ้นเคยคำว่าการโปรโมทตัวเอง และไม่ใส่ใจคำว่าเทรนด์” อาจฟังดูเป็นนิยามแปลกประหลาดเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นจริงสำหรับแฟชั่นดีไซเนอร์คนใด แต่นี่แหละคือนิยามของ ดรีส แวน โนเทน (Dries Van Noten) ผู้ได้รับการยอมรับจากคนรักแฟชั่นทั่วโลกในฐานะ “ดีไซเนอร์อิสระที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุค” และเพราะนิยามนั้นนั่นเอง Dries จึงเป็นหนังเรื่องแรกที่ดีไซเนอร์เจ้าของผลงานแสนละเมียดละไมผู้นี้ ยินยอมให้มีคนทำหนังถือกล้องเดินตามเข้าไปสำรวจเรื่องราวของเขา ตั้งแต่กระบวนการทำงานในห้องออกแบบไปจนถึงชีวิตส่วนตัวในบ้านแบบที่ไม่เคยมีใครได้รับอนุญาตมาก่อน ผู้กำกับ ไรเนอร์ โฮลซ์เมอร์ ใช้เวลาหนึ่งปีเต็มกับการติดตามดรีส แวน โนเทนตั้งแต่วันเริ่มต้นคิดผลงาน 4 คอลเล็กชั่นใหม่ ตั้งแต่ขั้นตอนการเฟ้นหาผ้า, การปัก และการพิมพ์ลายอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ จนถึงวันที่งานเหล่านั้นปรากฏต่อสายตาชาวโลกผ่านแค็ตวอล์คระดับ “พลาดไม่ได้” ในปารีสแฟชั่นวีค โดยระหว่างทางนั้น เราจะได้รับรู้ทั้งชีวิต ความคิด และจิตใจอันเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์ของดีไซเนอร์ชั้นมาสเตอร์ผู้นี้ที่ยังสามารถรักษาสถานะความเป็น “นักออกแบบอิสระ” มาได้ตลอดการทำงานยาวนานถึง 25 ปี ท่ามกลางบรรยากาศการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลของโลกแฟชั่น 4 จุดเด่นที่ทำให้ “ดรีส” แตกต่าง ไอริส แอพเฟล คุณทวดแฟชั่นไอค่อนผู้โด่งดังแห่งนิวยอร์ก บอกเราไว้ในหนังเรื่อง Dries ว่า “ดรีสไม่เหมือนแฟชั่นดีไซเนอร์คนไหนๆ