ในโลกที่เทคโนโลยีกับแฟชั่นกลายเป็นเรื่องเดียวกัน UNLOCKMEN ขอแนะนำให้ทำความรู้จักกับ 5 Smartwatch จากแบรนด์ไฮเอนที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ การออกแบบที่พิถีพิถัน สรรค์สร้างเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มีมากกว่าแค่การบอกเวลา ผลงานการสร้างสรรค์จากแบรนด์สุด Craft ที่แม้แต่นาฬิกา Digital ก็ยังคงความหรูหราที่ละเอียดอ่อนไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง LOUIS VUITTON TAMBOUR HORIZON Louis Vuitton แบรนด์หรูสัญชาติฝรั่งเศสเจ้าแรกที่เข้าสู่ตลาด Smartwatch ด้วยการส่ง Tambour Horizon นาฬิกาอัจฉริยะระบบปฏิบัติการ Android Wear 2.0 หน้าจอสัมผัสแบบ AMOLED มุมมองกว้าง สีสันสดใส มาพร้อมความละเอียด 390 x 390 pixcel กระจกหน้าและหลังใช้วัสดุ Sapphire ขนาด 1.2 นิ้ว RAM 512MB พื้นที่เก็บข้อมูล 4GB แบตเตอร์รี่ความจุ 300mAh สามารถลงน้ำลึกได้ 30 เมตร พร้อมกับแอปพลิเคชั่นที่พัฒนาโดย LV คือ My Flight
เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ ประกาศความพร้อมจัดการแข่งขัน Asia Pacific Predator League 2019 ในประเทศไทย จัดเต็มด้วยอุปกรณ์การแข่งขันระดับตำนานในนามพรีเดเตอร์ และระบบสัญญาณเน็ตเวิร์กที่มีเสถียรภาพสูง บนพื้นที่กว่า 2,380 ตร.ม รองรับตัวแทนนักกีฬาอีสปอร์ตกว่า 26 ทีม จากทั่วภูมิภาคสู่ทัวร์นาเมนต์การแข่งขันสุดยิ่งใหญ่ในระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พร้อมเปิดตัวทีมตัวแทนของประเทศไทยลงแข่งในเกม PUBG, DOTA 2 เข้าชิงชัยในทัวร์นาเมนต์ Asia Pacific Predator League 2019 ที่จะจัดในวันที่ 15-17 กุมภาพันธ์ 2019 ณ. อาคารกีฬานิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ นายแอนดรู ฮู ประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก บริษัทเอเซอร์ คอมพิวเตอร์ กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมาเอเซอร์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในจัดการแข่งขัน Asia Pacific Predator League 2018 ที่จัดขึ้น ณ. กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เราได้รับการตอบรับจากนักกีฬาอีสปอร์ต ผู้เข้าชมทั้งออฟไลน์ และออนไลน์เป็นจำนวนมาก
แม้ชื่อ OnePlus Smartphone อาจจะไม่เป็นที่นิยมมากนักในบ้านเราเมื่อเทียบกับ iPhone หรือ Samsung อาจจะเพราะที่ผ่านมา OnePlus ไม่ได้มีจุดขายอะไรมากมาย แต่จากนี้ไปชาว UNLOCKMEN และแฟนคลับความแรงของ McLaren อาจจะต้องเริ่มตามหา OnePlus กันมากขึ้น เมื่อทั้งคู่ได้ร่วมมือกันเซ็นสัญญา Partnership ระยะยาว พร้อมประเดิมด้วยโมเดลรุ่นพิเศษที่ทำได้น่าสนใจกับ McLaren OnePlus 6T เปิดตัวไปล่าสุด ณ McLaren Headquarter ประเทศอังกฤษ จุดเริ่มต้นของโปรเจคนี้เกิดจาก OnePlus co-founder, Carl Pei ที่มีความชื่นชอบในคาแรคเตอร์ของ McLaren อยู่แล้ว และได้ไปทดลองขับ McLaren 720S เครื่อง 4.0-liter twin-turbocharged V8 engine 720 แรงม้า จึงเกิดไอเดียอยากสร้าง Smartphone ที่แรงและมีคาแรคเตอร์แบบเดียวกับ McLaren ซึ่งเป็นรถและ Smartphone สำหรับคนที่หลงใหลในความแรงอย่างแท้จริง นี่จึงเป็นไอเดียกำเนิดสเปคสุดแรงใน McLaren OnePlus 6T
ทุกวันนี้เรื่องการเขียนด้วยปากกาดินสอ ถ้าไม่นับการเซ็นบัตรเครดิตก็แทบไม่ค่อยได้ใช้งานกันเท่าไหร่ เนื่องจากนวัตกรรมส่วนใหญ่มันอำนวยความสะดวกให้เราเหลือเกิน ทั้งการเขียนผ่านเสียง หรือการขยับนิ้วพิมพ์แล้วมีโปรแกรมช่วยสะกดเดาข้อความให้ก่อนที่เราจะพิมพ์เสร็จ ประกอบกับการรณรงค์ paperless เพื่อช่วยเรื่องภาวะโลกร้อนด้วย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลให้นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนอยากเข้ามาพัฒนานวัตกรรมกระดาษมหัศจรรย์ขึ้น ล่าสุดวารสาร ACS Applied Materials and Interfaces ได้ตีพิมพ์เรื่องนวัตกรรมกระดาษมหัศจรรย์ รีเฟรชตัวเองให้เขียนได้ไม่หยุดและไม่ต้องขยำลงถัง โดยเป็นผลงานการวิจัยของทีมนักวิจัยชาวจีน นำโดย Luzhuo Chen หนึ่งในผู้นำทีมวิจัยจาก Fujian Normal University ใช้หลักการที่เราคล้ายกับหมึกลบได้ โดยเอาเรื่องอุณหภูมิมาเป็นกุญแจสำคัญในการประดิษฐ์ ด้วยการนำกระดาษธรรมดามาเคลือบด้านหนึ่งด้วยสาร thermochromic (สารที่เปลี่ยนสีเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน) ย้อมสีน้ำเงิน นำมาเคลือบกระดาษด้านหนึ่ง และเคลือบผิวด้านอื่น ๆ ด้วยผงหมึกสีดำจากเทคนิค Photothermal ที่ใช้วิธีซับแสงเป็นพลังงานความร้อน หลักการใช้งานจะเป็นการใช้กระดาษใบนี้ร่วมกับ heat-emitting pen (ปากกาความร้อนหรือปากกาแสง) จากนั้นเมื่อหมึกได้รับความร้อนจะเปลี่ยนสีบริเวณที่ถูกย้อมให้สว่างขึ้น เผยให้เห็นผิวกระดาษสีขาวด้านล่าง ซึ่งในอนาคตมันจะสามารถใช้งานได้กับเครื่องปรินต์แสง ทำให้เราประหยัดหมึกไปในคราวเดียว ทีเด็ดที่มันทำได้เหนือกว่านวัตกรรมในอดีตก็อยู่ที่การจัดการให้อยู่ได้นานและจำนวนครั้งที่ใช้งานได้ซึ่งพอเห็นแล้วออฟฟิศเราก็อยากอุดหนุนเหมือนกัน เพราะนักวิจัยเขาประดิษฐ์ให้มันสามารถเก็บไว้ระยะเวลานานสุด ๆ โดยกว่าข้อความหรือภาพจะลบเลือนกลับไปเป็นสีฟ้าทั้งแผ่นจะต้องเจอกับอุณหภูมิที่เย็นถึง 14 องศาฟาเรนไฮน์ หรือ 10 องศาเซลเซียส ซึ่งแน่นอนว่าเราเก็บไว้ในออฟฟิศได้สบาย ๆ
ในปัจจุบันเทรนด์เรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหรือ Electric Vehicles กำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และสร้างความตื่นตัวให้แก่วงการรถยนต์อย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์ดังหลายค่ายต่างก็เปิดตัวโมเดลรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า พากันตบเท้าเข้าแข่งขันในตลาดยานยนต์กันอย่างคึกคัก ค่ายรถสี่ห่วงที่รู้จักกันดีอย่าง Audi คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่กระโจนเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ส่งรถรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Audi e-tron GT รถยนต์กึ่ง Crossover รุ่นที่สามจากตระกูล e-tron พร้อมเผชิญหน้ากับคู่แข่งในตลาดรถพลังไฟฟ้าเจ้าดังอย่าง Tesla Model S แต่มุ่งไปในตลาดสปอร์ตซีดานมากกว่า รถ Passenger และ SUV แบบเทสล่า Audi e-tron GT เกิดจากความร่วมมือของสองยักษ์ใหญ่อย่าง Audi Sport และเจ้าชายกบแห่งวงการสปอร์ตคาร์อย่าง Porsche ที่เป็นบริษัทเครือเดียวกันทั้งที จึงได้เปรียบจากการแชร์ความรู้และเทคโนโลยีร่วมกันพัฒนาแพลตฟอร์มแบตเตอร์รี่ให้มีรูปแบบเดียวกับ Porsche Taycan สามารถขับเคลื่อนระยะทางไกลได้กว่า 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง และรองรับการชาร์จไฟแบบเร่งด่วนได้ถึง 80% ภายในเวลาเพียง 20 นาที รวมไปถึงตัวถังแบบไฟฟ้า (EV) ที่เรียกว่า J1 ซึ่งทางออดี้ยังไม่เปิดเผยข้อมูลมากนัก และลือกันว่าตัวถังดังกล่าวจะช่วยเซฟงบประมาณในการพัฒนาไปได้กว่าร้อยล้านยูโร หรือว่าสามพันล้านบาทเลยทีเดียว ด้านสมรรถนะในการขับขี่เรียกได้ว่ามันส์สะใจสไตล์ audi แน่นอน ใส่มาอย่างเต็มที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ขุมกำลังแรงเทียบเท่า 590
เป็นเวลาราว 2 ปีเห็นจะได้ นับตั้งแต่วันที่ DJI เริ่มนำเทคโนโลยีกันสั่นมาใส่ใน Gimbal และเรียกมันว่า ‘Osmo’ เป็นเหมือนไม้กายสิทธิ์คู่ใจคนถ่ายวีดีโอ ด้วยความสามารถในการกันสั่นที่นิ่งราวกับจับวางแม้คนถ่ายจะมือสั่นเป็นเจ้าเข้า ทำให้ Osmo ได้การตอบรับอย่างกว้างขวาง นำไปสู่การพัฒนา Gimbal กันสั่นรุ่นใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เทคโนโลยีของ Osmo พัฒนาจากกันสั่นสำหรับกล้อง DSLR สู่ Smartphone และวันนี้ DJI ได้พัฒนาไปอีกขั้นกับ Osmo ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือที่เหมาะสำหรับตากล้อง Online, Blogger และ YouTuber ยุคนี้สุด ๆ กับ DJI Osmo Pocket กล้องที่มีจุดเด่นด้วย 3-axis stabilized handheld camera มากับกันสั่นสามแกนในขนาดเล็กที่สุดเท่าที่ DJI เคยสร้างสรรค์มา ด้วยความสูงเพียง 4 นิ้ว หนักเพียง 116 กรัม พร้อมเก็บใส่กระเป๋าได้สมชื่อ Osmo
หลายแนวคิดและธรรมเนียมของญี่ปุ่นคือสิ่งที่เราชื่นชอบ เพราะส่วนใหญ่เน้นความเรียบง่ายแต่ให้ลายละเอียดลงลึก จึงไม่แปลกที่คอนเซ็ปต์นี้จะถูกส่งต่อมาเป็นเรื่องราวของโปรดักส์แทบทุกชิ้น เช่นเดียวกับตัวนี้ที่เราเพิ่งไปเจอมาคืออุปกรณ์อัจฉริยะหน้าตาเรียบ ๆ ทำจากแผงไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใช้ชื่อว่า “Mui” Mui คืออุปกรณ์อัจฉริยะลูกผสมระหว่าง ความเชื่อและความไฮเทคมารวมกันอย่างลงตัว ซึ่งความเชื่อมาในรูปแบบของวัสดุที่ใช้แผ่นไม้ เชื่อมโยงกับวลีในภาษาญี่ปุ่นที่ว่า “Kuwabara kuwabara” (桑原桑原) หรือเคาะไม้แล้วจะกันโชคร้ายได้ นำมารวมกับความทันสมัยด้วยการออกแบบให้ไม้นั้นแสดงไฟ Led ขึ้นเป็นอักษรหรือภาพในระบบ interactive ที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ MUI ทำอะไรได้บ้าง? เปลี่ยนบ้านให้เป็นสมาร์ตโฮมที่จะทำให้คุณใกล้ชิดกับคนในครอบครัวมากขึ้น ควบคุมได้ทั้งแสงไฟและอุณหภูมิของฮีทเตอร์ในห้อง เป็นอุปกรณ์สื่อสารสำหรับคนในครอบครัว เพื่อใช้ติดต่อกัน ให้ข้อมูลสภาพอากาศ ปฏิทิน หรือนาฬิกา โดยไม่ต้องจับมือถือบ่อย ๆ ทำหน้าที่เป็นสมาร์ตโฟนสำหรับ Google Home และ Alexa ตอนแรกเราเองก็สงสัยว่าแค่เป็นไม้แล้วอย่างไร มันต่างจากการใช้กระจกหรือจอ Led ปกติ Google home หรือ Alexa ตรงไหน คำตอบมันอยู่ที่คอนเซ็ปต์การผลิตที่ผู้ผลิตเขาต้องการให้มันเป็นอุปกรณ์แห่งอนาคตไว้ลดความว้าวุ่นใจเวลาใช้งานโลกออนไลน์หันมาใช้เวลาร่วมกัน ด้วยรูปลักษณ์เรียบ ๆ เป็นเพียงแผ่นไม้ของมัน ที่พอเราไม่ไปสัมผัสมันก็กลับเป็นแผงไม้ปกติเหมือนเก่าจึงทำให้เราหันกลับไปโฟกัสกับคนด้วยกันมากกว่า ชนิดที่ว่าเราจะไม่ไปนั่งพะวงกับการใช้งานมันบ่อย ๆ เหมือนตอนใช้อุปกรณ์ตัวอื่นเพราะส่วนใหญ่พอเรากดมือถือไปเพื่อใช้งานฟังก์ชันเหล่านี้
ผลงานสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีตของ Apple ชิ้นนึงซึ่งหลายคนเสียดายที่มันต้องหายไปจากตลาด แต่ด้วยฟังก์ชันที่ทดแทนกันได้ง่าย ๆ ด้วยการรวมเข้ากับ iPhone ทำให้ iPod เครื่องเล่น MP3 Music Player ไม่มีที่ยืนในแผงสินค้าของ Apple Store อีกต่อไป แต่ด้วยความผูกพันที่โตมาพร้อมกันตั้งแต่ Classic iPod รุ่นแรก จึงทำให้ Designer ชาวเกาหลีเกิดปิ้งไอเดียออกแบบ Apple Watch case ที่ทำให้มันกลายเป็น iPod ได้ แม้จะแค่คล้าย ๆ ก็ยังดี Yeonsoo Kang นักออกแบบชาวเกาหลีได้ปล่อยโปรเจคที่ทำงานร่วมกับ Caseology บริษัทผู้ผลิตเคสสำหรับ Apple Product มากมายหลายชนิด รวมถึง Apple Watch ที่น่าสนใจชิ้นนี้ด้วย ซึ่งลักษณะเป็นซิลิโคนสีขาวที่มาพร้อม Click Wheel แบบใน iPod ซึ่งแม้เวอร์ชันปัจจุบันจะใช้งานปุ่มเหล่านี้ไม่ได้ ยังคงต้องสั่งงานด้วยการกดหน้าปัดนาฬิกา เป็นเพียงดีไซน์ที่สร้างสีสันให้ Apple Watch
ก่อนหน้านี้ Hublot (อูโบลท์) เคยสร้างมาตรฐานนาฬิกาที่ทั้งโดดเด่นสวยงามและป้องกันรอยขีดข่วนได้ยอดเยี่ยมระดับโลก กับ Hublot Magic Gold ที่ใช้ทอง 24K ในการผลิตตัวเรือนมาแล้ว วันนี้ Hublot เปิดตัวนาฬิกาที่น่าประทับใจและน่าเก็บสะสมใน Collection อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มีทั้งความหรูหรา และความโดดเด่นที่ชาว Streetwears สามารถสวมใส่เข้าได้กับหลายสไตล์แน่นอน โดยเฉพาะคนที่ชอบแต่งตัวโทนแดงของ Supreme เพราะ Hublot Big Bang Unico “Red Magic” สีแดงเรือนนี้เป็น Limited Edition ที่เท่สุด ๆ ไปเลย Hublot Big Bang Unico 45mm. เรือนนี้ผลิตด้วยวัตถุดิบ Ceramic ที่ไม่ธรรมดา เพราะเป็น Vivid-Red Ceramic Structure หรือเซรามิกสีแดงสดตัดโทนดำบริเวณหน้าปัด ปุ่มกด และเม็ดมะยม ซึ่งเป็นขั้นตอนการผลิตครั้งแรกของโลก ไม่ว่าใครเห็นนาฬิกาเรือนนี้จากมุมไหน คงต้องหันมามองให้ความสนใจระดับ Big Bang สมชื่อ ตัวเรือนน้ำหนักเบาจากเซรามิกที่สามารถป้องกันรอยขีดข่วนกว่าวัตถุดิบชนิดอื่น
APPLE® ได้ประกาศเปิดตัว MacBook Air 2018 ในงาน Apple Special Event ในกรุงนิวยอร์กพร้อมกับ iPad Pro และ Mac mini แต่แน่นอนว่าไฮไลท์คือ RE-Design ใหม่ของซีรีส์ MacBook Air ซึ่งสร้างปรากฏการณ์ในกับวงการ Laptop ได้ทุกครั้งในการเปิดตัวแต่รอบนี้จะพัฒนาชิ้นส่วนไหนบ้างตามไปดูกัน DESIGN MacBook Air 2018 มาพร้อมหน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว จอภาพขยายใกล้ขอบมากขึ้น ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมที่ผ่านการรีไซเคิลมาใช้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ซึ่งเป็นแนวคิดเพื่อสิ่งแวดล้อม และเป็นรุ่นแรกที่มีการใช้ในสายการผลิต นอกจากนี้ยังถูกออกแบบให้รูปทรงบางขึ้นกว่ารุ่นเดิมอีกด้วย ด้านข้างตัวเครื่องมีช่อง USB-C Thunderbolt 3 ที่ถ่ายโอนข้อมูลเร็วขึ้นจำนวน 2 พอร์ต พร้อมกับช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร โดยทั้งหมดมีน้ำหนักรวมกัน 2.75 ปอนด์ (1.24 กิโลกรัม) ลดลงจากรุ่นเดิม 10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีการอัพเกรดคีย์บอร์ดให้เป็นรุ่น Butterfly Keyboard Gen 3 เหมือนใน MacBook