มนุษย์ใช้ประโยชน์จากอารมณ์ขัน (humor) มานานกว่าหลายพันปี และพบว่ามันมีประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ช่วยคลายความเครียด หรือ ช่วยให้เข้าสังคมได้ดีขึ้น ฯลฯ แต่การเล่นมุกมันก็มีความยากอยู่ เพราะมันต้องคำนึงถึงบริบท เวลา และความเหมาะสมในการเล่นมุกด้วย หากเราละเลยเรื่องเหล่านี้ไป เราอาจได้รับผลเสียจากการทำตัวตลกได้ UNLOCKMEN จึงอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจว่า ผู้นำควรใช้มุกตลกตอนไหนดี ถึงจะไม่ดูน่าเกลียด และส่งผลดีต่อการทำงานมากที่สุด ประโยชน์และโทษของมุกตลก งานวิจัยหลายชิ้นได้ศึกษาและค้นพบประโยชน์ของการใช้ อารมณ์ขัน หรือ มุกตลก ในการสื่อสาร การทำงาน หรือ การเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ลดความเครียด ให้ประโยชน์ด้านการเรียนหนังสือ (เช่น เด็กนักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียนมากขึ้น หรือ มีความสุขกับการเรียนมากขึ้น) รวมไปถึง ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หรือ ช่วยให้วัฒนธรรมการทำงานดีขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อเราใช้มุกตลกผิดประเภท หรือ ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ มันก็ทำให้เกิดโทษได้เหมือนกัน เช่น การใช้มุกตลกเกรี้ยวกราดในการสอนหนังสือ อาจทำให้เด็กเรียนรู้ได้แย่ลง หรือ การใช้มุกตลกเวลาพูดถึงปัญหาทางการเมืองและสังคม ก็อาจทำให้ผู้นำเสียเครดิต และกลายเป็นคนที่ไม่จริงจังในสายของคนทั่วไปได้ อีกทั้งการใช้มุกตลกสามารถส่งผลเสียต่อการทำงานได้เหมือนกัน ถ้าเราโฟกัสกับมันมากเกินไป
ชีวิตประจำวันมันเครียด แต่เสียงหัวเราะจะช่วยเยียวยาเราได้ อยากหนีเรื่องเครียดเป็นสัญชาตญาณสากล ทำให้ “เสียงหัวเราะ” เป็นหนึ่งธุรกิจที่ขายได้ทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะกับชาติไทยเราที่เป็นชาติแห่งอารมณ์ขัน เพราะไม่ว่าสถานการณ์ไหน ทั้งวงเพื่อน วงเหล้า วงเหงา วงเครียด วงแดก หรือห้วงรัก ไทม์ไลน์ชีวิตเราต่างแทรกซึมด้วยเสียงหัวเราะเข้าไปได้เสียทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าตอนที่เราเล่นเอง มุกจะกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจก็ตาม ตอนที่คิดจะลุกมาเขียนบทความนี้ ต้องยอมรับว่าเขียนถึงด้วยความคิดถึงและความบังเอิญ หลังจากที่เราไม่ได้เปิดทีวีมานานแล้วดันไปเจอว่าตอนนี้ทางกลุ่มบันลือกรุ๊ปเขาบุกตลาดซิตคอมผลิต “ขายหัวเราะ On Air” ด้วยการใช้คนแสดง เกิดเป็นรายการเข้าช่องเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งที่เราเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาทุกอย่างยังเงียบสงบและอาศัย 2 ทางคือ การขายเสียงหัวเราะผ่านการ์ตูนช่องที่เป็นรูปแบบสิ่งพิมพ์บนแผงกับการขายสินค้าบนช่องทางออนไลน์ แต่เอาเข้าจริง พอเข้าไปไล่ดูจริง ๆ มันไม่ได้มีแค่นั้น อุตสาหกรรมคอนเทนต์ตลกของ “บันลือกรุ๊ป” งอกลูกหลานออกมาตบมุกเยอะแยะไปหมด และกระจายออกไปหลายแพลตฟอร์มชนิดที่เราเองก็ไม่รู้และไม่ทันสังเกตมาก่อนเหมือนกัน ซึ่งวิสัยทัศน์การขยายตัวทางธุรกิจนี้ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว การแข่งขันแม้ไม่มีคู่เทียบที่ชัดเจนและครองตำแหน่งตำนานตลกสุดคลาสสิกในตลาดมายาวนานบางคนอาจจะมองว่าสามารถเล่นแบบเพลย์เซฟไปได้เรื่อย ๆ แต่ในวันที่โลกทั้งใบโดน Disrupt โอกาสและความเป็นไปได้ที่จะเติบโตหรือคงอยู่พร้อมจะเกิดขึ้นเสมอ ทำให้ไม่มีใครยอมล้าหลังอยู่ที่เดิมสักคน ลองมาดูความดุของการลงทุนที่ไม่ใช่แค่ราคา 5 บาท 10 บาท แต่กางแขนขาโอบคลุมทั้งตลาดความฮาแบบครบวงจรกันว่ามันเป็นอย่างไร น่าสนใจแค่ไหนลองไปดู เรื่องตลกจะไปอยู่ตรงไหนได้บ้าง?