ถ้านึกถึงสิ่งแรกที่คิดถึงประเทศเกาหลีใต้ สำหรับคนที่ยังไม่เคยไปอย่างเราก็คงมีวัฒนธรรมการกินไก่ทอด & เบียร์, วง G-IDLE (เป็นติ่งแหละ), การทำศัลยกรรม อ้อ ๆ แล้วก็แน่นอน ‘การสัก’ ไงล่ะ เสน่ห์ของความมินิมอลบนเรือนร่างเป็นสิ่งที่ไม่มีทางลืมนึกถึงได้เลย เพราะเกาหลีใต้คือหนึ่งในประเทศที่คนบินไปเพื่อสักมากที่สุดที่หนึ่งของโลก อุดมไปด้วย Tattoo Artist มีชื่อเสียงฝีมือฉกาจมากมาย แต่น่าเศร้าที่กฎหมายของประเทศนี้ยังจับคำว่า ‘ถูกกฎหมาย’ ของการสักใส่ไว้ในกรงไม่ให้หนีไปไหน ซึ่งย้อนไปไกลตั้งแต่ปี 1992 จนล่าสุดถึงปี 2022 สาเหตุของความย้อนแย้งของกฎหมายต่อสายตาของผู้คนทั่วโลก ว่าอะไรทำให้ประเทศที่งานศิลปะเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะดนตรี แฟชั่น และแน่นอนว่า ‘การสัก’ ถึงถูกแบนจากประเทศของตัวเอง UNLOCKMEN ชวนอ่านเรื่องเศร้าของการเป็นช่างสักในเกาหลีใต้ ที่พวกเขารู้สึกว่าถึงแม้จะเป็นประเทศที่เจริญแล้ว แต่ก็ยังถูกปฎิบัติราวกับอาชญากรอยู่ดี The K-TATTOO ความรุ่งเรืองที่สวนทางเรื่องรอยสักในเกาหลีใต้ น่าจะสามารถใช้มาตรวัดที่ไม่มากก็น้อยจากวัฒนธรรมภายในประเทศที่เรียกว่า K-TATTOO อันเป็นคำนิยามในทางเดียวกันกับคำที่ใช้กำหนดแนวดนตรีในประเทศ K-POP หรือซีรีส์แบบ K-DRAMA ความหมายง่าย ๆ ประมาณว่า ‘รอยสักที่อยู่บนเรือนร่างของศิลปินเกาหลี’ นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น รอยสักบนตัวของ
‘รอยสัก’ นับเป็นงานศิลปะและลวดลายแฟชั่นที่เพิ่มความงดงามให้กับเรือนร่างของผู้ชายมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่นอกเหนือจากความสวยงาม รอยสักยังสะท้อนถึงความเชื่อ ความหมาย ตัวตน และความชอบที่แตกต่างกันออกไป มันจึงเป็นสิ่งที่ต้องการความปราณีตและความเป็นมืออาชีพของช่างในการสลัก วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปเยี่ยมร้านสักหลากสไตล์ที่จะเปลี่ยนผิวหนังของคุณให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความทรงจำ INK AGAIN มาเริ่มกันที่ INK AGAIN TATTOO ร้านสักลายขนาดย่อมที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยรัชดา 36 แม้ตัวร้านจะมีขนาดเล็ก แต่ฝีมือของช่างก็ไม่ได้เล็กน้อยตามตัวร้านเลย เพราะช่างประจำร้านมีประสบการณ์ด้านนี้มานานถึง 10 ปี แถมยังสลักลายได้หลายแนวไม่ว่าจะเป็น Black Work / New School / Minimal หรือ ถ้าคุณอยากได้ลายแนว Custom ทางร้านก็จัดให้ได้เหมือนกัน หากใครสนใจลองไปดูผลงานของร้านเพิ่มเติมได้ที่ IG: @inkagaintattoo หรือ ดูพิกัดร้านได้ที่ Google Maps AOMOA ใครที่ชื่นชอบรอยสักที่มีสีสันสวยงามฉูดฉาด หรือ ที่เป็นลายกราฟิกที่โดดเด่นทั้งสีและเส้น เราขอแนะนำร้านสักที่น่าจะตอบโจทย์คุณ ร้านนี้มีชื่อว่า AOMOA TATTOO STUDIO ซึ่งตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 21
คุณมองคนที่มีรอยสักเป็นอย่างไร ? มองว่าเป็นคนไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนตัวของเขา หรือมองว่าเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง บางคนอาจรู้สึกโอเคกับรอยสักขนาดเล็กสไตล์มินิมัล แล้วถ้ารอยสักขนาดใหญ่พาดเต็มแขนทั้งสองข้าง คุณจะมองว่ามันคือสัญลักษณ์ของอาชญากรหรือมองเป็นศิลปะญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์มากกว่ากัน ? UNLOCKMEN จะพาไปดูมุมมองเรื่องรอยสักของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่เหมือนหรือแตกต่างเรื่องการวาดลวดลายบนเรือนร่าง ว่ามันสวยงามหรือว่ามันคือสัญลักษณ์ของพวกอาชญากรกันแน่ ? รอยสักญี่ปุ่นว่าด้วยคนญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์รอยสักแห่งเกาะญี่ปุ่น เกิดขึ้นเมื่อค้นพบตุ๊กตาอายุราว 2,300 ปี ในหลุมศพของโชกุน การค้นพบครั้งนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นต่างตั้งสมมุติฐานว่ารอยบนใบหน้าของตุ๊กตามีความหมายว่าอย่างไร บ้างก็ว่าเป็นเครื่องหมายแสดงความกล้าหาญ บ้างก็ว่าเป็นการบอกยศ และมีคนเชื่อว่ารอยสักคือเครื่องหมายไว้ประจานพวกนักโทษ สังคมญี่ปุ่นสมัยโชกุนจะแยกคนที่มีรอยสักกับไม่มีรอยสักออกจากกัน คนไม่มีรอยสักก็คือประชาชนธรรมดา บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้า มนุษย์เงินเดือน เจ้าหน้าที่ข้าราชการ ส่วนคนที่มีรอยสักมักเป็นโรนิน โสเภณีธรรมดาที่ไม่ใช่สาวงามแบบโอยรัน นักโทษ เด็กเกเร และคนที่ไม่ยอมอยู่ในครรลองคลองธรรมอันดีงามที่สังคมกำหนดไว้ หลังจากระบบการปกครองของญี่ปุ่นถูกรื้อใหม่หมด ช่วงปี ค.ศ. 1750 ญี่ปุ่นยกเลิกการปิดประเทศอย่างถาวร ปฏิรูปสังคมและชนชั้น ซามูไรถูกลดอำนาจ มีบันทึกระบุว่าชายหนุ่มจำนวนมากนิยมสักกันมากขึ้น ร้านสักกลายเป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินเข้าไปได้ แถมยังขยันออกลวดลายเท่ ๆ มาแข่งกันเพื่อเรียกลูกค้าอีกต่างหาก ผู้คนเริ่มมีมุมมองเกี่ยวกับคนมีรอยสักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลงอีกครั้งเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า ‘หากประชาชนคนใดนิยมรอยสักจะต้องรับโทษ’ หรือกฎปี 2001 ระบุว่า