เมื่อเลิกตื่นเต้นกับการเริ่มงานใหม่ได้สักพัก และคุ้นชินกับการทำงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ ราวกับเป็นเครื่องจักร หนุ่ม ๆ หลายคนอาจพอสังเกตได้ว่าชีวิตการทำงานแม่งไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย หากน่าเบื่อ จำเจ และดูเหมือนการทำงานของเราคือการย่ำอยู่กับที่เสียมากกว่า จนเผลอคิดว่าถ้าย้ายสายงานไปก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้หรือเปล่า? แม้การย้ายงานจะเป็นเรื่องง่าย แต่การย้ายงานจากสายอาชีพหนึ่งไปสู่อีกสายอาชีพหนึ่ง ดูจะไม่ง่ายเลย เพราะผู้ชายหลายคนคงกังวลว่าตนจะไปรอดไหม เริ่มต้นตอนนี้จะไปสู้ใครเขาได้ และถ้าย้ายงานแล้วล้มเหลวมันจะไม่เสียเวลาชีวิตเหรอ แต่การย้ายสายงานอาจไม่ได้น่ากลัว ถ้าเทียบกับการทำงานไปวัน ๆ โดยปราศจากเป้าหมาย และปล่อยให้พฤติกรรมแสนจำเจนี้บั่นทอนชีวิตของคุณ จนไฟในการทำงานมอดดับลงโดยที่คุณไม่รู้ตัว วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาบอกทริคง่าย ๆ เพื่อให้หนุ่ม ๆ ที่มีแพลนจะย้ายงานสามารถเริ่มงานใหม่ได้อย่างไร้กังวล เตือนตัวเองว่าไม่มีคำว่า “สายเกินไป” ในช่วงที่จะย้ายสายงานเราเชื่อว่าคงมีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวหนุ่ม ๆ แต่คุณต้องมั่นใจในความคิดของตัวเองและโปรดรู้เอาไว้ว่าไม่มีคำว่า “สายเกินไป” สำหรับการย้ายงาน อายุและช่วงวัยไม่ได้มีผลต่อความสำเร็จในอาชีพการงานแม้แต่น้อย แถมโอกาสและจังหวะชีวิตของแต่ละคนก็ต่างกันด้วย ถ้างานที่ทำอยู่มันบั่นทอนชีวิตและทำให้คุณไม่มีความสุขกับการทำงาน จงย้ายงานด้วยความคิดที่แน่วแน่ แล้วคุณจะรู้ว่าสิ่งที่ได้รับจากการตัดสินใจครั้งนี้ มันคุ้มค่าแค่ไหน ตั้งใจทำงานและให้ความสำคัญกับคุณภาพงาน ว่ากันว่าการเริ่มต้นที่ดีนั้นมีชัยไปกว่าครึ่ง เราไม่สนว่าก่อนหน้านี้คุณจะทำงานได้แย่ขนาดไหน แต่เมื่อได้โอกาสเริ่มต้นงานใหม่ ก็ขอให้การทำงานครั้งนี้เป็นการพิสูจน์ตัวเองว่าคุณจะไปได้ไกลแค่ไหนในสายงานใหม่ที่คุณเลือก สำหรับบางคนการเริ่มต้นใหม่ อาจต้องฝึกฝน ตั้งใจ และทุ่มเทให้กับงานมากเป็นเท่าตัว แต่ตราบที่งานนั้น
เคยนับบ้างไหมว่าเราหมดเวลาไปกับการทำงานกี่ชั่วโมงต่อวัน? หากคิดเล่น ๆ คงประมาณหนึ่งในสามของวันเลยละมั้ง ตั้งแต่เรียนจบและเริ่มชีวิตการทำงานอย่างจริงจัง งานและชีวิตประจำวันก็ผูกโยงกันโดยสมบูรณ์ ถึงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในออฟฟิศมากกว่าบ้านก็เถอะ แต่คงไม่ใช่ผู้ชายทุกคนหรอกที่จะทำงานอย่างผาสุกสวัสดี งานกองมหึมาที่ว่ายากดูเป็นเรื่องขี้หมาไปเลยถ้าเทียบกับคนและวัฒนธรรมองค์กร ไหนจะเอาเปรียบ ไหนจะความเละเทะของระบบบริหาร หรือแม้แต่ความจู้จี้จุกจิกน่ารำคาญของหัวหน้า ทั้งหมดนี้ทำให้เรามีทัศนคติเชิงลบกับองค์กร และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหามากมายที่บ่มเพาะให้คุณกลายเป็นพนักงานในคราบตัวร้ายทำลายองค์กร แล้วพฤติกรรมไหนควรทิ้งไป ทัศนคติใดควรลบกันแน่? “งานนี้ให้คนอื่นทำเถอะครับ ผมคงไม่เหมาะ” การเลี่ยงจากหน้าที่และความรับผิดชอบ อันเนื่องมาจากความคิดว่าตนไม่สามารถทำงานบางอย่างได้ นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไร อย่าลืมว่าเราต้องฝึกฝนและทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย แม้งานที่เคยทำจะมีข้อผิดพลาดหรือถูกตำหนิอยู่บ่อยครั้ง แทนที่จะก่นด่าองค์กรแล้วผละความรับผิดชอบออกไปให้คนอื่น จะดีกว่าไหมถ้าคุณเปิดใจยอมรับและนำข้อผิดพลาดในอดีตมาปรับปรุงงานปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าทุกสังคมการทำงานจะยอมรับคำว่า “ไม่อยากก็ทำก็ไม่ต้องทำ” เสมอไป การเลี่ยงงานยาก ๆ และนั่งเป็นพระราชาอยู่ในคอมฟอร์ตโซนต่อไป คงไม่ทำให้ทั้งคุณและองค์กรของคุณเติบโตขึ้นได้ “ถ้าไม่นับงาน ผมก็ชอบทำทุกอย่างในออฟฟิศ” อีกหนึ่งนิสัยที่แก้ไม่เคยหายคือความขี้เกียจทำงาน และความขยันขันแข็งกับอะไรที่ไม่ใช่งาน แม้อยู่ในชั่วโมงงานแต่เวลาส่วนใหญ่จะหมดไปกับการฟังเพลง เล่นเกม ตอบแช็ต หรือแม้แต่แสร้งพิมพ์ดีดมัน ๆ พร้อมสีหน้ามุ่งมั่นปนเครียดเพื่อให้หลายคนคิดว่าคุณกำลังทำงานอย่างหนัก คุณมักจะนั่งเหม่อลอยในห้องประชุม มาสายจนคิดว่าเป็นเรื่องปกติ หรือแม้แต่บ่นเป็นหมีกินผึ้งกับเรื่องหยุมหยิม หากทั้งหมดที่กล่าวมานี้บ่งบอกถึงความเป็นคุณ หนุ่ม ๆ อาจต้องพิจารณาตัวเอง แล้วรีบแก้ไขมันซะ! ก่อนที่จะสายและบ่อนทำลายองค์กรมากไปกว่านี้ “โคตรไม่ชอบขี้หน้าไอ้แว่นนี่เลยว่ะ” แม้การติฉินนินทาจะไม่ใช่เรื่องที่หลายคนสันทัด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันยังมีให้เห็น จริงอยู่ที่การพูดคุยจะทำให้งานราบรื่นและนำมาซึ่งการทำงานร่วมกันอย่างสันติ
คุณเคยสงสัยไหมว่าทุกอาชีพบนโลกใบนี้เกิดขึ้นจากไหน ทำไมเรามีครู มีนักเขียน มีกราฟิก มีนักร้อง ฯลฯ ถ้าคุณคิดว่ามันเกิดขึ้นมาเพื่อทดแทนสิ่งที่หายไป มันคงแปลได้ว่า เมื่อมีบางสิ่งเข้ามาทดแทนในอนาคต เราอาจกลายเป็น loser ที่ต้องโดนแย่งไปในที่สุด แต่ถ้าเราสร้างอาชีพนั้นขึ้นมาเองล่ะ คงเป็นไปได้ยากที่จะมีใครทำได้เหมือนเราและเป็นอาชีพสุดมั่นคงทางใจเราอย่างแน่นอนเพราะมันเกิดขึ้นจากแรงขับเคลื่อนที่เรามี “PLANT HUNTER” คือหนึ่งอาชีพ ที่เชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้จักมันดีเช่นเดียวกับเรา อาชีพนักล่าสิ่งมีชีวิตสีเขียวอย่างพืช ทำไมถึงต้องมีอาชีพนี้ เขาทำอะไรกัน และมันมีความสำคัญอย่างไร เราจะอธิบายมันไปพร้อมกับหนุ่มแดนอาทิตย์อุทัยที่ทำอาชีพนี้มานับ 10 ปี “Seijun Nishihata” ชายผู้พบความฝันที่ระดับความสูง 4,095 เมตร SEIJUN NISHIHATA คือชายชาวญี่ปุ่นที่เติบโตและเป็นทายาทรุ่นที่ 5 ของบริษัท Hanau ที่ค้าส่งพันธุ์พืชและดอกไม้มานานกว่า 150 ปี เขาหลงใหลและทำอาชีพนักล่าต้นไม้มาตั้งแต่ยังอายุ 21 ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้วันที่เขากลายเป็นหนุ่มวัย 38 อันที่จริงเขาเหมือนใครอีกหลายคนที่ไม่ได้หาตัวเองเจอตั้งแต่แรก แต่อาจจะแปลกกว่าคนอื่นสักหน่อยตรงที่เจอว่าตัวเองชอบอะไรที่ระดับความสูง 4,095 เมตร หลังจากปีนเขาที่เกาะบอร์เนียว ประเทศมาเลเซียแล้วพบกับ Nepenthes rajah หรือหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งครั้งหนึ่งพ่อของเขาเคยเล่าเรื่องราวของมันไว้อย่างตื่นเต้น แต่มันเทียบไม่ได้กับความรู้สึกมหัศจรรย์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นเลย นับจากนาทีนั้นเขาเลิกคิดว่ามีต้นไม้อีกมากให้ปลูก
เรียนจบสักที ดีใจโว้ย ในที่สุดก็หลุดพ้นแล้ว ต่อไปก็หางานทำ มีงาน มีเงิน ชีวิตสบายขึ้น ใช่ซะที่ไหนล่ะ ตื่นจากฝันก่อน! ทันทีที่รับใบปริญญา ชีวิตคุณก็จะเข้าสู่โลกแห่งความจริง ทุกอย่างไม่มีอะไรง่ายอย่างที่คิด งานที่ตอนแรกคิดว่าจะหาง่ายกลับกลายเป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร ยื่น Resume ไปเป็น 10 ที่ มีแค่ที่เดียวที่ติดต่อกลับมาสัมภาษณ์ และผลลัพธ์การสัมภาษณ์ครั้งนั้นก็ดันแห้วเสียอีก หรือบางคนอาจจะโดนเรียกไปสัมภาษณ์เยอะหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต่างกัน ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เราทำอะไรพลาดไป? คำตอบของคำถามเหล่านี้อาจจะอยู่ที่พฤติกรรมตอนสัมภาษณ์ซึ่งเราเผลอทำไปโดยไม่รู้ตัว และมันดันไม่ถูกใจกรรมการ ดังนั้นเรามาแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวกัน คุณดริฟต์จนยางไหม้ สีข้างถลอก เพราะการดริฟต์ไม่ได้มีแค่ในการแข่งรถ แต่ในการพูดคุย โดยเฉพาะการสัมภาษณ์งานก็เกิดการดริฟต์ขึ้นบ่อยครั้งเช่นกัน จุดเริ่มต้นส่วนใหญ่มักจะเริ่มจากการที่เราโดนคนสัมภาษณ์ถามคำถามวัดความรู้ ซึ่งเรารู้ดีว่านี่คือคำถามสำคัญ อาจเป็นตัวตัดสินชะตาว่าเราจะได้งานหรือไม่ แต่เราดันตอบคำถามนี้ไม่ได้ สมองว่างเปล่า ด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดเราจึงพยายามจับแพะชนแกะ ดริฟต์ซ้าย แถขวา ตอบออกไปให้เราดูเหมือนมีความรู้ที่สุด เราคิดว่าเรารอดแล้ว แต่เปล่าเลย เพราะความเป็นจริงคนสัมภาษณ์เขามีประสบการณ์และความรู้มากกว่าเราหลายเท่าตัว เขารู้ตั้งแต่คำแรกที่เราตอบไปแล้วว่าเราไม่ได้มีความรู้จริง ๆ ดังนั้นถ้าเราไม่รู้ก็อย่าดริฟต์ อย่าแถ แค่ตอบไปว่า “เรื่องนี้ผมไม่ทราบครับ แต่จะกลับไปค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมแน่นอนครับ” คุณพูดมากเกินไป แน่นอนว่าการให้ผู้สัมภาษณ์หรือบริษัทเข้าใจตัวตนของเราที่สุดคือเป้าหมายสูงสุดของการสัมภาษณ์งาน เราต้องแสดงให้เห็นว่าเรามีศักยภาพเพียงพอที่จะทำงานนี้ได้ เหมาะสมกับตำแหน่งหรือเงินเดือนที่เราต้องการ
เมื่อก่อนมีเงินเขานับเป็นน้อง มีทองเขานับเป็นพี่ แต่เดี๋ยวนี้วิธีนับมันไม่เหมือนเก่าต่อให้เดินล่อนจ้อนออกนอกบ้าน ไม่คล้องทองหยองเต็มคอ หรือกระเป๋าสตางค์จะแฟ่บแค่ไหน ตราบเท่าที่มีสมาร์ทโฟนในกำมือมันก็อุ่นใจ เพราะเราอยู่ในสังคม cashless society ที่ถ้าย้อนกลับไป 5-10 ปีที่แล้ว พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อหรือนึกออกว่าเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ไร้พรมแดนหน้าตาเป็นอย่างไร พอ ๆ กับที่หลงลืมความยุ่งยากเดิมที่มีว่ากว่าจะซื้อของสักชิ้น จ่ายบิลสักอย่าง เราใช้ชีวิตกันด้วยความยุ่งยากขนาดไหน ระหว่างที่อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจจะกำลังมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถ้าลองย้อนคิดว่าปรากฏการณ์สเกลใหญ่ขนาดนี้ที่เกิดขึ้นในสังคมแถมผ่านมาเป็นปี ๆ แล้ว ใครเป็นคนทำ? ใครที่อยู่หลังการกดนิ้วบนจอกระจกตอบโจทย์การใช้ชีวิตพวกเรา คนที่แอบอยู่หลังความ Easy เหล่านั้น พวกเขาคือใคร ทำอาชีพอะไรกัน คำตอบคุณเหมือนที่เราจะเฉลยหรือเปล่า ? พวกเขาเหล่านี้คือ “คนธนาคาร” เมื่อปรากฎการณ์ดิจิทัลแบงกิ้งมันมาจากกลุ่ม “คนธนาคาร” คนที่เราไม่เคยมองเห็นหน้า และงาน UNLOCK ก็เป็นงานถนัดของพวกเราอยู่แล้ว UNLOCKMEN ขอถือโอกาสนี้บุกไปตามหาและพูดคุยกับคนเบื้องหลังกันให้มันลึกสุดใจกันถึงถิ่นที่ SCB สำนักงานใหญ่ อาณาจักรของพวกเขา กันดีกว่า รู้จัก “คนธนาคาร” กลุ่มคนสนุกสายดิจิทัลแบงกิ้ง ถ้าไม่นับรวมบรรยากาศครึกครื้นและคราคร่ำด้วยผู้คนยกฟลอร์ด้านนอกห้องที่เราคุยกัน คนต่างวัย ต่างสายอาชีพแต่เป็นเจ้าของความคิดสนุก
“งานแม่งหายาก” ประโยคสบถโคตรคลีเช่แบบนี้ คุณยังพูดมันอยู่หรือเปล่า? บางทีการเสพข่าวเรื่องตกงานซ้ำ ๆ จากสำนักงานสถิติแห่งชาติปลายปีที่แล้ว ที่บอกว่าคนตกงานเพิ่ม 1.2 % หรือเกือบ 5 แสนคน มันก็ทำให้ใจของชายอกสามศอกอย่างเรา ๆ ทิ้งดิ่ง หรือเอามาเป็นข้ออ้างในการเลิกหางานแล้วนั่งคอตกอยู่ที่เดิม แต่อย่าเพิ่งเหมาว่าชีวิตมันแย่ เพราะ UNLOCKMEN มีเทคนิคหย่อนเบ็ดเรียกแขกเหล่า RECRUITER เปลี่ยนชีวิตว่างงานจาก SUCK เป็น SUCCESS แค่ลองเปลี่ยนตำแหน่งมายืนเหนือเกมเดิมที่คุณเคยเล่น แตะมือสลับทางจากเหยื่อมาเป็นพรานเลือกงานที่ชอบ เชื่อเหอะว่าพอเรามั่นใจในตัวเอง งานเฉียบ ๆ มันจะตามมา สวมวิญญาณ RECRUITER 2018 ปีนี้เขาต้องการอะไรบ้าง ADECCO THAILAND เขาสำรวจมาว่า HR TREND 2018 เป็นยุคที่บริษัทหันมาใช้โซเชียลกับเทคโนโลยี ในการตามหาและคัดเลือกคนกันมากขึ้น ซึ่งถ้าจะให้รู้เขา รู้เรา ก่อนอื่นเราต้องรู้เทรนด์การทำงานที่บริษัทหลายแห่งจะปรับตัวกันมากขึ้น ถามว่ารู้แล้วได้อะไร ก็เผื่อจะเอาไปดักทางสร้างคะแนน หรือต่อรองกับบริษัทเหล่านั้นดู เพราะสมัยนี้มีออฟชันมากกว่าแค่ทำงานประจำแบบ Full-Time นะ 1. หา Freelance ตามกระแส GIG ECONOMY เมื่อคนส่วนใหญ่เริ่มไม่อยากทำงานประจำ