คุณเป็นคนขี้โกหกไหม? ถ้าถามกันโต้ง ๆ ตรง ๆ น้อยคนจะยอมรับ เพราะภาพในหัวมนุษย์อย่างเรา ๆ “การโกหก” ถือเป็นเรื่องร้ายแรง รับไม่ได้ จนยากจะเปิดใจสำรวจตัวเองว่าเราก็อาจเป็น “คนขี้โกหก” กับเขาได้เหมือนกัน เกลียดการโกหกกันทั้งนั้น แต่วัน ๆ โกหกกันอย่างน้อย 5 ครั้ง แม้เราจะรู้สึกว่าไม่นะ ผมไม่ใช่คนขี้โกหกสักหน่อย เพราะการยอมรับว่าตัวเองโกหก ลดทอนความน่าเชื่อถือทางสังคมอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ความจริงมนุษย์โกหกบ่อยกว่าที่คิด งานวิจัย From junior to senior Pinocchio: A cross-sectional lifespan investigation of deception ระบุว่ากลุ่มตัวอย่างอายุ 18-44 ปี โกหกมากถึงวันละ 5 ครั้ง! ยิ่งเราเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ สกิลการโกหกก็จะเติบโตและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นจากการเรียนรู้ผ่านสภาพสังคม วิธีปฏิสัมพันธ์ พูดง่าย ๆ ว่ายิ่งโตก็ยิ่งโกหกเก่งขึ้น แนบเนียนขึ้นนั่นเอง “ศาสตร์แห่งการโกหก” 7 เหตุผลที่คนเลือกหลอกลวง นอกจากมนุษย์จะโกหกมากกว่าที่คิด (ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม)
เวลาเปรียบเทียบความซื่อสัตย์กับอะไรสักอย่าง ชื่อของฮาจิโกะและหมานานาสายพันธ์ุจากทั่วมุมโลกจะลอยมาทันที แล้ววลี “ซื่อสัตย์อย่างหมา” ก็จะเป็นประโยคแรก ๆ ที่เราได้ยิน แต่ความจริงเคยสงสัยไหมว่า ไอ้ที่แม่งกระดิกหางริก ๆ เดินมาหา หรือทำหน้าหงอเวลาโดนด่า จริง ๆ แล้วมันซื่ออย่างที่ว่าจริงเหรอ? มันเคยโกหกเราบ้างไหม? ตอนนี้ชั่วโมงแห่งความจริงมาถึงแล้ว เพราะนักวิจัยพฤติกรรมสัตว์เขาออกมาวิจัยและแถลงความจริงให้เรารู้ว่า “หมาซื่อมันไม่จริงเสมอไป” และตีพิมพ์งานวิจัยลงใน Animal Cognition หรือ “การรับรู้ของสัตว์” ดังนั้น อย่าเหมารวมว่าหมาทุกตัวมันจะสื่อหรือแสดงออกทุกอย่างตามที่มันคิดล่ะ เพราะบางทีคุณอาจจะเคยเจอไอ้ด่างที่บ้านตลบหลังมาแล้ว หมาโกหกมันก็มี ทาสหน้าโง่ การวิจัยครั้งนี้ใช้การมอนิเตอร์ติดตามพฤติกรรมลูกสุนัขต่างการเลี้ยงดูและอายุจำนวน 27 ตัว ซึ่งได้รับการอนุญาตให้เข้าร่วมจากเจ้าของพวกมันแล้ว จะแยบยลแค่ไหนถึงตีความได้แบบนี้ลองอ่านวิธีการวิจัยไปพร้อมกัน วันแรกเขาจะฝึกฝนสุนัขทุกตัวให้แยกแยะคน 2 จำพวก ได้แก่ ฝ่ายพาร์ทเนอร์และฝ่ายแข่งขัน โดยให้พวกมันได้เรียกรู้ผ่านรูปแบบการให้อาหาร ฝ่ายพาร์ทเนอร์จะยื่นอาหารส่งให้แบบง่าย ๆ ส่วนฝ่ายแข่งขันพอยื่นให้แล้วให้ขยักหรือปิดไว้ ไม่ยื่นให้ง่าย ๆ ผลของการฝึกวันแรกเลยทำให้เห็นว่าเจ้าลูกสุนัขชอบฝ่ายพาร์ทเนอร์มากกว่า วันต่อมาสุนัขจะถูกสอนว่าทำอย่างไรเพื่อให้มนุษย์ให้อาหาร ซึ่งเขาใช้วิธีจัดอาหารออกแบบเป็น 3 กล่อง 2 กล่องแรกที่มีอาหารเป็นกล่องที่หน้าตาเหมือนกัน แต่ว่าด้านในบรรจุอาหารต่างกันโดยจะมีอาหารที่สุนัขชอบและไม่ชอบอยู่ในนั้น ส่วนกล่องที่สามเป็นกล่องเปล่า หลังจากที่ฝึกให้พาไปแล้ว
ฟังคำพูดมาเป็นร้อยเป็นพันคำ แต่ก็แยกไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นจริงสักกี่เปอร์เซ็นต์ เลยต้องมาตกตะกอนกันว่าไอ้หมอนั่นพูดจริงสักแค่ไหน แต่การเอ่ยปากถามตรง ๆ ว่ามึงโม้ป่าววะ ? มันช่างดูไม่มีชั้นเชิงเอาเสียเลย UNLOCKMEN ขอเสนอเทคนิคเจ๋ง ๆ ที่เราไม่ต้องเป็นนักสืบมือดี FBI ตัวท็อป ไม่ต้องมีลูกไม้หลอกล่ออะไร ก็สามารถประเมินความจริงจากปากฝ่ายตรงข้ามได้ ด้วยการ “มองตา” นั่นเอง มาดูกันว่า นอกจากดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจแล้ว มันจะสามารถบอกความจริงในคำพูดได้ยังไงกันบ้าง Word Don’t But Eye Contact Says เราอาจจะคุ้นชินกับประโยค Cliché ที่ว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” และตอนนี้ University of Tampere Conducted ก็ได้ยืนยันเรื่องนี้เช่นกัน จากการศึกษาเกี่ยวกับ Eye Contact ของคนเราโดยตรง แล้วพบว่านอกจากการสังเกตอาการต่าง ๆ ของดวงตาว่าอีกฝ่ายพูดจริงแค่ไหน เรายังสามารถบังคับอีกฝ่ายแบบทางอ้อมได้ด้วยการมองตา เท่ากับว่า นี่ไม่ใช่แค่การหาความจริงแต่สามารถบีบบังคับให้อีกฝ่ายพูดความจริงได้ด้วยสายตาอีกด้วย การศึกษาที่ว่านี้ ทำการทดสอบด้วยกลุ่มทดลอง 51 คน อายุตั้งแต่วัยเลือดร้อน 19 ปีไปจนถึงวัยทำงาน 37 ปี มาเล่นเกมกัน ในเกมนี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้สามารถโกหกได้