FERRARI 296 SPECIALE / SPECIALE A กับเครื่องยนต์ V6 ที่จะทำให้คุณลืม V12 ไปเลย นี่คือรถ 2 เวอร์ชันที่แตกต่างกันทั้งฟีลและฟังก์ชัน — Speciale คือคูเป้หลังคาแข็งสายเฉียบ ส่วน Speciale A (Aperta) คือเวอร์ชันเปิดประทุนหลังคาแข็งพับได้ สำหรับคนที่อยากเปิดรับเสียง V6 hybrid ให้พุ่งเข้าสองรูหูแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น ใต้ฝากระโปรงคือขุมพลังเดียวกัน — Hybrid V6 เทอร์โบคู่ ขนาด 3.0 ลิตร ที่อัปเกรดทุกระบบด้วยเทคโนโลยีจากไฮเปอร์คาร์ F80 ตั้งแต่ก้านสูบไทเทเนียม ลูกสูบอะลูมิเนียม ไปจนถึงระบบระบายความร้อนใหม่ที่ทำให้พลังไฟฟ้าเค้นได้ลื่นและแรงกว่าเดิม รวมกันแล้วได้ 868 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลังผ่านเกียร์ dual-clutch 8 สปีด ที่จูนใหม่ให้ดุดันขึ้นทุกจังหวะ อัตราเร่งยังคงคมเฉียบตามแบบฉบับ Maranello — 0–100 km/h ภายใน 2.8 วินาที
ในหมู่รถแข่งที่เคยแบกรหัส CSL (Coupe Sport Leichtbau) ของ BMW ไม่มีคันไหน “เกินหน้าเกินตา” รุ่นปี 1975 ที่พุ่งสู่สนามแข่ง IMSA North America ได้อีกแล้ว นี่คือ BMW 3.5 CSL GTO Batmobile สายพันธุ์โหดสุด ที่ไม่ใช่แค่ทำให้โลกรู้จัก BMW Motorsport แต่ยังสร้างตำนานให้ BMW บนแผ่นดินอเมริกาอย่างแท้จริง The Road from ETCC to IMSA แรกเริ่มเดิมที BMW 3.0 CSL ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชิงแชมป์ European Touring Car Championship (ETCC) ในยุโรปมันครองบัลลังก์ไปแล้วตั้งแต่ปี 1973 แต่ฝั่งอเมริกา BMW ยังเป็น “ผู้มาใหม่” ที่แทบไม่มีใครรู้จัก Bob Lutz และ
นี่ไม่ใช่ Porsche 911 ธรรมดา แต่มันคือรถที่เกิดจากความฝันของชายคนหนึ่งที่อยากให้ 911 วิ่ง 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Jan Fatthauer ชายชาวเยอรมันผู้คลั่งความเร็ว ก่อตั้งสำนักแต่งชื่อ 9ff ขึ้นในเมือง Dortmund ด้วยเป้าหมายที่จะ “สร้าง 911 ที่เร็วที่สุดในโลก” โดยใช้ Porsche 911 Turbo (996) มาโมดิฟายท้าทายขอบเขตของ “street-legal car” ที่ต้องทำความเร็วได้เกิน 400 km/h เครื่องยนต์ 3.8L Twin-Turbo Flat-Six 840 แรงม้า แรงบิด 870 Nm RWD ภายนอกชุดแต่งเสริม Aerodynamics ประกอบด้วย Carbon hood, carbon roof, rear wing แบบ Le Mans กับน้ำหนักตัวราว 1,400
Porsche 911 ‘Spirit 70’ ย้อนวันวานด้วยกลิ่นอายยุค 70’s ตั้งแต่ภายนอกสี Olive Neo อันเป็นเอกลักษณ์ จนถึงภายในที่ชุบชีวิต “Pasha Seats” เบาะลายตารางสุดเฟี้ยวที่ Porsche เอามาใช้ในช่วงปลายยุค 70s เบาะ Pasha Seats นี่โดดเด่นมาก ๆ นะ เพราะมันไม่ใช่แค่ลายตารางธรรมดา แต่มันเป็น optical illusion เหมือนกำลังเคลื่อนไหวในสายลมตอนขับเร็ว ๆ มาจากไลฟ์สไตล์หรูหราแบบบาร็อคผสมดิสโก้ เท่แสบตาแต่โคตรมีรสนิยม วัสดุเบาะเป็นการผสมผสานของ Textile และ Flock Yarn สี Olive Neo ตัดกับดำอย่างลงตัว ใครที่อินกับลุควินเทจสามารถอัปเกรดเพิ่มลายนี้ไปยังเบาะพนักพิงหลังและแผงคอนโซลได้ด้วย บอดี้สีเขียว Olive Neo ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับรุ่นนี้โดย Porsche Exclusive Manufaktur เป็นเฉดเขียวหม่นแบบมีเสน่ห์ลึกลับ ผสานกับล้อ Center-lock สีเทาทอง (Gold Grey) ขนาด
ชื่อของ Isami Amemiya อาจไม่ได้ดังในโลก mass media แต่เขาคือศาสดาในจักรวาลแห่งเครื่องยนต์โรตารี่ ชายผู้ก่อตั้งสำนัก RE Amemiya ด้วยความหลงใหลในเครื่องยนต์ 13B-REW ที่ลึกซึ้งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ RE AMEMIYA 97GT เป็นเวอร์ชันที่หายากสุดของ RX-7 บนพื้นฐานของ Type RZ รุ่นเบาพิเศษจากโรงงาน Mazda ถูกนำมาปรับแต่งด้วยชุด 97GT Widebody แบบเต็มลำ ทุกรายละเอียดอัดแน่นด้วยฟังก์ชันที่แฝงในดีไซน์ ชุดแต่ง GT-style รอบคันได้รับแรงบันดาลใจจากรถแข่ง Le Mans และ Super GT ในยุคนั้น ซึ่งไม่ใช่แค่เพื่อความสวย แต่เพื่ออากาศพลศาสตร์ที่แท้จริง กันชนหน้าที่บึกบึนพร้อมช่องรับอากาศขนาดใหญ่ ฝากระโปรงหน้าพร้อมช่องระบายอากาศ โดดเด่นด้วย Rear Overfenders ที่โป่งราวกับมัดกล้ามในท่อนหลัง และสเกิร์ตข้างที่เสริมมิติของตัวรถให้ดูเตี้ยติดพื้นยิ่งขึ้น ทุกชิ้นมีน้ำหนักเบา ผลิตจากวัสดุไฟเบอร์เรซิ่นบางเฉียบ พร้อมเส้นสายที่ไหลลื่นราวกับเครื่องบินรบ หัวใจของ 97GT คือเครื่องยนต์ 13B-REW ที่ผ่านการโมมาเต็มระบบ full-bridge
ในโลกของ Black Series ที่รถแต่ละคันต่างก็มีความพิเศษเฉพาะตัว และสำหรับโมเดลลำดับที่ 3 ของตระกูล – The SL 65 Black Series ก็มีความพิเศษจากการเป็น V12 รุ่นสุดท้ายของสายพันธุ์แห่งความแรงสะใจสไตล์ OG AMG เครื่องยนต์ V12 6.0L BiTurbo (M275) ให้พลังมหาศาลถึง 670 แรงม้า แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร ที่มีเท่านี้เพราะถูก ECU ล็อคเอาไว้เพื่อถนอมเกียร์ 5G-Tronic จาก torque มหาศาล ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ทำความเร็ว 0-100 km/h ใน 3.8 วินาที เป็น Black Series รุ่นสุดท้ายที่ยังดิบบริสุทธิ์ ไม่มีระบบ Hybrid ไม่มีความซับซ้อน แรงแบบ Old School ท้าทายทุกการควบคุม ความหรูและความสบายถูก
ในโลกที่ Submariner กลายเป็นนาฬิกาหรูสำหรับนักสะสม ใครจะรู้ว่ายุคหนึ่ง Rolex Submariner ถูกสร้างขึ้นเพื่อใส่ใน ‘สงคราม’ สำหรับปฏิบัติการใต้น้ำของทหารอังกฤษจริง ๆ นั่นคือ Rolex Submariner 5513 “MilSub” อีกหนึ่งสุดยอดแห่งความแรร์สำหรับนักสะสมตัวจริง ในช่วงปี 1957 ถึงปลายยุค ‘70s รัฐบาลอังกฤษ โดย Ministry of Defence (MOD) ต้องการนาฬิกาดำน้ำคุณภาพสูงสำหรับหน่วยรบพิเศษ Royal Navy จึงสั่งให้ Rolex ผลิต Submariner ที่ผ่านการดัดแปลงเฉพาะกิจขึ้นมา นาฬิกาเหล่านี้ไม่ได้มีไว้ขาย ไม่เคยอยู่ในแค็ตตาล็อกทั่วไป มันถูกส่งตรงจาก Rolex ไปยัง MOD เท่านั้น โดยมีทั้งหมด 4 รุ่น แต่ที่โด่งดังที่สุดก็คือ Ref. 5513 เรือนนี้ และตามเอกสารยังระบุว่าเป็น standard equipment สำหรับทหารเรืออีกด้วย FUNCTION BEFORE FORM
บนหน้าปัดดำสนิทของนาฬิกาดำน้ำที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่เหนือยุคสมัย มีตัวอักษรสีแดงเพียงหนึ่งบรรทัด ที่บอกชัดเจนว่าเรือนเวลานี้ไม่เหมือนใครในโลก มันเขียนว่า “SUBMARINER” และเพียงแค่โลโก้สีแดงหนึ่งบรรทัด… ก็สามารถสร้างตำนานให้เรือนเวลาได้ Rolex เปิดตัว Submariner Ref. 1680 ในปี 1967 Submariner รุ่นแรกที่เพิ่ม ฟังก์ชันวันที่ พร้อมเลนส์ Cyclops และที่สำคัญที่สุดคือ รุ่นพิเศษที่โลกจดจำในชื่อว่า “Red Sub” มันไม่ใช่แค่ Submariner ธรรมดาที่ใส่ตัวหนังสือแดง แต่มันคือสัญลักษณ์ของ ช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคนิคและดีไซน์ ของ Rolex ที่สำคัญมาก เป็น Submariner รุ่นเดียวที่เคยใช้ตัวอักษรแดง เป็น Submariner รุ่นแรกที่มีวันที่พร้อมเลนส์ Cyclops (Sea-Dweller เป็น Dive watch รุ่นแรกที่มี date window แต่ไม่มี Cyclops) เป็น Submariner Date รุ่นเดียวที่ใช้กระจก Acrylic box-shaped พร้อม Cyclops
หนึ่งในตำนานที่หาดูได้ยากที่สุดสำหรับ JDM: CODE RARE นี่คือรถ Demo เพียงคันเดียวที่แม้แต่ HKS Co., Ltd. เองยังยอมรับว่ามีหลักฐานหลงเหลืออยู่เพียงแค่รูปถ่ายใบเดียวเท่านั้น “This isn’t just a build, it’s a statement.” HKS RX-7 RS รถต้นแบบโรตารี่ที่เกือบไม่มีใครเคยเห็น แต่ใครเห็นแล้วจะไม่มีวันลืม เปิดตัวในงาน Tokyo Auto Salon ปี 1993 เป็นอีกครั้งที่ HKS นำรถคันหนึ่งที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาตั้งโชว์กลางบูธใหญ่ มันคือ Mazda RX-7 FD3S ร่างทอง ทำทั้งคันแบบสุดทางในแบบที่ไม่มีวางขายตามท้องตลาด ทั้งภายนอก ภายใน ไปจนถึงใต้ฝากระโปรง ฝากระโปรงหน้าถูกดีไซน์ใหม่ให้เชิดขึ้น กระจกหลังเอียง เส้นหลังคาแบบ Fastback และแนวบอดี้ที่ถูกแกะใหม่ทั้งคันด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ เครื่องยนต์ที่อยู่ใต้ฝากระโปรงยังคงเป็น 13B-REW Twin-Rotor ใส่ของแต่งจัดเต็มระดับสนามแข่ง HKS GTIII-4R Turbocharger, Intercooler
Testarossa คือ Ferrari ที่นิยามยุค 1980s ด้วยเสียงเครื่อง Flat-12, ช่องดักลมข้างตัวถังที่กลายเป็นสัญลักษณ์ และความมั่นใจแบบชายในสูท Classic Italian มันมีทุกอย่างที่ซูเปอร์คาร์ในฝันควรมี แต่สำหรับ Willy König แค่นี้มันยังแรงไม่พอ Willy König เป็นอดีตนักแข่งและนักธุรกิจชาวเยอรมันที่มีความหลงใหลในความเร็ว เขาเคยคว้าแชมป์ German GT Championship และรถคันแรกที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาลก็คือ Ferrari 365 GT4 BB เมื่อขากลับรู้สึกว่ามัน “ช้าเกินไป” และ “ขาดความดิบ” แบบที่เขาเคยสัมผัสจากสนามแข่ง Willy จึงเริ่มโมดิฟายรถคันนี้ด้วยตัวเอง ผลงานที่ยอดเยี่ยมกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดสำนัก Koenig Specials GmbH ในปี 1977 ที่มิวนิก ประเทศเยอรมนี ด้วยแนวคิดที่ว่า “ถ้ารถจากโรงงานยังไม่พอ… เราจะสร้างมันขึ้นใหม่เอง” Koenig Specials เริ่มสร้างชื่อจากการโมดิฟาย Ferrari Berlinetta Boxer ด้วยวิธีการที่ตรงกันข้ามกับคำว่า “สุภาพ” พวกเขาไม่สนใจว่าแบรนด์จะคิดอย่างไร