ถึงเวลาเปิดตัว Facelifted Honda Jazz e:HEV ใหม่ ซึ่ง generation ที่ 4 นี้จะทำตลาดเฉพาะในญี่ปุ่น (Honda Fit) และยุโรปเท่านั้น ส่วนประเทศไทยถูกแทนที่ด้วย City hatchback ไปแล้วเรียบร้อย แต่ก็น่าเสียดาย เพราะสาวก Honda หลายคนยังคงหลงรักน้อง Jazz อยู่เต็มหัวใจ Facelifted Honda Jazz แบ่งเป็นสองรุ่นย่อย คือ Honda Jazz e:HEV Advance Sport ได้กันชนหน้าและหลังใหม่ กระจังหน้ารังผึ้ง side skirts และล้อ five doube spokes ขนาด 16 นิ้ว อีกรุ่นย่อยคือ Honda Jazz e:HEV Crosstar ที่พร้อมลุยทางสมบุกสมบันมากขึ้น สังเกตได้ง่ายจากชุดแต่งที่แตกต่างหลายจุด กระจังหน้า กันชนหน้าหลัง รวมถึงขอบพลาสติกกันกระแทนที่ทำให้ซุ้มล้อดูบึกบึนมากขึ้น
ในงาน 2023 Tokyo Auto Salon ยังมีอีกไฮไลท์สำหรับแฟนดาวลูกไก่ที่รอคอยตัวแรงรหัส STI นั่นคือการเปิดตัว Subaru Lavorg STI Sport # แม้จะไม่ใช่ตัว STI แต่กำเนิดแท้ ๆ ที่ถูกแช่แข็งไปนานเกือบสิบปี แต่โมเดลที่เห็นอยู่นี้ก็ถือว่าเป็น STI Wagon ที่ใกล้เคียงจิตวิญญาณ rally มากสุดเท่าที่เคยมีมา ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 500 คัน ขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นแบบ JDM แท้ ๆ แต่สำหรับแฟนบ้างเราก็คงหาชุดแต่งได้ไม่ยาก เพราะมันตกแต่งบนพื้นฐานของ second-gen Levorg wagon เสริมด้วยอุปกรณ์ของแต่งเสริมมากมาย ทั้ง STI performance parts และผ่านการ tuning เพื่อให้ขับได้สนุกมากขึ้น เครื่องยนต์ความจุ 2.4-liter turbocharged Boxer จาก Subaru WRX ให้กำลัง 271 hp 277
ประเดิมเปิดปี 2023 แนะนำโมเดล V-Class รุ่นล่าสุดอย่าง Mercedes-Benz V 250 d Exclusive รถแวนอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ระดับเฟิร์สคลาส โดยโมเดลนี้ถูกผลิตและนำเข้า (CBU) มาจากโรงงานเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในเมืองบิโตเรีย-กัสเตอิซ (Vitoria-Gasteiz) ประเทศสเปน ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถแวนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก โดยในรุ่น Exclusive ที่เป็นโมเดลโฉมปี 2023 จะได้รับการตกแต่งในสไตล์ Avantgarde และมีการออกแบบขนาดตัวถังแบบ Extra Long พร้อมกับเครื่องยนตร์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบรหัสใหม่ และระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-TRONIC PLUS ทำให้ Mercedes-Benz V 250 d Exclusive เป็นรถประเภทแวนในระดับเฟิร์สคลาสที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งความสะดวกสบายและความคล่องตัวในการขับขี่ Mercedes-Benz V 250 d Exclusive เป็นรถแวนแบบ 3 ตอน 7 ที่นั่ง
Ferrari F512 M รุ่นสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของ Ferrari เปิดตัวในปี 1994 ในฐานะโมเดลปิดท้ายตำนานยิ่งใหญ่ของ “Testarossa” และยังเป็น Ferrari รุ่นสุดท้ายที่ใช้เครื่องยนต์ 12-cylinder 440 แรงม้า ทุกรายละเอียดของรถออกแบบโดยคำนึงถึงจุดเด่นและดีไซน์ของ Testarossa ใส่ความพิถีพิถันมากขึ้นตั้งแต่ chassis เครื่องยนต์ ไปจนถึงการตกแต่งทุกจุด เครื่องยนต์ของ F512 M ได้รับการอัพเกรดวัสดุภายในเป็น titanium ที่แข็งแกร่งและน้ำหนักเบา ช่วยให้ทนต่อรอบเครื่องที่จัดจ้านยิ่งกว่าในรุ่น 512 TR นอกจากนี้ยังมีการอัพเกรดระบบท่อไอเสียใหม่ อัพเกรดระบบกันสะเทือน จนสามารถกระจายน้ำหนักหน้าหลังได้ 50:50 ช่วยให้ควบคุมรถได้เฉียบคมแม้ในความเร็วสูง ไฟท้ายที่โดดเด่นไม่มีใครเหมือน ล้อแบบ 3-piece จาก Speedline กันชนหน้าที่ได้แรงบันดาลใจจาก F40 และ 512 BB/LM โดยเฉพาะไฟหน้าแบบ fixed Ferrari ผลิต F512 M ออกมาทั้งหมดเพียง 501 คันเพื่อกระจายขายทั่วโลก แม้แต่ในตลาด
ที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือ Porsche 964 911 ที่ไม่ใช่แค่ผ่านการฟื้นฟูสภาพให้สมบูรณ์ แต่เป็นการเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าล้วน 100% ของค่าย Everrati Automotive บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งขุมพลังไฟฟ้าในรถคลาสสิคหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Land Rover, Ford GT40 รวมถึง Porsche 911 คันนี้ ห้องเครื่องของ Everrati’s Porsche 911 964 ในสี Mexico Blue คันนี้ ถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ 62-kilowatt ทำงานคู่มอเตอร์ไฟฟ้าให้สมรรถนะ 500 แรงม้า แรงบิด 540 นิวตันเมตร สามารถขับได้ระยะทางราว 320 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับ range ของรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ภายในหุ้มด้วยหนังโทนสี Weir and Dark Blue เข็มวัดรอบต่าง ๆ สำหรับคนขับถูกเปลี่ยนเป็นตัวอ่านค่า EV ติดตั้งเข้าไปอย่างแนบเนียน ล้อ
เพื่อฉลองความร่วมมือกันอย่างยาวนานระหว่าง Alfa Romeo และ Zagato สำนัก coachbuilder ชื่อดังระดับโลก สร้างสรรค์ผลงานระดับ masterpiece ชิ้นใหม่บนพื้นฐานของรุ่น Giulia Quadrifoglio ในตัวถัง coupe’ พร้อมกลิ่นอายความ retro ที่คลาสสิคและสวยงามเหนือกาลเวลา ก่อนจะหันไปใช้พลังงานไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้นี้ หากสังเกตชื่อ Alfa Romeo Giulia SWB Zagato ก็จะรู้ได้ทันทีว่านี่คือเวอร์ชันตัวถังสั้นของ Guilia platform ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจาก 1961 Alfa Romeo Giulietta SZ Codatronca ส่วนด้านท้ายมีกลิ่นอายของ Aston Martin แบบเต็ม ๆ พร้อมเพิ่มความแรงด้วยการนำขุมพลังจาก Giulia GTAm limited edition ที่แรงกว่าด้วยความจุ V6 twin-turbocharged ที่พัฒนาสำหรับลงแข่งในสนามด้วย output 540 แรงม้า เพิ่มขึ้นจาก 503 แรงม้าใน
Lamborghini Diablo เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 21 มกราคม 1990 เป็นโมเดลที่มาแทนที่ Countach ออกแบบโดย Marcello Gandini ให้ลดทอนความเหลี่ยมของรถรุ่นก่อน แต่ยังคงใช้รูปทรงลิ่มเหมือนเดิม เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของ aerodynamic และเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่มากขึ้น ซึ่งทันทีที่เปิดตัวก็ได้เสียงตอบรับที่ดีมากทันที Lamborghini Diablo ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยขุมพลัง 5.7-liter V12 ให้พละกำลัง 485 horsepower ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 320 km/h ทั้งแรงและเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเข้าไปหลายอย่าง เช่น กระจกเปิดปิดด้วยไฟฟ้า ในปี 1993 Lamborghini เปิดตัวโมเดลพิเศษ Diablo VT ในงาน Geneva Motor Show ความแตกต่างคือใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และมีการปรับดีไซน์รวมถึงอัพเกรดประสิทธิภาพรถให้สามารถควบคุมได้ง่ายขึ้นในความเร็วสูง และพยายามทำให้ผู้ขับและผู้โดยสารสะดวกสบายมากขึ้นด้วยการใช้ clutch ที่เบาขึ้น เบาะนั่งใหญ่ขึ้น ออกแบบแผงคอนโซลใหม่ และติดตั้งระบบ air-conditioning system ที่เย็นขึ้นกว่ารุ่นก่อน มีการเพิ่มช่องดักอากาศใต้กันชนหน้าระบายความร้อนให้เบรก Brembo พวงมาลัยเปลี่ยนเป็นไฟฟ้า
เชื่อว่าพวกเราคุ้นเคยกับชื่อ Eleanor Ford Mustangs กันเป็นอย่างดี แต่อาจจะคิดว่าชื่อนี้ติดตัว Ford Mustangs มาตั้งแต่ออกจากโรงงาน ที่จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นครับ ชื่อ Eleanor เป็น codename ที่มาจากภาพยนตร์เรื่อง Gone in 60 Seonds ต้นตำรับจากปี 1974 รวมถึง Deadline Auto Theft ในปี 1983 ผลงานการกำกับโดย Tody Halicki แต่คนส่วนใหญ่จะรู้จักจากการ remake ภาพยนตร์ Gone in 60 Seconds ปี 2000 แสดงโดย Nicolas Cage กับรถ 1967 Shelby GT500 สีเทาคาดดำแต่งเต็มข้อสุดสวยงาม แต่ชื่อ Eleanor ที่โด่งดังก็มาพร้อมปัญหารุงรังไม่น้อย เพราะ Denice halicki ภรรยาของผู้สร้าง Gone
ในปี 1993 เป็นครั้งแรกที่ Porsche เปิดตัว 911 3.6 Turbo เพิ่มความจุเครื่องยนต์จาก 3.3-liter เป็น 3.6-liter single-turbo flat-six ให้ output มากถึง 355 hp ซึ่งเป็นตัวเลขที่แรงที่สุดของ Porsche ในขณะนั้น แต่รถคันที่เห็นอยู่พิเศษและหายากยิ่งกว่า เป็นรหัส Turbo S ที่ Porsche ใช้เครื่องยนต์รหัส X88 ซึ่งผ่านการจูนสำหรับลงแข่งในรายการ IMSA race cars ซึ่งจะอัพเกรดทั้ง bigger turbo, upgraded intercooler, bigger fuel injectors, upgraded camshaft, new exhaust รวมให้พละกำลังมากถึง 380 horsepower and 384 pound-feet of torque แรงสูสี
คนอื่นอาจมองไปไม่รู้ว่ามันพิเศษแค่ไหน แต่สำหรับนักสะสมและชาว Bimmers อาจจะรู้ว่านี่คือสุดยอดของแรร์หายาก 1987 BMW Alpina B7 Turbo Coupe/1 เป็นรถที่ Alpina นำ BMW 6 Series มาทำ full conversion เป็นครั้งแรก จากจำนวน Alpina B7 Turbo Coupe ทั้งหมดสร้างขึ้นมา 130 คัน มีเพียงแค่ 20 คันในโลกที่ได้ติดตั้ง catalytic converters และมีชื่อรหัสแยกย่อยไปเป็น B7 Turbo Coupé/1 Katalysator Alpina B7 Turbo Coupe/1 Katalysator สามารถรีดแรงม้าจากเครื่องยนต์ 3.5-liter turbocharged จาก 630 CS E24 ให้ได้ output มากถึง 324 แรงม้า