ถ้าพูดถึงเรื่องรถยนต์หนุ่ม ๆ ในเมืองไทยคงคุ้นเคยดีกับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจำนวนมากที่ได้รับความนิยมในบ้านเรามาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1990 ช่วงเวลาที่มีรถญี่ปุ่นสร้างความยิ่งใหญ่ให้ทั่วโลกรู้จักกับคำว่า JDM Cars JDM ย่อมาจาก Japanese Domestic Market หมายถึงรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตขึ้นมาตามกฎหมายหรือสอดคล้องกับระเบียบรถยนต์และถนนในญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารถญี่ปุ่นจะถูกยกให้เป็น JDM เพราะรถยนต์ญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ออกแบบเพื่อส่งขายต่างประเทศโดยเฉพาะ เพราะกฎหมายและระเบียบควบคุมเกี่ยวกับรถยนต์ของแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป รถหรือชิ้นส่วน JDM ถูกผลิตขึ้นมาภายใต้กฎข้อบังคับที่เข้มงวดซึ่งจะต้องผ่านการทดสอบที่เรียกว่า Shaken (車検) ทำให้รถที่ใช้ภายในประเทศและรถสำหรับส่งออกมีจุดที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่าคุณภาพสูงกว่า บ้างก็บอกว่าความสวยงามและความแรงโดยรวมเหนือกว่า ที่แน่ ๆ คือรถเหล่านี้สามารถปรับจูนให้แรงขึ้นด้วยงบประมาณไม่สูงเกินไป คนรักความเร็วทั่วโลกรวมถึงในไทยเองจึงชื่นชอบรถยนต์ JDM ไม่ว่าจะสั่งซื้อเข้ามาทั้งคัน เปลี่ยนอะไหล่หรือทำรถแบบลูกผสมก็แล้วแต่ความชอบและงบประมาณ ยุค 90’s ยังถือเป็นช่วงเวลาที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวและพัฒนารถยนต์ออกมาจำนวนมาก หลายคันกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยของค่ายโดยปริยาย กลายเป็นยุคสมัยที่นักเลงรถทั่วโลกอยากจะลองของแรงจากแดนอาทิตอุทัยสักครั้งในชีวิต เมื่อบวกกับอายุการใช้งานรถของคนญี่ปุ่นที่ค่อนข้างต่ำและไม่นิยมมีในครอบครองจำนวนมากเกินไป เพราะภาษีและค่าตรวจสภาพรถในญี่ปุ่นมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้มีรถมือ 2 สภาพดีและอะไหล่ JDM จำนวนมากถูกส่งออกไปทั่วทุกมุมโลก แต่ JDM CAR คันไหนถือเป็นที่สุดแห่งยุค 90’s มาย้อนชมโลกรถยนต์ไอคอนิกแห่งยุคสมัยไปพร้อมกัน MAZDA RX-7 เริ่มกันที่ตัวแรงจาก
ยุโรปเป็นทวีปแรกที่ Toyota จะเปิดตัว Supra รุ่นพิเศษที่ชื่อ “Fuji Speedway Edition” มาพร้อมเครื่องยนต์ตัวใหม่ แม้พลังจะลดลงแต่ความสนุกหลังพวงมาลัยไม่น้อยลงแน่นอน “Fuji Speedway Edition” คือรุ่นพิเศษของ Supra ที่มีพื้นฐานมาจาก Supra (A90) รุ่นมาตรฐานที่เปลี่ยนแปลงดีไซน์บางจุด ไม่ว่าจะเป็นกระจกมองข้างแบบทูโทนสีแดงดำ ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วแบบ 5 ก้านสีดำเงาและแดมเปอร์สีแดงสด ออกมาเป็น Supra คุมโทนสีขาว ดำ แดง ที่ลงตัว ห้องโดยสารของ Supra “Fuji Speedway Edition” ออกแบบมาให้คุมโทนเหมือนกับภายนอก ทั้งเบาะโดยสารสีดำ-แดงจากหนัง Alcantara และคอนโซลกลางสีแดงขนาดใหญ่ ในส่วนของทริมคอนโซลด้านหน้าใช้เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ด้านเทคโนโลยีภายในไม่ว่าจะเป็น จอแสดงผลขนาด 8.8 นิ้วและลำโพง 4 ตัว ที่สามารถอัปเกรดแพ็คเกจพิเศษเป็นระบบเสียงสเตอริโอพร้อมลำโพง 12 ตัวจาก JBL รวมเครื่องชาร์จสมาร์ตโฟนแบบไร้สายและระบบแสงภายในห้องโดยสายแบบใหม่ มาถึงเรื่องสำคัญของ Supra “Fuji
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับรถยนต์ ชื่อที่ผู้ชายอย่างเราจะนึกถึงเป็นลำดับแรกคงไม่พ้นภาพยนตร์จากจักรวาล Fast & Furious ที่เดินหน้าสร้างความมันส์จนเดินทางมาถึงภาคที่ 9 แล้ว นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกตื่นเต้นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนุ่ม ๆ รู้สึกอินเป็นพิเศษในการดูหนังแต่ละภาคคือรถยนต์มากมายที่มาปรากฏตัวออกมา โดยวันนี้เราจะย้อนความกลับไปพูดถึง Toyota Supra หลังมีข่าวว่ามันกำลังจะกลับมาอีกครั้งใน Fast And Furious 9 ครั้งแรกที่ The Supra ปรากฏตัวใน Fast & Furious ต้องย้อนกลับไปในหนังภาคแรก The Fast and the Furious โดยหลังจากที่ Mitsubishi Eclipse ของไบรอัน โอคอนเนอร์ถูกลูกน้องของทราน (ตัวร้ายของเรื่อง) ทำลายทิ้งไป ก่อนตัวพระเอกจะขนซากของ Toyota Supra MK IV ปี 1994 มาที่โรงรถของดอมินิก โทเร็ตโต้ เพื่อคืนชีพและปรับจูนด้วยเครื่อง 2JZ และเทอร์โบชาร์จจาก Turbonetics T-66 จนกลับมาในสภาพโคตรสวยและมีบทบาทสำคัญมากมายในเรื่อง แต่เชื่อว่าหลายคนคงจำ Supra
แม้ในปัจจุบันจะมีรถยนต์มากมายหลายค่ายทยอยกันเปิดตัวเพื่อโชว์สมรรถนะที่ถูกพัฒนาอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าแม้ยุคสมัยจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ความนิยมในโมเดลรถยนต์ที่ระดับตำนานตั้งแต่อดีตก็ยังไม่เคยเสื่อมคลายลง ด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาจากรถคันอื่นไม่ได้ หากเอ่ยชื่อโมเดลอย่าง Nissan Skyline GTR (R32) , Mazda MX5 Miata (NA) รวมไปถึง Toyota Supra (A70) หนุ่ม ๆ หลายคนคงคุ้นเคยกันดี ทั้งหมดคือโมเดลในตำนานของค่ายรถจากแดนปลาดิบที่ต่างเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของตัวเองตั้งแต่ช่วงปลายยุค 80’s ไปจนถึงช่วงต้นหรือกลางยุค 90’s ปัจจุบันตำนานแต่ละคันอาจอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์นักเนื่องจากเวลาที่ผ่านพ้นไป แต่ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะฟื้นฟูพวกมันให้กลับมาอีกครั้ง หลังจากค่ายรถยักษ์ใหญ่กำลังจะกลับมาผลิตชิ้นอะไหล่ของรถรุ่นเก๋าแต่คันอีกครั้ง รวมไปถึงมี Restoration Projects ที่เตรียมฟื้นคืนชีพให้กลับมาอยู่ในสภาพออกจากโรงงานอีกครั้งหนึ่ง เริ่มกันที่ข่าวข่าวดีของผู้ครอบครอง Godzilla หรือ Nissan Skyline GT-R ไม่ว่าจะเป็นรหัสตัวถัง R32 และ R34 ที่ได้ NISMO Heritage Parts กลับมาผลิตชิ้นส่วนทั้ง 160 ชนิดซึ่งจะช่วยคืนชีพตำนานที่อยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์แต่ละคันให้กลับมาวิ่งบนท้องถนนแบบเต็มสมรรถนะได้อีกครั้ง ชิ้นส่วนทั้ง 160 ชนิดครอบคลุมตั้งแต่ชิ้นส่วนในห้องเครื่องยนต์ แผงวงจรไฟฟ้าไปจนถึง
ถือเป็นปีแห่งการแข่งขันสำหรับตลาดของรถสปอร์ต โดยเฉพาะสองค่ายยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น BMW ที่ปล่อย Z4 (G29) และ Toyota ที่ตัดสินใจหวนกลับมาผลิตตำนานที่เป็น Iconic ของค่ายอย่าง Supra (5th GEN) ออกมาอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือทั้งสองรุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงานเดียวกัน พร้อมข่าวลือสะพัดว่ามีการแชร์แพลตฟอร์มในการสร้างร่วมกันด้วย เพื่อคลายความสงสัยวันนี้เราจะมาเปรียบเทียบให้ชมกันว่าทั้งคู่นั้นมีจุดเหมือนและแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน BMW Z4 (G29) และ TOYOTA Supra (5th Gen) เปิดตัวออกมาในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน แต่ขณะเดียวกันทั้งสองก็มีความเหมือนก็คือการถูกย้ายฐานการผลิตออกจากบ้านเกิดตัวเอง ด้าน Z4 ไม่ได้ถูกผลิตขึ้นจากโรงงาน BMW ใน Dingolfing ประเทศเยอรมนี ส่วนทาง TOYOTA Supra (5th Gen) เองก็เป็นครั้งแรกที่สละแนวทางของความเป็นรถ Japan Domestic Market (JDM) ด้วยการย้ายฐานการผลิตจากโรงงาน Motomachi ใน Toyota City (ผลิต 4th Gen) ที่ควรใช้ผลิต Supra มาเข้าสายพานโรงงานเดียวกับ