MacBook Pro ใหม่มีประสิทธิภาพเร็วขึ้นสูงสุด 6 เท่า เมื่อเทียบกับ MacBook Pro ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel ที่เร็วที่สุด และรองรับหน่วยความจำแบบรวมสูงสุด 96GB สำหรับเวิร์กโฟลว์หนักๆ ระดับโปร Apple ประกาศเปิดตัว MacBook Pro รุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว ใหม่ที่มาพร้อมซิลิคอนระดับโปรเจเนอเรชั่นถัดไปของ Apple อย่างชิป M2 Pro และ M2 Max ซึ่งจะช่วยยกระดับประสิทธิภาพที่ยังคงประหยัดพลังงานและระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่สำหรับผู้ใช้ระดับโปร ชิป M2 Pro และ M2 Max ซึ่งเป็นชิปที่ทรงพลังและประหยัดพลังงานที่สุดในโลกสำหรับแล็ปท็อประดับโปร ช่วยให้ MacBook Pro สามารถจัดการกับงานหนักๆ อย่างการเรนเดอร์เอฟเฟ็กต์ได้เร็วขึ้นสูงสุด 6 เท่า เมื่อเทียบกับ MacBook Pro ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel ที่เร็วที่สุด และปรับแก้สีได้เร็วขึ้นสูงสุด 2 เท่า ประสิทธิภาพของ
ในงาน 2023 Tokyo Auto Salon ยังมีอีกไฮไลท์สำหรับแฟนดาวลูกไก่ที่รอคอยตัวแรงรหัส STI นั่นคือการเปิดตัว Subaru Lavorg STI Sport # แม้จะไม่ใช่ตัว STI แต่กำเนิดแท้ ๆ ที่ถูกแช่แข็งไปนานเกือบสิบปี แต่โมเดลที่เห็นอยู่นี้ก็ถือว่าเป็น STI Wagon ที่ใกล้เคียงจิตวิญญาณ rally มากสุดเท่าที่เคยมีมา ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 500 คัน ขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นแบบ JDM แท้ ๆ แต่สำหรับแฟนบ้างเราก็คงหาชุดแต่งได้ไม่ยาก เพราะมันตกแต่งบนพื้นฐานของ second-gen Levorg wagon เสริมด้วยอุปกรณ์ของแต่งเสริมมากมาย ทั้ง STI performance parts และผ่านการ tuning เพื่อให้ขับได้สนุกมากขึ้น เครื่องยนต์ความจุ 2.4-liter turbocharged Boxer จาก Subaru WRX ให้กำลัง 271 hp 277
ประเดิมเปิดปี 2023 แนะนำโมเดล V-Class รุ่นล่าสุดอย่าง Mercedes-Benz V 250 d Exclusive รถแวนอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ระดับเฟิร์สคลาส โดยโมเดลนี้ถูกผลิตและนำเข้า (CBU) มาจากโรงงานเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในเมืองบิโตเรีย-กัสเตอิซ (Vitoria-Gasteiz) ประเทศสเปน ซึ่งเป็นโรงงานผลิตรถแวนของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก โดยในรุ่น Exclusive ที่เป็นโมเดลโฉมปี 2023 จะได้รับการตกแต่งในสไตล์ Avantgarde และมีการออกแบบขนาดตัวถังแบบ Extra Long พร้อมกับเครื่องยนตร์ดีเซล 2.0 ลิตรเทอร์โบรหัสใหม่ และระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-TRONIC PLUS ทำให้ Mercedes-Benz V 250 d Exclusive เป็นรถประเภทแวนในระดับเฟิร์สคลาสที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งความสะดวกสบายและความคล่องตัวในการขับขี่ Mercedes-Benz V 250 d Exclusive เป็นรถแวนแบบ 3 ตอน 7 ที่นั่ง
สร้างสรรค์สไตล์ให้โดดเด่นและเป็นตัวเองด้วยนาฬิกาเรือนโปรดไปกับแบรนด์ “ทิสโซต์” (Tissot) ที่หลังประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากจากการนำคอลเลกชั่น “พีอาร์เอ็กซ์” (PRX) ที่ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 1978 กลับมาสร้างสรรค์ใหม่อีกครั้งในขนาด 40 มม. เมื่อปี 2021 โดยล่าสุด “ทิสโซต์” (Tissot) ได้ประกาศเปิดตัวเรือนเวลาคอลเลกชั่นใหม่ที่ชื่อว่า “พีอาร์เอ็กซ์ 35 มม.” (PRX 35MM) กับการปรับขนาดนาฬิกาให้เล็กลงด้วยขนาด 35 มม. เพื่อตอบโจทย์หนุ่มสาวที่ต้องการความคล่องตัว แต่ยังคงไว้ซึ่งความเท่และกลิ่นอายของยุค 70s โดย “ทิสโซต์” (Tissot) ได้บอกเล่าจุดเด่นของคอลเลกชั่นนี้ผ่านการสร้างสรรค์ภาพยนตร์สั้นสะท้อนถึงวัฒนธรรมป๊อปคลาสสิกของกลุ่มวัยรุ่นในช่วงยุค 70s “ทิสโซต์” (Tissot) แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิส ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1853 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นาฬิกาประสิทธิภาพสูงในดีไซน์ที่ความทันสมัยอย่างมีเอกลักษณ์ อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ได้การยอมรับในแวดวงกีฬา ในฐานะผู้ผลิตนาฬิกาที่มีเทคโนโลยีระบบจับเวลาด้านความเที่ยงตรงแม่นยำสูงสุด สำหรับภาพยนตร์สั้นจากคอลเลกชั่น “พีอาร์เอ็กซ์ 35 มม.” (PRX 35MM) ถูกถ่ายทอดเรื่องราวผ่านกลุ่มเพื่อนที่ทั้ง 5
ตรงกับช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองปีเถาะ หรือ The Year of the Rabbit ที่ใกล้จะมาถึง แฟรงค์ มุลเลอร์ (Franck Muller) และแบรนด์สตรีทแวร์จากโตเกียว #FR2 ได้จับมือกันเผยโฉมนาฬิกา #FR2NCK MULLER Vanguard ซึ่งนับเป็นความร่วมมือกันครั้งแรกระหว่างสองแบรนด์ ทั้งยังเป็นโอกาสที่จะได้เห็น แฟรงค์ มุลเลอร์ นำภาษาการออกแบบอันโดดเด่นของ #FR2 มาใช้บนนาฬิกาเอกลักษณ์อย่าง แวงการ์ด (Vanguard) โดยผลลัพธ์แห่งความร่วมมือนี้คือเรือนเวลาอันล้ำนำแฟชั่นและทันสมัย ด้วยหน้าปัดที่ประดับตกแต่งลวดลายกระต่ายอันเป็นไอคอนิกตลอดกาลของ #FR2 ซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางตัวเลขรูปทรงสัญลักษณ์ และตัวเรือนทรงตอนโนของ แฟรงค์ มุลเลอร์ โดย #FR2NCK MULLER Vanguard นับเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาหรูของสวิส และสตรีทแฟชั่นของญี่ปุ่น จากการหลอมรวมองค์ประกอบต่างๆ ของแต่ละจักรวาล และเติมเต็มด้วยสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองนักสร้างสรรค์ ผลงานนี้จึงมีความโดดเด่นอย่างชัดเจนบนหน้าปัด ที่ซึ่งเผยความสวยงามอันล้ำสมัย แต่ยังคงความเหนือกาลเวลาของ แฟรงค์ มุลเลอร์ ที่สะท้อนผ่านอารมณ์สัมผัสแห่งสตรีทสไตล์ ประกอบด้วยฐานหน้าปัดสีขาวแบบด้านที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆ ซึ่งก่อร่างขึ้นกลายเป็นความสวยงามอันเป็นหัวใจ และเหนือขึ้นไปนั้นยังบรรจุไว้ด้วยเข็มชี้บอกเวลา มาร์กเกอร์ และเครื่องหมายขีดแบบนำมาติดที่เป็นสีดำ ด้วยลุคสไตล์โมโนโครมที่ตัดกันอย่างชัดเจนยังได้มอบซึ่งความสมบูรณ์ลงตัวจากการเล่น
Ferrari F512 M รุ่นสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของ Ferrari เปิดตัวในปี 1994 ในฐานะโมเดลปิดท้ายตำนานยิ่งใหญ่ของ “Testarossa” และยังเป็น Ferrari รุ่นสุดท้ายที่ใช้เครื่องยนต์ 12-cylinder 440 แรงม้า ทุกรายละเอียดของรถออกแบบโดยคำนึงถึงจุดเด่นและดีไซน์ของ Testarossa ใส่ความพิถีพิถันมากขึ้นตั้งแต่ chassis เครื่องยนต์ ไปจนถึงการตกแต่งทุกจุด เครื่องยนต์ของ F512 M ได้รับการอัพเกรดวัสดุภายในเป็น titanium ที่แข็งแกร่งและน้ำหนักเบา ช่วยให้ทนต่อรอบเครื่องที่จัดจ้านยิ่งกว่าในรุ่น 512 TR นอกจากนี้ยังมีการอัพเกรดระบบท่อไอเสียใหม่ อัพเกรดระบบกันสะเทือน จนสามารถกระจายน้ำหนักหน้าหลังได้ 50:50 ช่วยให้ควบคุมรถได้เฉียบคมแม้ในความเร็วสูง ไฟท้ายที่โดดเด่นไม่มีใครเหมือน ล้อแบบ 3-piece จาก Speedline กันชนหน้าที่ได้แรงบันดาลใจจาก F40 และ 512 BB/LM โดยเฉพาะไฟหน้าแบบ fixed Ferrari ผลิต F512 M ออกมาทั้งหมดเพียง 501 คันเพื่อกระจายขายทั่วโลก แม้แต่ในตลาด
ที่เห็นอยู่ตรงหน้า คือ Porsche 964 911 ที่ไม่ใช่แค่ผ่านการฟื้นฟูสภาพให้สมบูรณ์ แต่เป็นการเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าล้วน 100% ของค่าย Everrati Automotive บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการติดตั้งขุมพลังไฟฟ้าในรถคลาสสิคหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Land Rover, Ford GT40 รวมถึง Porsche 911 คันนี้ ห้องเครื่องของ Everrati’s Porsche 911 964 ในสี Mexico Blue คันนี้ ถูกแทนที่ด้วยแบตเตอรี่ 62-kilowatt ทำงานคู่มอเตอร์ไฟฟ้าให้สมรรถนะ 500 แรงม้า แรงบิด 540 นิวตันเมตร สามารถขับได้ระยะทางราว 320 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับ range ของรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ภายในหุ้มด้วยหนังโทนสี Weir and Dark Blue เข็มวัดรอบต่าง ๆ สำหรับคนขับถูกเปลี่ยนเป็นตัวอ่านค่า EV ติดตั้งเข้าไปอย่างแนบเนียน ล้อ
เพื่อฉลองความร่วมมือกันอย่างยาวนานระหว่าง Alfa Romeo และ Zagato สำนัก coachbuilder ชื่อดังระดับโลก สร้างสรรค์ผลงานระดับ masterpiece ชิ้นใหม่บนพื้นฐานของรุ่น Giulia Quadrifoglio ในตัวถัง coupe’ พร้อมกลิ่นอายความ retro ที่คลาสสิคและสวยงามเหนือกาลเวลา ก่อนจะหันไปใช้พลังงานไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้นี้ หากสังเกตชื่อ Alfa Romeo Giulia SWB Zagato ก็จะรู้ได้ทันทีว่านี่คือเวอร์ชันตัวถังสั้นของ Guilia platform ดีไซน์ได้แรงบันดาลใจจาก 1961 Alfa Romeo Giulietta SZ Codatronca ส่วนด้านท้ายมีกลิ่นอายของ Aston Martin แบบเต็ม ๆ พร้อมเพิ่มความแรงด้วยการนำขุมพลังจาก Giulia GTAm limited edition ที่แรงกว่าด้วยความจุ V6 twin-turbocharged ที่พัฒนาสำหรับลงแข่งในสนามด้วย output 540 แรงม้า เพิ่มขึ้นจาก 503 แรงม้าใน
Lamborghini Diablo เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 21 มกราคม 1990 เป็นโมเดลที่มาแทนที่ Countach ออกแบบโดย Marcello Gandini ให้ลดทอนความเหลี่ยมของรถรุ่นก่อน แต่ยังคงใช้รูปทรงลิ่มเหมือนเดิม เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของ aerodynamic และเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่มากขึ้น ซึ่งทันทีที่เปิดตัวก็ได้เสียงตอบรับที่ดีมากทันที Lamborghini Diablo ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยขุมพลัง 5.7-liter V12 ให้พละกำลัง 485 horsepower ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 320 km/h ทั้งแรงและเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเข้าไปหลายอย่าง เช่น กระจกเปิดปิดด้วยไฟฟ้า ในปี 1993 Lamborghini เปิดตัวโมเดลพิเศษ Diablo VT ในงาน Geneva Motor Show ความแตกต่างคือใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และมีการปรับดีไซน์รวมถึงอัพเกรดประสิทธิภาพรถให้สามารถควบคุมได้ง่ายขึ้นในความเร็วสูง และพยายามทำให้ผู้ขับและผู้โดยสารสะดวกสบายมากขึ้นด้วยการใช้ clutch ที่เบาขึ้น เบาะนั่งใหญ่ขึ้น ออกแบบแผงคอนโซลใหม่ และติดตั้งระบบ air-conditioning system ที่เย็นขึ้นกว่ารุ่นก่อน มีการเพิ่มช่องดักอากาศใต้กันชนหน้าระบายความร้อนให้เบรก Brembo พวงมาลัยเปลี่ยนเป็นไฟฟ้า
งดงามสมการรอคอย! เมื่อ “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาชั้นนำจากสวิตเซอร์แลนด์ ในเครือเดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ประกาศเปิดตัวเรือนเวลาหรูรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น “คอมมานเดอร์” (Commander) นาฬิกาเรือนสุดท้ายที่เหล่านักสะสมต่างรอคอยจากคอลเลกชั่น “ทเวนตี้ เยียร์ส อินสไปร์ บาย อาคิเทคเจอร์” (20Years Inspired By Architecture) ซึ่งเป็นการออกแบบนาฬิการุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น เพื่อเป็นการรำลึกถึงสุดยอดสถาปัตยกรรมชื่อก้องโลกที่ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบนาฬิกาของแบรนด์ “มิโด”(MIDO) ในตลอด 20 ปีที่ผ่านมา “มิโด” (MIDO) แบรนด์นาฬิกาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี นับตั้งแต่ จอร์จ แชแรน (GEORGES SCHAEREN) เริ่มก่อตั้งบริษัท MIDO G.SCHAEREN & CO. AG ขึ้นที่เมืองโซโลธูร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ภายใต้ปรัชญาของการสร้างสรรค์แบรนด์ให้อยู่เหนือกาลเวลาด้วยแนวคิดการออกแบบที่ร่วมสมัย ผ่านการคัดเลือกวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่มีความหรูหรา ทนทาน