แม้ความเป็นส่วนตัวจะเป็นเอกสิทธิ์สำหรับใครคนใดคนหนึ่งในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่เมื่อไรที่คุณย่างก้าวสู่โลกดิจิทัลและใช้ชีวิตผูกโยงกับโซเชียลมีเดีย ‘ความเป็นส่วนตัว’ และ ‘ความเป็นสาธารณะ’ อาจมีเพียงเส้นบาง ๆ คั่นกลางเท่านั้น แล้วประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวนี้ก็เคยเป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่งอย่าง ‘Facebook’ จนเมื่อปีก่อนมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและ CEO ต้องออกมาขอโทษผ่านหนังสือพิมพ์ 9 ฉบับ ว่าด้วยเรื่องการปล่อยให้มีการใช้ข้อมูลส่วนตัวของสมาชิกราว 50 ล้านคนอย่างไม่เหมาะสม มีข่าวลือว่า Cambridge Analytica คือบริษัทหัวหอกผู้ซื้อข้อมูลส่วนตัวจาก Facebook เพื่อเอื้อประโยชน์ให้โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ทันทีที่ข่าวนี้ถึงหูประชาชนคนอเมริกัน ความน่าเชื่อถือทั้งหมดของ Facebook ก็ถูกถ่ายโอนไปยัง Amazon และ Google แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ได้ทำลายความเชื่อถือของแอปพลิเคชันยอดนิยมของคนทั้งโลกไปอย่างสิ้นซาก หลังจากที่โดนกระแสโจมตีเรื่องการรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ Facebook ก็ทนพัฒนาและปรับปรุงระบบการใช้ท่ามกลางข้อครหามาร่วมปี แล้วตอนนี้ทาง Facebook ก็ออกแคมเปญเรียกคืนความน่าเชื่อถืออีกครั้ง ด้วยการเปิดคาเฟ่ป๊อปอัปเพื่อตรวจสอบความเป็นส่วนตัวให้ผู้ใช้ คาเฟ่ป๊อปอัปจะถูกสร้างขึ้นในร้านกาแฟ 5 แห่งทั่วเกาะอังกฤษ ทั้งร้าน The Attendant ใน London, ร้าน Takk ใน Manchester,
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับรถยนต์ ชื่อที่ผู้ชายอย่างเราจะนึกถึงเป็นลำดับแรกคงไม่พ้นภาพยนตร์จากจักรวาล Fast & Furious ที่เดินหน้าสร้างความมันส์จนเดินทางมาถึงภาคที่ 9 แล้ว นอกจากเนื้อเรื่องที่สนุกตื่นเต้นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนุ่ม ๆ รู้สึกอินเป็นพิเศษในการดูหนังแต่ละภาคคือรถยนต์มากมายที่มาปรากฏตัวออกมา โดยวันนี้เราจะย้อนความกลับไปพูดถึง Toyota Supra หลังมีข่าวว่ามันกำลังจะกลับมาอีกครั้งใน Fast And Furious 9 ครั้งแรกที่ The Supra ปรากฏตัวใน Fast & Furious ต้องย้อนกลับไปในหนังภาคแรก The Fast and the Furious โดยหลังจากที่ Mitsubishi Eclipse ของไบรอัน โอคอนเนอร์ถูกลูกน้องของทราน (ตัวร้ายของเรื่อง) ทำลายทิ้งไป ก่อนตัวพระเอกจะขนซากของ Toyota Supra MK IV ปี 1994 มาที่โรงรถของดอมินิก โทเร็ตโต้ เพื่อคืนชีพและปรับจูนด้วยเครื่อง 2JZ และเทอร์โบชาร์จจาก Turbonetics T-66 จนกลับมาในสภาพโคตรสวยและมีบทบาทสำคัญมากมายในเรื่อง แต่เชื่อว่าหลายคนคงจำ Supra
ปีศาจความเร็วคันใหม่ที่ชื่อ Bugatti Centodieci ถือเป็นไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดจากค่าย Bugatti ที่เผยโฉมครั้งแรกแบบเป็นทางการในงาน Pebble Beach ไปสด ๆ ร้อน ๆ โดยผลิตขึ้นมาฉลองวาระครบรอบ 110 ปีการของการก่อตั้ง นับตั้งแต่ Bugatti Automobili S.p.A ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 มาจนถึงปัจจุบัน ตลอดระยะเวลากว่าร้อยปีเรียกได้ว่าค่ายรถจากเมืองน้ำหอมได้ผลิตรถยนต์ที่มีความเร็วเป็นสถิติโลกมากมายในหลายยุคสมัย นับตั้งแต่ไฮเปอร์คาร์ยุคบุกเบิกอย่าง Bugatti EB 110 ต่อด้วย Bugatti Veyron จนมาถึงยุคสมัยล่าสุดที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Bugatti Chiron ทั้งหมดนี้กลายเป็นต้นแบบให้กับไฮเปอร์คาร์ฉลองวันเกิด 110 ปีของขายที่ถือกำเนิดในชื่อ Bugatti Centodieci Bugatti Centodieci ถูกผลิตออกมาเพียง 10 คัน เป็นรถรุ่นพิเศษที่สร้างขึ้นมาโดยมีพื้นฐานมาจาก Bugatti Chiron แต่มีน้ำหนักเบากว่าประมาณ 20 กิโลกรัม โดยได้แรงบันดาลใจในการสร้างจาก Bugatti EB 110 ไฮเปอร์คาร์ยุคแรกเริ่มของค่ายที่ผลิตออกมาในปี 1991
เสน่ห์ของรถยนต์คลาสสิกจากยุค 50’s ดึงดูดใจผู้ชายอย่างเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องยนต์ รวมถึงงานตกแต่งทั้งภายนอกและภายในที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้รถที่ผลิตขึ้นมาในยุคนั้นมีความสวยงามที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หนึ่งในนั้นคือโมเดลรถยนต์อย่าง Hudson Coupe ที่วันนี้ความเก๋าของมันถูกชุบชีวิตกลับมาวิ่งบนท้องถนนอีกครั้ง Hudson Coupe คือรถยนต์ที่ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี 1937 – 1942 โดย Hudson Motor Car Company ค่ายรถยนต์ระดับตำนานจากสหรัฐอเมริกา ถึงแม้โมเดล 2 ประตูคันนี้จะไม่ได้โด่งดังเท่ากับไอคอนิคของค่าย Hudson Hornet แต่ก็ถือว่าเป็นยนตรกรรมอีกหนึ่งคันของยุคที่เป็นตัวอย่างยอดเยี่ยมให้รถยนต์ยุคต่อมา มันคือรถยนต์สไตล์สปอร์ตที่มาพร้อมการตกแต่งอันหรูหราภายในตัวรถ ด้วยวัสดุอย่างหนังจระเข้ หนังลูกวัวและคอนโซลลายไม้ แต่จังหวะการถือกำเนิดของมันจะไม่เหมาะนัก เพราะหลังจากเปิดตัวได้ไม่นานสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ Hudson Motor Car Company ต้องหยุดสายการผลิตของมันเอาไว้ เพื่อนำพลังการผลิตทั้งหมดไปสนับสนุนสงครามแทน จนกระทั่งสงครามจบลงและโรงงานต้องปิดตัวไปทำให้ Hudson Coupe กลายเป็นแรร์คาร์ที่ไม่มีใครได้ครอบครองมากนัก แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป 70 ปี ความสวยงามของมันก็ไปเข้าตาค่าย Custom Cars ที่ชื่อ ICON ซึ่งรู้จักในนามค่ายฟื้นฟูรถคลาสสิกแบบแฮนด์เมด ซึ่งเคยฝากผลงานไว้จากการคืนชีพ
Lamborghini Aventador SVJ กำลังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง หลังจากค่ายกระทิงเปลี่ยวได้เปิดตัวรถยนต์ในโมเดลสองประตูไปเมื่อปลายปีที่แล้ว มาปีนี้พวกเขาก็เพิ่มทางเลือกให้กับหนุ่ม ๆ อีกครั้งด้วย Lamborghini Aventador SVJ 63 Roadster ซึ่งเป็นโมเดลเปิดประทุนในรุ่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคมของปี 2018 Lamborghini เปิดตัว Aventador SVJ ซึ่งผลิตออกมาทั้งหมด 900 คันทั่วโลก แต่ข่าวเรื่องการจำกัดจำนวนการผลิตเพื่อรักษามาตรฐานของค่ายดูจะเป็นความจริง เพราะมาในปีนี้พวกเขาเลือกเปิดตัว Lamborghini Aventador SVJ 63 Roadster ที่ผลิตออกมาเพียง 63 คันเท่านั้น Lamborghini Aventador SVJ 63 Roadster ซูเปอร์คาร์ที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงการก่อตั้งค่ายกระทิงเปลี่ยวในปี 1963 รูปลักษณ์ภายนอกมาในงานดีไซน์เอกลักษณ์ของค่ายที่เรียกว่า CENTRO STILE ซึ่งคมชัดและดุดัน ดีไซน์ภายนอกของมันถูกปรับแต่งออกมาได้ถึง 8 รูปแบบ ด้วยการใช้วัสดุหลักเป็นคาร์บอนไฟเบอร์คุณภาพสูงในส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝากระโปรง ขอบกระจกและหลังคา เติมเต็มความหล่อด้วยล้อแม็กเคลือบไทเทเนียมหุ้มด้วยยาง Pirelli P Zero Corsa ด้านขุมกำลัง
แม้โลกจะก้าวหน้าและพัฒนาไปขนาดไหน แต่บางมุมของดาวเคราะห์สีน้ำเงินแสนสงบ ก็มีไฟสงครามกำลังปะทุขึ้นอย่างดุเดือดและดูท่าว่าคงไม่มอดดับไปโดยง่าย GARMIN แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์จึงหยิบเรื่องราวทางทหารมาผูกโยงกับการรังสรรค์เรือนเวลา จนได้ออกมาเป็น ‘GARMIN’S INSTINCT TACTICAL EDITION’ นาฬิกายุทธวิธีที่ถอดแบบความแข็งแกร่งและฟังก์ชันมาจากเหล่าทหารอเมริกัน ต้องบอกว่าแบรนด์นาฬิการายนี้ยังยึดมั่นที่จะผลิตนาฬิกาแบบสมบุกสมบันมาโดยตลอด ซึ่งรอบนี้ ‘GARMIN’S INSTINCT TACTICAL EDITION’ นำวัสดุผสมพอลิเมอร์เสริมแรงเส้นใย (fiber-reinforced polymer) มาใช้ดีไซน์ตัวบอดี้เพื่อให้นาฬิกาทนทานต่อแรงกระแทก ใช้หน้าจอขาวดำที่มีประสิทธิภาพในการกันน้ำลึกถึง 100 เมตร หรือราว 330 ฟุต แถมบริเวณหน้าปัดยังใช้กระจกแก้วมาตรฐาน MIL-STD-810 ที่นอกจากจะป้องกันรอยขีดข่วนได้เหนือชั้น ยังแสดงผลท่ามกลางแสงแดดจ้าได้อย่างสบาย ๆ ‘GARMIN’S INSTINCT TACTICAL EDITION’ มีเซนเซอร์นำทางและเข็มทิศ 3 แกนในตัว รองรับระบบดาวเทียมนำทางทั่วโลก ทั้ง GPS, Glonass และ Galileo สามารถติดตามอัตราการเต้นของหัวใจและปริมาณการเผาผลาญแคลอรี่ของคุณ พร้อมทั้งแจ้งเตือนสภาพอากาศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และส่งสัญญาณ SOS เพื่อติดต่อฉุกเฉินกับทีมได้อีกด้วย เจ๋งขึ้นกว่าเดิมเพราะมี Jumpmaster Mode ที่ดีไซน์มาเพื่อใช้งานควบคู่กับการกระโดดร่มแบบ
นอกจากบรรดาซูเปอร์คาร์และรถยนต์สายพันธุ์สปอร์ต รถในเซกเมนต์ SUV ถือเป็นอีกประเภทหนึ่งที่ผู้ชายอย่างเราให้ความสนใจ โดย SUV ในโลกนี้มีจุดเด่นต่างกันออกไปหลายแบบ แต่คงไม่มีคันไหนที่จะแกร่งและแรงเท่ากับ Rezvani Tank คันนี้อีกแล้ว Rezvani Automotive Designs ค่ายผู้ผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงจากแคลิฟอร์เนียกำลังจะเปิดตัวRezvani Tank รถยนต์ SUV ประจำค่าย โดยถือเป็นรุ่นที่สองของสายการผลิตที่มีฉายาว่า “Off Road Supercar” ซึ่งพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากรุ่นแรกที่ปล่อยออกมาในปี 2017 Rezvani Tank ปี 2020 ถูกพัฒนาขึ้นมาจากโครงสร้างของ Jeep Wrangler JK รุ่นล่าสุด ก่อนครอบด้วยเกราะกันขีปนาวุธเกรดกองทัพที่ดีไซน์ออกมาอย่างดุดัน รวมถึงประตูและกระจกแบบกันกระสุนรอบคัน ก่อนเสริมความแกร่งของช่วงล่างด้วยล้อแม็กผลิตจากอลูมิเนียม T6061 แบบที่ใช้ในการผลิตอากาศยานและยางกันกระสุนแบบ Flat-Run ขนาด 37 นิ้ว รวมถึงคาลิปเปอร์เบรก 8 ลูกสูบ นอกจากความแกร่งภายนอกแล้ว เรื่องของขุมพลังก็โหดไม่แพ้กัน เพราะ Rezvani Tank รุ่นมาตรฐานมากับเครื่องยนต์ Wrangler’s ขนาด 3.6 ลิตร
ถ้าพูดถึง Chevrolet Camaro ผู้ชายอย่างเราคงรู้ดีถึงความสวยงามและสมรรถนะของอเมริกันมัสเซิลคาร์คันนี้ ที่ถูกปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นรถที่เร็วไม่แพ้ใครบนท้องถนน ผู้ผลิตเองก็ยังไม่ยอมหยุดพัฒนา เลยจัดการเปลี่ยนสัญชาติมันเป็น EV Muscle Car ที่มีความแรงไม่น้อยไปกว่าเครื่องยนต์สันดาปเลย Chevrolet Camaro eCOPO เคยอวดโฉมไปแล้วก่อนหน้านี้ในงาน SEMA 2018 โดยเป็นรถยนต์คอนเซปต์ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของเชฟโรเลตและ Hancock and Lane Racing ทีมที่พัฒนารถแข่งแบบวิ่งทางตรง (Drag) โดยมีต้นแบบมาจาก Chevrolet Camaro COPO รุ่นปี 2019 เพื่อเฉลิมฉลองให้กับ 1969 Chevrolet COPO Camaro ตำนานของค่าย ด้วยการใช้โทนสี Laguna Blue เหมือนกัน เป้าหมายคือการสร้าง Camaro ในระบบส่งกำลังไฟฟ้าขึ้นมาเพื่อแทนที่เครื่องยนต์ V8 แบบไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างดั้งเดิมของตัวรถ โดยขุมพลังของมันถูกแทนที่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า BorgWarner สองตัว ที่ได้พลังงานจากแบตเตอรี่ ลิเทียม-ไอออนขนาด 800 โวลต์ที่แบ่งออกเป็นสี่ก้อน แต่ละก้อนมีความจุ 200 โวลต์ที่วางกระจายตามส่วนต่าง ๆ ของรถที่สร้างสมดุลด้วยการส่งน้ำหนักไปที่ด้านหลังของตัวรถ
แม้ในหนึ่งวันเราจะใช้เวลาอยู่ที่ทำงานมากกว่าที่ห้อง แต่เชื่อว่าเมื่อกลับห้องไปหนุ่ม ๆ ส่วนใหญ่คงทิ้งตัวนอนแหมะอยู่บนเตียงและแทบไม่อยากก้าวขาออกนอกเขตฟูกเลยแม้แต่น้อย ก็ทำไงได้ล่ะ เตียงมันทั้งนุ่ม สบาย และกว้างขวางมากเสียจนมีพื้นที่ให้เราเกลือกกลิ้งเรือนร่างกำยำ พลิกไปพลิกมา และเปลี่ยนแปลงอิริยาบถได้แทบทุกท่าตามใจนึก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ‘เตียง’ ถึงตอบโจทย์ผู้ชายเราตั้งแต่กิจกรรมทางเพศไปจนถึงกิจกรรมยามว่าง ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและพัฒนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยก็ยิ่งช่วยยกระดับและรังสรรค์นวัตกรรมเตียงให้มีอะไรมากกว่าแค่เป็นพื้นที่นอนเพื่อฆ่าเวลาแก้เบื่อ Fabio Vinella ดีไซเนอร์หนุ่มร่วมมือกับทีมสถาปนิกชาวอิตาลีออกแบบเตียง HIBED ของแบรนด์ Hi-Interiors ซึ่งเป็นเตียงที่มีแอปพลิเคชันเป็นของตัวเอง ผนวกเฟอร์นิเจอร์ในบ้านและอุปกรณ์อัจฉริยะเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้ชายเรา ตัวโครงสร้างเตียงใช้โครงเหล็กพร้อมพื้นผิวไม้ให้ความรู้สึกอบอุ่น ดีไซน์เตียงคล้าย ๆ กระโจมแต่ปราศจากผ้าม่านบดบัง ส่วนบริเวณปลายเท้าติดตั้งหน้าจอโพรเจกเตอร์ 4K และลำโพงขนาด 70 นิ้วที่พับเก็บได้แบบไม่เกะกะ นอกจากอรรถรสที่ได้รับชมภาพยนตร์และซีรีส์เรื่องโปรด เตียง HIBED ยังมีความสามารถในการวิเคราะห์และติดตามรูปแบบการนอนหลับ เพื่อให้หนุ่ม ๆ มีตารางการนอนที่เหมาะสม ซึ่งพวกคุณสามารถตรวจสอบคะแนนการนอนได้ทุกเช้าที่ตื่น เตียงมีระบบ Biometric Parameters ที่พร้อมรายงานคุณภาพอากาศและตรวจวัดอุณหภูมิภายในห้องนอน ทั้งยังวิเคราะห์ระดับเสียงรบกวนหรือแม้แต่น้ำหนักตัวของผู้ใช้ได้อีกด้วย บริเวณหัวเตียงและฐานเตียงสอดแทรกชุดไฟ built-in เพื่อสร้างแสงสว่างในยามค่ำคืนและเอื้อประโยชน์ต่อหนุ่มหนอนหนังสือให้ท่องโลกตัวอักษรได้อย่างสะดวกสบาย เพิ่มระบบการเตือนอัจฉริยะที่จะคอยแจ้งข่าวสารและสภาพอากาศประจำวันให้กับผู้ใช้ เรียกได้ว่าเป็นเตียงนอนที่ครบครัน ทันสมัย และมีฟังก์ชันเจ๋ง ๆ เหมาะกับผู้ชายยุคใหม่อย่างเราเป็นที่สุด ‘HIBED’ ถือเป็นตัวการันตีว่าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่ง ในรอบหลายศตวรรษของประวัติศาสตร์โดยได้แรงหนุนจากเทคโนโลยีการเชื่อมต่อและนวัตกรรมล้ำสมัยที่ช่วยให้ชีวิตของผู้ชายเราสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิม
ในยุคที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกำลังไปได้สวย และการสร้างสรรค์คอนเทนต์วิดีโอบน Youtube มาแรงอย่างตอนนี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ใช้กล้องพกพาที่ละเอียดคมชัด มีช่วงไดนามิกกว้าง และโดดเด่นทั้งการแสดงแสงที่สว่างหรือแม้แต่เงาที่มืดที่สุด BLACKMAGIC DESIGN บริษัทชั้นนำที่รังสรรค์นวัตกรรมกล้องเพื่อการสร้างภาพยนตร์ได้เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ ‘BLACKMAGIC POCKET CINEMA 6K’ ที่ดูเผิน ๆ แล้วงานดีไซน์แทบไม่แตกต่างอะไรจาก 4K รุ่นก่อนมากนัก แต่ตัวกล้องถูกอัปเกรดให้เอื้อประโยชน์ต่อนักสร้างสรรค์ภาพยนตร์มากยิ่งขึ้น และมันกลายเป็นกล้องคอมแพกต์ขนาดพกพาที่เหมาะที่สุดสำหรับถ่ายภาพยนตร์ในตอนนี้ ‘BLACKMAGIC POCKET CINEMA 6K’ เพิ่มเซนเซอร์ภาพ Super 35 HDR ขนาด 6144 x 3456 มอบคุณภาพการบันทึกภาพและวิดีโอในระดับดีเยี่ยม ทั้งตัวเซนเซอร์ยังดีไซน์มาเพื่อลดเสียงรบกวนอันเนื่องมาจากทำงานของตัวเครื่อง คอมแพกต์ตัวนี้มาพร้อม Dynamic Range 13 stops และช่วง ISO สูงถึง 25,600 ที่มีสัญญาณรบกวนต่ำในทุกสภาพแสง ทำให้กล้องสามารถถ่ายภาพและวิดีโอได้ดีแม้จะเจอสภาพแสงที่ท้าทาย แถมยังเก็บรายละเอียดบริเวณที่สว่างและมืดที่สุดของภาพได้อย่างมืออาชีพ กล้องยังรองรับการถ่ายภาพทั้งมุมกว้างและภาพระยะใกล้ มีเลนส์เมาท์ EF ที่เข้ากันได้กับเลนส์ของ Canon, Zeiss, Sigma และเลนส์ยอดนิยมจากค่ายอื่น