จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผ่านมาตลอดชั่วชีวิตนี้ (เท่าที่ยังหายใจและยังลืมตามาทำงานทุกวัน) พบว่ามากกว่า 75% ของชีวิตเราและคนรอบข้างที่รู้จัก ส่วนมากมักมีเป้าหมายชีวิตหรือความฝันต่างจากสิ่งที่ครอบครัวอยากให้ทำ ถ้าเป็นยุค 90 เฟื่องฟู (Generation ของคนเขียน) คงต้องบอกว่าเราโตมาพร้อมกับการฝังหัวให้กลายเป็นหมอและข้าราชการ ซึ่งเป็นค่านิยมของพ่อแม่ในยุคหนึ่งที่พวกท่านมองว่ามันเป็นอาชีพที่ดีและมั่นคง สำหรับเราที่เลือกเส้นทางนักเขียนก็ต้องพิสูจน์ให้ครอบครัวเชื่อว่า “นักเขียน” หรือการเขียนหนังสือสามารถสร้างรายได้เลี้ยงดูตัวเองได้ แม้มันจะไม่ใช่อาชีพที่ได้รายได้ดี แต่เป็นอาชีพที่ทำให้เรากล้าฝ่ามรสุมอุปสรรคที่พร้อมจะเข้ามาเล่นงานได้อย่างอดทน เพราะอย่างน้อย ความรักจะทำให้เราอยู่กับมันได้นานกว่า ส่วนตัวถือว่าค่อนข้างโชคดีที่ครอบครัวค่อนข้างเข้าใจ แม้จะรู้สึกค้านหรือพยายามเสนอให้เบนเข็มชีวิตแต่ก็ยังสนับสนุนและไม่ซ้ำเติมเส้นทางที่เราเลือกเดิน “ถ้าความฝัน ≠ ความหวัง” เป็นทั้งชื่อคลิปโฆษณาจาก OPPO และเป็นคีย์เวิร์ดยิงปังเข้ากลางใจเราตั้งแต่ชื่อของมัน ยิ่งเมื่อได้คลิกดูแล้วเราก็ไม่แปลกใจที่มันจะเป็นหนึ่งในคลิปไวรัลของเดือนเมษายนช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่าน เนื้อหาในคลิปบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกที่ทำอาชีพแอร์โฮสเตส แม่ที่ทำอาชีพแอร์ฯ ก็อยากให้ลูกเป็นแอร์ฯ ส่วนลูกก็มีความฝันของตัวเอง (ความฝันอื่นที่ไม่ได้เป็นแอร์) ที่ทำไปพร้อมกับความหวังของแม่ด้วย เรื่องมันจะดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ตึง สะบั้นทั้งอารมณ์และเรียกน้ำตาให้เราอินโดยไม่ทันรู้ตัว แต่นอกจากเรื่องราวที่น่าสนใจแล้ว เบื้องหลังที่ทำให้คนต้องแชร์ต่อมีอีกหลายประเด็นเหล่านี้ ซึ่งเป็นคำตอบจากผู้กำกับวิดีโอที่เราคุ้นเคยอย่าง “ย้ง – ทรงยศ” ผู้กำกับแถวหน้าของไทยนี่เอง คลิปไวรัลที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริง และผู้กำกับที่การันตีได้ “Based on true story” คือจุดขายแรกที่น่าสนใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคลิปที่เป็นหนังสั้นจากโฆษณา แต่การฟังเรื่องจริงมันทำให้เราสนใจได้เสมอ ยิ่งเมื่อได้นักแสดงเป็นเจ้าของเรื่อง มันก็ยิ่งอินเข้าไปใหญ่
เชื่อว่าขณะที่คุณกำลังเปิดอ่านบทความนี้ ส่วนใหญ่คงกำลังอยู่ในที่พักอันอบอุ่น มีงานให้ทำ มีเงินเดือนให้ใช้ แต่รู้หรือไม่ว่านอกรั้วบ้านของเราทุกวันนี้มีคนไร้บ้าน – ไร้ที่พึ่งหรือบุคคลที่เราเรียกว่า “โฮมเลส” เฉพาะในประเทศไทยนั้นมีมากถึง 70,539 คน (ผลสำรวจปี 2560) เมื่อโฮมเลสส่วนใหญ่คือคนที่เราเดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่ค่อยสนใจพวกเขามากนัก แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ David Casarez ชายโฮมเลสที่ยืนริมถนนพร้อมป้ายกระดาษหนึ่งใบในแคลิฟอร์เนียได้รับความสนใจจากคนในสังคมออนไลน์ จนมีคนลุกมาถ่ายภาพ โพสต์ และรีทวีตข้อความถึงบริษัทในซิลิคอนวัลเลย์ให้ช่วยรับชายคนนี้เข้าทำงาน และผลของพลังโซเชียลครั้งนี้ก็ทำให้เขาดังเป็นพลุแตกชนิดที่บริษัทกว่า 200 แห่งในซิลิคอลวัลเลย์แห่กันเรียกให้เข้าสัมภาษณ์งานเลยทีเดียว อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยนสถานะจากโฮมเลสหางานเป็นคนที่งานวิ่งเข้าหา ได้รับโอกาสต่างจากโฮมเลสคนอื่น เขาสมควรได้รับโอกาสนี้หรือเปล่า หรือเป็นแค่ความสงสารไร้เหตุผลของคนโซเชียล เราล้วงที่มาและเรื่องราวของเขามาบอกแล้วในนี้ “Homeless, hungry 4 success, take a resume” คุณเคยอ่านป้ายกระดาษที่อยู่ในมือโฮมเลสทั้งหลายบนสะพานลอยบ้านเราไหม เราเชื่อว่าคงต้องมีสักแว้บที่สายตาพลันเหลือบไปอ่าน แต่นี่ผู้ชายร่างใหญ่ ๆ ยืนถือป้ายกลางสี่แยกท่ามกลางแดดร้อน ๆ ด้วยข้อความโต ๆ ว่า “Homeless, hungry 4 success, take a resume” หรือ “ผมคือโฮมเลสที่โหยความสำเร็จ รับ Resume ผมไปทีครับ” ทำไมเราจะไม่หยุดดูล่ะ งานนี้ถือเป็นการขายตรงเรซูเม่ที่ฮุคเข้าตากรรมการได้โคตรทรงพลัง
โหนกระแสมันสนุก ใครเกาะทันข้ามวันข้ามคืนก็กลายเป็นคนดัง เราทุกคนรู้ดีว่าในยุคนี้ดาวใหม่สายไอดอลเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เมื่อได้รับความสนใจไม่ว่าจะจากเรื่องดีหรือไม่ดี ขอเพียงการกดคลิกไลค์เล็กน้อย กับยอดวิวตัวเลขใต้แชนแนล Youtube คนส่วนใหญ่ก็พร้อมจะพลีชีพเพื่อเรื่องเหล่านั้น แต่หนนี้เราเห็นปุ๊บถึงกับต้องสบถเลยว่า “What the f*ck!” ใจมันจะสู้เกินไปไหมเพราะวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวอเมริกันออกมานำเทรนด์ฉีกถุงยางขึ้น สูด สูด สูด และสูดปรื้ดทะลุจากรูจมูกจากนั้นดึงออกมาทางปาก แล้วส่งคำท้าใส่กันใต้ชื่อ “Condom Snorting Challenge” “Condom Snorting Challenge” มันไม่ใหม่เรียกได้ว่า 5-6 ปีจะโผล่มาสักครั้ง โดยวีรกรรมสุดแผลงนี้อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นมาในปี 2550 ก่อนจะซาไปโผล่มาใหม่ในปี 2556 อีกหน จนมาถึงปีนี้ที่มีความพยายามจะเอาเรื่องนี้กลับมาแลกยอดไลค์อีกครั้ง งานนี้คงไม่ต้องมีใครบอกว่าผลที่ออกมามันจะแย่แค่ไหน เพราะหมอเขาออกมาการันตีว่าไม่ว่าเราจะคิดยังไง มันยังแย่ได้กว่าที่เห็น หากริอ่านจะเปลี่ยนจากสวมมาเป็นสูด Dr. Jennifer Villwock ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาโสต ศอ นาสิกวิทยาจาก University of Kansas ออกมาบอกว่าสูดไปมันอันตราย อย่าริไปลองเด็ดขาดเพราะอาจจะมีอาการเหล่านี้ ! Level 1