Entertainment

ทุกวันนี้ดนตรีร็อกเหมือนยักษ์ที่โดนเสกให้ตัวเล็กลง ‘เต๋า – THE ROCK PUB’กับการยืนหยัดในปีที่ 30

By: Synthkid February 15, 2020

สำหรับคอดนตรีร็อกในเมืองไทย เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของ “The Rock Pub” หนึ่งในแหล่งรวมตัวคนชอบดนตรีร็อกที่จัดว่ามีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ในกรุงเทพฯ รวมถึงในบ้านเราเลยทีเดียว ชาวร็อกหลายคนอาจจะเคยไปมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง แต่สำหรับบางคนที่ยังไม่รู้ว่าร้านนี้ตั้งอยู่ส่วนไหนในประเทศ ลองคิดดูดี ๆ ว่าคุณเคยเห็นตึกอิฐที่ดูน่าเกรงขามข้าง Coco Walk ติด BTS ราชเทวี ตึกนั้นหรือไม่? ใช่ครับที่นั่นคือที่ตั้งของ The Rock Pub

ภายนอกสถานที่แห่งนี้อาจทำให้หลายคนคิดว่า ‘ดูเก่า’ ไม่ก็อาจจะคิดว่าดูน่ากลัว แต่สำหรับคนที่เคยเข้าไปคลุกคลีเสพดนตรีทั้งคืนจนถึงร้านปิดอย่างเราแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย ที่เข้ามาเต้น มาร้อง มากระโดด มาพูดคุย บ้างก็นั่งเฉย ๆ ฟังดนตรีกันอย่างตั้งอกตั้งใจ เป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีใจรักต่อดนตรีร็อกอย่างแท้จริง บางครั้งก็อาจจะมากกว่าเครื่องดื่มที่พวกเขาถือในมือเสียอีก

ด้วยความที่เห็น The Rock Pub มาอย่างช้านาน เราจึงเกิดคำถามว่าใครเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้? และเขาทำอย่างไรให้ร้านเป็นดนตรีเฉพาะกลุ่มลักษณะนี้ให้ดำรงอยู่ได้? วันนี้ UNLOCKMEN จึงเข้ามาสนทนากับ “คุณเต๋า – นนทเดช​ บูรณะ​สิทธิ​พร” ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของคนปัจจุบันของร้าน และเราก็ได้พบว่า The Rock Pub ไม่ได้เป็นเพียงผับบาร์ทั่ว ๆ ไปแต่เป็นสถานที่ที่ยืนหยัดเคียงข้างประวัติศาสตร์เพลงร็อกในไทยมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่วันที่ดนตรีร็อกเข้ามาในประเทศไทย ผ่านวันคืนที่เฟื่องฟูและตกต่ำถึงขีดสุด รวมถึงเรายังได้ทำความรู้จักชายผู้อยู่เบื้องหลัง ผู้ซึ่งยึดมั่นเชื่อถือในสิ่งที่รัก และพร้อมจะขับเคลื่อนดนตรีร็อกในไทยให้ก้าวต่อไป แม้จะผ่านไปกี่ยุคสมัยก็ตาม

“เต๋า นนทเดช” ชอบเพลงร็อกมาตั้งแต่เกิดเลยหรือไม่

ผมเกิดมาก็เจอดนตรีมาตั้งแต่แรก ก่อนจะมี The Rock Pub คุณพ่อก็มีเครื่องดนตรี มีห้องซ้อมอยู่แล้ว ตั้งแต่จำความได้ผมก็เจอกลอง เจอไมค์ เจอกีตาร์ ผมเห็นรุ่นลุงรุ่นน้าที่เป็นดนตรีร็อกเยอะมาก เลยทำให้คุ้นเคยอยู่แล้ว แต่ถ้าที่ชอบดนตรีร็อกจริง ๆ มันอาจจะไม่ใช่ตั้งแต่แรก เพียงแต่มีความสนใจด้านดนตรีมาตลอด มีรูปผมตอนเด็ก ๆ สมัยหัดเดินไม่กี่ขวบก็เริ่มหยิบไม้กลองมาตี หยิบไมโครโฟนมาเล่นแล้วครับ

จุดกำเนิดที่ทำให้คุณสนใจ ‘เพลงร็อก’

จุดเปลี่ยนสำคัญของผมเลยที่ทำให้ชอบร็อก เรียกได้ว่าบ้าเลย น่าจะเป็นตอนที่มีรุ่นพี่เปิดเพลงให้ฟังตอนนั่งรถไปด้วยกัน มันคือเพลงของวง Green Day ก่อนหน้านั้นผมก็ฟังเพลงไทย ไม่ก็เพลงสมัยเก่าอย่างที่มาฟังที่ร้านก็จะเป็น Deep Purple, Jimi Hendrix หรือ Led Zepplin ซึ่งเด็ก 7 ขวบมันก็ไม่อินอะไรพวกนี้ เพราะเข้าถึงยาก แต่พอรุ่นพี่เปิด Green Day ให้ฟังปุ๊บ มันตอบโจทย์ทุกอย่าง ผมก็แบบ ‘เฮ้ย! นี่มันวงอะไรอ่ะ’ มันแปลก ไม่เคยฟังมาก่อนในชีวิต มันทำให้ผมบ้าซื้อเทป ทีนี้ก็เริ่มสนใจซื้อทุกชุดของ Green Day อะไรก็ตามที่หน้าปกเขียนว่าร็อก ยิ่งสมัยก่อนจะมีหน้าปกที่เขียนว่า ‘Parental Advisory’ ที่เอาไว้เตือนพ่อแม่ว่าสิ่งนี้จะมีคำหยาบคาย คือซื้อหมดเลย ขอตังค์พ่อแม่ไปซื้อทุกม้วน

และจุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกอย่างคือวง Korn ผมเห็นเขาในทีวีตอนเด็ก ๆ สมัยก่อนมันหาดูยากมาก ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีให้ค้นหาบน Youtube ช่วงนั้นจะมีรายการบนเคเบิ้ล อาทิตย์นึงจะมีรายการนี้แค่ครั้งเดียวที่เล่นเพลงร็อก ผมจำชื่อรายการไม่ได้ ผมต้องแอบแม่ดู ตอนนั้นมีมิวสิควิดีโอของ Korn ขึ้นมา เรียกได้ว่าเห็นแล้วก็ช็อกเลย ง่วงก็ต้องหายง่วง จากวันนั้นคือจำชื่อนี้มาตลอด วงนี้เนี่ยแหละที่ทำให้ผมกับเพื่อนตัดสินใจตั้งวง ทำให้ผมอยากเล่นดนตรี มีวงดนตรีเป็นของตัวเอง

คุณเต๋าเป็นนักดนตรี?

ผมเคยตั้งวงดนตรี จริง ๆ ก็ยังทำอยู่แหละ ชื่อวง Outro ตอนนั้นเรียนอยู่เทียบเท่าประมาณ ม.5 – ม.6 เรากับเพื่อนชอบแนวเดียวกัน พวก Deftones หรือ Korn อะไรพวกนี้ ณ วันนี้ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่เหลือผมเป็นสมาชิกเก่าแค่คนเดียว ผมก็เอาน้อง ๆ ที่รู้จักกันมาทำ เล่นที่ร้านทุกอาทิตย์ เคยออกเทป มีผลงานเป็นของตัวเอง ออกอยู่สองชุดกับค่ายพี่โป่ง หิน เหล็ก ไฟ นานแล้วเกือบ 20 ปี คือผมรู้สึกว่าวงผมมันออกเร็วไป คำว่าเร็วไปของผมคือในเวลานั้นตลาดไม่รับอะไรแบบนี้เลย เพลงร็อกที่มีการแหกปาก มีการว้าก เนื้อหาไม่มีเกี่ยวกับความรักเลย มีเพลงรักแค่เพลงเดียว นอกนั้นก็เป็นเรื่องราวแบบ ภาคใต้ เรื่องความหดหู่อะไรแบบนี้ ผมว่ามันใหม่ไป มันน่าจะเป็นอะไรที่แปลกมาก ๆ จนตลาดไม่พร้อมจะรับ ลองเซิร์ชใน Youtube ดูก็จะเจอ ผมยังเด็กมากสมัยนั้น

เป็นทั้งศิลปินวงร็อกและเจ้าของบาร์เพลงร็อก จริง ๆ แล้วคุณเรียนจบอะไรมา

ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่ได้เกี่ยวเลยครับ (ขำ) ถ้าตอนนี้ให้ย้อนกลับไปเลือกใหม่ คงเลือกอะไรที่มันเหมาะกับตัวเองมากกว่านี้ เช่นไปเลือกอะไรที่มันเป็นศิลปะหรือไม่ก็เรียนดนตรีเลย ยิ่งสมัยก่อนเราโตมากับสังคมที่บอกเราว่า ‘ต้องเรียนแบบนี้สิถึงจะดี’ ผมก็รู้สึกว่าไหน ๆ ก็สอบเข้าได้ เราก็ไปเรียนก็ได้ มันก็ได้ประโยชน์นะ แต่ทุกคนจะงงว่าผมเรียนคณะนี้ทำไม มันก็ทำให้ผมมีมุมมอง มีความคิดบางอย่างในแบบที่…ถ้าไม่ได้เรียนแบบนี้มาก็อาจจะไม่มี

แล้วเป็นไงมาไงถึงมาเป็น The Rock Pub 

ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าร้านนี้จริง ๆ คุณพ่อเป็นคนเปิดขึ้นมา เปิดตั้งแต่ผมอายุ 3 ขวบ อยู่มานานมากแล้ว ผมมาทำช่วงเป็นรอยต่อ คือร้านไม่ได้ตั้งอยู่ที่ราชเวทีมาตลอด 30 ปี ตอนแรกมันอยู่เชิงสะพานหัวช้าง ใกล้ ๆ กันเนี่ยแหละ แล้วก็ย้ายมาอยู่นี่ ช่วงนั้นผมเรียนจบแล้วประมาณ 2 ปี ไปสมัครงานก็แล้ว ไปอะไรก็แล้ว สุดท้ายก็มาคุยกับคุณพ่อว่าเราขอมาช่วยทำดีกว่า ผมเข้ามาทีละนิด เริ่มจากมาเล่นดนตรีก่อน แล้วก็ค่อย ๆ เข้ามาช่วยพ่อทีละอย่าง ต้องเล่าให้ฟังว่าช่วงนั้นเป็นรอยต่อของเศรษฐกิจ ถ้าพูดภาษาธุรกิจก็คือจะเจ๊งนั่นแหละ แต่ด้วยความที่ผมอยากทำด้วย ผมไม่ยอมให้พ่อแม่ปิด ผมทำเอง ผมเลยมาช่วยทำให้มันกลับมา

ถ้าถามว่ามาทำไมก็คือ ‘มันรักครับ’ 

ถ้าเป็นนายทุนมาเห็นในวันนั้นเขาอาจจะไม่ทำก็ได้ ถ้าผมไม่ได้มีใจรักผมก็อาจจะไม่ทำ ทำธุรกิจแบบนี้มันเหนื่อย เราทำธุรกิจกับคนกลุ่มเล็ก ๆ คือจริง ๆ คำว่าเล็ก มันคือเล็กกว่าแนวเพลงแนวอื่น ๆ เฉพาะในเมืองไทยอย่างเดียวนะครับ แต่มันก็มีจำนวนของเขาอยู่ มันมีคนกลุ่มนี้ในเมืองไทยอยู่ ถ้านับเป็นจำนวนจริง ๆ มันก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้น เราจะทำอย่างไรให้ดนตรีแนวร็อกมันสานต่อไปเรื่อย ๆ มันเป็นโจทย์ที่ไม่ง่าย จะทำให้เขาออกมาเครื่องดื่มที่ร้านเรา มานั่งฟังดนตรีของเรา มันไม่ง่ายเลย

The Rock Pub เกิดขึ้นตั้งแต่รุ่นพ่อ?

ใช่ครับ อยู่มาตั้งแต่ปี 1987 ตอนนั้นผม 3 ขวบ ส่วนผมเข้ามาตอนอายุประมาณ 23-24 ราวปี 2000 กลาง ๆ ประมาณนั้น

แสดงว่า The Rock Pub ก็ผ่านเพลงร็อกทุกยุคมา ตั้งแต่ 80-90 เลย!

The Rock Pub ผ่านร็อกมาเกือบทุกยุค มียุคเดียวที่ไม่ผ่านคือยุค Elvis Presley หรือ The Beatles ยุค 60 นี่ไม่ผ่าน เก่าไป แต่ 70 ผ่าน เพราะผมยังจำได้อยู่เลยว่าน้า ๆ ลุง ๆ เขาเล่นเพลงอะไร ผมจำได้แม่น เมื่อก่อน The Rock Pub จะมีชั้นลอย อยู่บนชั้น 2 ผมจะขออนุญาตแม่ขึ้นไปบนนั้น ไปนั่งดูศิลปินอยู่คนนึงชื่อ ‘น้ามันต์ เอกมัน’ เขาทำให้ผมอยากตีกลอง ผมจะไปเกาะอยู่บนชั้นลอย ดูแกตีกลอง ดูเป็นชั่วโมง ๆ ไม่หลับไม่นอน เป็นอีกแรงบันดาลใจนึงที่ทำให้ผมอยากเล่นดนตรี ผมรู้สึกว่ามันเท่ มันสนุก ผมจำได้ว่าแกเล่นเพลงยุคไหน มันคือยุค 70 พวก Led Zeppelin, Black Sabbath, Jimi Hendrix หรือ Deep Purple อะไรพวกนี้ ซึ่ง ณ วันนั้นเนี่ยมันเป็นยุคแรก ๆ ที่ร็อกเข้ามาเมืองไทย สมัยสงครามเวียดนาม พวกทหารอเมริกันเขาเข้ามาทางภาคอีสาน เขาก็จะติดแผ่นติดเทปอะไรแบบนี้มาให้นักดนตรีไทยแกะเล่นที่บาร์ มันเชื่อมต่อมาจากตรงนั้นครับ

ช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาทำ The Rock Pub เต็มตัว กระแสตอบรับเป็นอย่างไร

คุณพ่อและผมมองอะไรหลาย ๆ อย่างไม่เหมือนกัน คุณพ่อกับผมชอบร็อกคนละแนว คุณพ่อเขาโตมาในยุคฮิปปี้ ยุค 60-70 จนถึง 80 สำหรับเขา Nirvana ยังใหม่เลยครับ ณ วันนั้น Nirvana จัดเป็นวงสมัยใหม่ เพราะฉะนั้นเวลาผมจะแนะนำอะไรเขา เช่นอยากให้วงเล่นเพลงโน้นเพลงนี้มันก็เป็นอุปสรรคอย่างนึงที่ผมต้องโน้มน้าวให้เขาเชื่อว่าร็อกมันอยู่กับที่ไม่ได้ ร็อกอยู่ทุกอย่าง ในสังคม ในโลก เหมือนแฟชั่นและทุก ๆ ธุรกิจ มันต้องเดินหน้าต่อไป วงร็อกมันไม่ได้หยุดแค่ Guns N’ Roses หรือ Metallica มันไปของมันเรื่อย ๆ คนที่อยากฟังแนวเพลงซ้ำ ๆ มันมีอยู่ไม่เยอะ คนที่ฟังร็อกจริง ๆ เขาก็อยากฟังอะไรใหม่ ๆ บ้าง สมมุติมา The Rock Pub ติดกัน 3 เดือน คุณได้ยินแต่เพลงเดิม ๆ เขาก็เลิกมา อันนี้ก็เป็นโจทย์นึง แต่เพราะวันนั้นมันเป็นช่วงรอยต่อของทั้งเศรษฐกิจและแนวเพลง

ตอนนั้นเมืองนอก Nu Metal เขาระเบิดเถิดเทิงแล้ว ส่วนที่ไทยเพิ่งกำลังจะมา The Rock Pub ตอนนั้นเงียบมาก แนวเพลงกระแสหลักก็ยังไม่รู้จะไปทางไหน พี่ ๆ Ebola ก็เล่นอยู่ใต้ดิน วงร็อกที่เป็นแบบพวกเขาคือยังอยู่ใต้ดินหมดเลย บนดินก็จะเป็นร็อกทั่วไป จำได้ว่าพี่ ๆ Silly Fools ก็ยังเล่นดนตรีที่ผับอื่นอยู่เลย ยังทำ EP แนวแหกปาก มีว้ากด้วย ดนตรีร็อกยังไม่รู้ไปทางไหน The Rock Pub ก็เช่นกัน มันมีช่องว่างช่องโหว่ที่ผมต้องช่วยคิดว่ามันจะไปต่ออย่างไร

แล้วช่วงที่คุณรู้สึกว่า The Rock Pub ลงตัวที่สุดคือช่วงไหน

มันคือช่วงที่ผมเข้ามาสักพักนึง แล้วกระแสเพลงร็อกก็กลายเป็นกระแสเมนสตรีม ยุค Nu Metal ที่มีวงแบบ Linkin Park, Slipknot, Korn และ Limp Bizkit วงพวกเนี้ยอยู่ดี ๆ ก็ทำให้คนทั้งโลกชอบได้ ขึ้นมาเป็นกระแสหลัก ซึ่งเราเล่นเพลงพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่ช่วงที่ร้านเราพีคมาก ๆ คือคนมาเยอะ ศุกร์เสาร์คนเต็มตลอด มันคือช่วงที่ผับอื่น ๆ เล่นเพลงวง Limp Bizkit หมดแล้ว! เล่นเพลง Linkin Park ไปแล้ว เพราะฉะนั้นลูกค้าที่ชอบร็อกจริง ๆ เขาก็กลับมาหาอะไรที่เขารู้ว่า ‘คุณคือคนแรกที่ทำ’ พวกเขารู้

มันเป็นความโชคดีที่กระแสเพลงร็อกในโลกมันกลับมาพอดี มันเลยทำให้เรากลับมาได้ ถ้าไม่มีวงพวกนี้ในโลกก็ไม่รู้ว่า The Rock Pub จะเดินไปทางไหนได้ คนกลับมานิยมชมชอบเพลงร็อกอีกครั้ง คนยุคผมอ่ะ อายุ 30 ขึ้นไป โตมากับเพลงร็อกพวกนี้หมดเลย

ยุคนั้นดนตรีสดมันแรงมาก ร้านทุกร้านที่มีดนตรีสดและเล่นดีคือเกิดทุกร้าน ผมจำได้ แต่ถ้าเป็นยุค 90 ช่วงแรก ๆ ที่ผมมาทำมันก็จะเงียบ ๆ หน่อย เศรษฐกิจมันไม่ดีด้วยช่วงต้มยำกุ้ง มันล้มมาหลายปี จริง ๆ มันคือเจ๊งแล้วแหละ เหมือนธุรกิจอื่น ๆ ที่จากร้อยกลายเป็นศูนย์ The Rock Pub มันก็เกือบจะเป็นศูนย์ ถ้าไม่มีผมในวันนั้นที่ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะทำต่อ ก็คงจะไม่มีร้านในวันนี้ครับ

แสดงว่าคนไทยฟังเพลงช้ากว่ากระแสเพลงหลักในโลก?

มันเป็นเรื่องปกติของคนยุคนั้นครับ เพราะก่อนจะมี Youtube ก่อนที่อินเทอร์เน็ตมันจะเร็วพอให้เราโหลดเพลงได้ง่ายดายขนาดนี้ มันเป็นธรรมชาติของโลก ดนตรีร็อกมันเกิดจากฝั่งตะวันตก ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของโลกที่ทุกคนเข้าใจ อเมริกาหรือยุโรปจัดว่าเป็นคนกลุ่มแรกที่สร้างมันขึ้นมา เราก็ต้องรอมันเดินทางข้ามทวีปมา ด้วยวิธีไหนบ้างก็ไม่รู้

แต่ส่วนใหญ่ ณ วันนั้นผมเชื่อว่า 80-90 % มันเกิดจากวงไทยเนี่ยแหละ ที่มาเล่นเพลงคัฟเวอร์ให้คนฟัง ให้คนเห็น ผมเองเล่นดนตรีก็จริง แต่ผมจำความได้เลยว่า The Rock Pub เคยจัดงาน ๆ นึง มีพี่ ๆ วง Teething ซึ่งเป็นวงที่เล่นเพลงของ Korn ได้ดีที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ สมาชิก 2 คนที่คุณน่าจะรู้จักก็คือพี่ชัชกับพี่ยอด วง Bodyslam น่าจะเป็นวงแรก ๆ ของแก ตอนนั้นที่ผมดูแกเล่น มันก็เป็นแรงบันดาลใจให้เห็นว่า เฮ้ย มันมีคนแบบนี้อยู่ในประเทศเหรอวะ คนที่เล่นได้ดีขนาดนี้ พวกพี่ ๆ เขาก็เป็นต้นแบบพวกผม และผมก็เชื่อว่าการที่ผมเล่นดนตรี มันก็จะทำให้คนอีกรุ่นหนึ่งหันมาเล่นดนตรี ทำให้เขารู้สึกคล้าย ๆ กันแบบนี้ว่ามีคนแบบพวกผมอยู่เช่นกัน เป็นอะไรที่ส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ ตรงนี้แหละครับที่ผมคิดว่ามันสำคัญ และทำให้ดนตรีร็อกยังอยู่ได้ ดนตรีร็อกมันนั่งฟังที่บ้านไม่ได้ มันต้องออกมาดู นั่งฟังที่บ้านมันไม่ตอบโจทย์ ไม่ตอบอะไรเลย

ถึงเพลงจะดี วงจะดี แต่วงร็อกเขาวัดกันที่การเล่นสด ผมยืนยันคำนี้มาตลอด 

วงไหนที่ว่าดี คุณดูเขาเล่นสดหรือยัง ถ้ายังไม่ดู อย่าเพิ่งบอกว่าดี 

The Rock Pub มีช่วงที่เป็นขาลงหนัก ๆ บ้างไหม

มีเยอะเลยครับ หนักสุดคือต้มยำกุ้ง แล้วก็มีอีกหลังยุค Nu Metal หายไป ช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่…ผมขอเรียกว่าดนตรีที่ไม่ได้เล่นสด ไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีเล่น ช่วงเครื่องดนตรีสังเคราะห์กำลังจะขึ้นมาแทน มันก็เป็นอีกโจทย์ที่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไร อย่างทุกวันนี้ The Rock Pub สำหรับผมคือไม่ได้ขึ้นหรือลง มันจะกลาง ๆ มันจะมีกราฟของมันอยู่ วัน ถ้าเป็นลูกค้าประจำจะเห็นว่าบางวันใช่จะมีคน เหมือนเล่นไพ่อ่ะครับวันธรรมดา บางวันก็คึกคักมีชาวต่างชาติเข้ามา บางวันมีคนมาเที่ยวคนเดียวก็เคย ขาขึ้นขาลงเนี่ยเป็นสิ่งที่ยังมีให้เห็นแบบวันต่อวันเลย

แต่ที่ลงจริง ๆ ล่าสุดเลยคือช่วงที่มีปัญหาการเมือง ช่วงนั้นหนักมาก ถนนทุกเส้นรอบ The Rock Pub โดนปิดหมดเลย ทุกอย่างมันไม่นิ่ง ร้านเราก็ต้องปิดติดกันหลาย ๆ เดือน ผมสงสารตัวเองก็จริง แต่สงสารเด็กในร้าน สงสารวงดนตรีมากกว่า เราจะเลี้ยงเขายังไง รายได้เราไม่มี เพราะร้านเราถ้าไม่มีดนตรีสดเล่น ลูกค้าเขาไม่นั่ง แทบจะเป็นร้านเดียวในประเทศที่ถ้าดนตรีไม่ขึ้น ลูกค้าส่วนใหญ่ไม่นั่ง เปิดเพลงเฉย ๆ เขาก็ไม่นั่ง

พอสถานการณ์มันเริ่มนิ่ง ทีนี้แหละเราจะกลับมาได้อย่างไร ผมคิดโจทย์อยู่ตลอด ช่วง 4-5 ปีหลัง ผมเลยใช้อีเวนต์เข้ามาช่วยเยอะ คือนอกจากวงที่เล่นเป็นประจำที่ร้าน ผมจะจัดงานแบบรวบรวมทั้งวงของร้านและวงเพื่อนพี่น้องที่รู้จักกันอยู่แล้วมารวมตัวกัน แล้วก็ตั้งตีมงานขึ้นมาให้มันกลายเป็นอีเวนต์เพลงแนวนั้นแนวนี้

เมื่อก่อนคนจะมอง The Rock Pub ว่าแก่หรือเก่า พอเขาเห็นว่าเออมันมีแบบนี้เล่นด้วยเหรอ เขาก็กล้าก้าวขาเข้ามาในร้านผม มาเห็นว่าร้านเป็นอย่างไร ดนตรีเป็นอย่างไร มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด มันมีหลายคนมาก ๆ ที่ถ้าไม่มีอีเวนต์ เขาจะไม่รู้จัก The Rock Pub แน่นอน ต้องเข้าใจว่าการที่คน ๆ นึงจะออกมา มันต้องมีแรงดึงดูด นอกจากเพื่อน นอกจากความชอบ เราก็ต้องสร้างอีเวนต์ให้เขารู้สึกว่า เฮ้ย นี่มันเป็นงานของคุณนะ

วันปกติผมก็เล่นทุกอาทิตย์ แต่เขาไม่มาดูนะ แต่พอจัดอีเวนต์เขากลับมาดูผม เพราะเขารู้สึกว่ามันเป็นวันของเขา อย่างวันนี้ (ที่ทางทีมมา สัมภาษณ์) เราจัดงานเป็นวัน 90 มันจะมีคนกลุ่มนี้ที่เขาพร้อมจะมางานอีเวนต์ก่อนวันธรรมดา พูดบ้าน ๆ ก็คือวันนี้แหละวันของกู มาเจอคนที่ชอบเหมือนกัน มาฟังเพลงที่เขาอยากฟัง ที่มันหาที่ไหนไม่ได้ ผมเห็นหลายคนพอเขามาอีเวนต์ วันธรรมดาเขาก็จะนึกถึงเรา แล้วก็จะแวะมาดื่ม มาฟังวงของร้านเรา

ความสุขของผมอย่างนึงคือมันจะมีลูกค้าหลายคนเขามาติด ๆ กัน บางคนมาทุกอาทิตย์เลย ผมถามว่าไม่เบื่อเหรอ เขาบอกว่ามันไม่เหมือนมาเที่ยวผับ เหมือนเขามาบ้านเพื่อน มานั่งดูวงเล่นดนตรีแบบที่เขาชอบ เป็นคำตอบที่ผมชอบมาก เพราะนั่นคือจุดหมายปลายทางของผม

มันชื่อ The Rock Pub ก็จริง แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ผับ มันคือสถานที่ที่มีดนตรีเล่นสด มีเครื่องดื่มคอยขาย แล้วคุณมานั่งดูดนตรี คุณจะแต่งตัวยังไงมาก็ได้’

ผมไม่จำกัด จะใส่แตะ ใส่ขาสั้น ใส่สูท ทำผมสีอะไรก็ได้ เราไม่จำกัด ทุกเพศทุกวัย ขอแค่อายุเกิน 20 เท่านั้นเอง

เคยเห็นนักร้องต่างประเทศที่แวะเวียนมา เขามาทำอะไร มาหาคุณหรือมาเที่ยวร้าน

มีสองอย่าง บางคนคือผมนำเขามาเล่น สมัยก่อนผมเป็นออแกไนซ์ เป็นโปรโมเตอร์จัดงาน อันนั้นคือความฝันอีกด้านนึงของผม แต่ทุกวันนี้ทำน้อยลงด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ซึ่งผมก็จะพาเขามากินมาดื่มที่ร้าน แต่ก็มีด้วยที่มาเล่นแล้วมาเอง ประทับใจที่สุดก็คือเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมจะเล่าให้คนฟังได้อีกทั้งชีวิตแหละ ก็คือวง Machine Head เขามาเล่น แล้วพักอยู่โรงแรมข้าง ๆ โดยส่วนตัวผมชื่นชอบอยู่แล้ว เป็นวง TOP 20 ในใจผม

ผมก็ไปหาเขาก่อนเลย ผมไปนั่งรอเขาตั้งแต่บ่าย ผมบอกเขาว่าถ้าคุณเล่นเสร็จวันนี้คุณมานะ ผมจะรอ เพราะผมก็จะนั่งกินกับเพื่อนต่อ ปรากฏว่ามาจริง! คือผมเองตั้งใจรอ แต่ก็คิดว่าถ้าตีสองครึ่งไม่มาผมกลับและ ตีสองมาเคาะจริง ๆ มาแล้วมาดื่มด้วย ประเด็นคือเห็นเวทีไม่ได้ ขอขึ้นไปเล่นด้วย ประเด็นคือตอนนั้นมันไม่มีใครเลย มีแต่ผมกับพวกเขา มันก็เล่นเป็นชั่วโมง ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งโชว์เต็ม ๆ ไปตั้งสองชั่วโมงครึ่ง เรียกว่าเขาเป็นคนที่รักดนตรีจริง ๆ คนบ้าอะไรเห็นเวทีไม่ได้ต้องขึ้นไปเล่น! บอกให้เปิดซาวด์ เอากีตาร์มาให้หน่อยจะเล่น ลองไปหาคลิปดูได้ผมเคยแชร์ไว้ใน Facebook มีนักดนตรีประเภทนี้เยอะ บางคนก็มาเอง อยากมาเห็น

ศิลปินที่มาเองเขารู้จัก The Rock Pub จากอะไร

เขารู้จักจากคนที่พามา เช่น โปรโมเตอร์ท่านอื่น ๆ บางคนก็มาเอง อย่างที่เคยเป็นประเด็นไปคือวง 5 Seconds Of Summer เป็นวงที่ผมเคยเหน็บไว้แหละว่าน้องเขาร็อกไม่ร็อก น้อง ๆ วงนี้มาเอง เพราะเขามาแต่สมาชิกในวง ไม่ได้พักแถวนี้ เป็นวันที่ทำให้ผมรู้ว่าจริง ๆ วงนี้เขาร็อก ส่วนเรื่องเพลงเขามันอีกเรื่องนึง เขามานั่งที่บาร์ ดูดนตรีจนจบถึงตีหนึ่งตีสอง ผมเลยได้เข้าไปคุยกับพวกเขา เนี่ยยังงี้ก็มี คือเขามาเองเลย

นอกจากนั้นก็มี Oliver Sykes วง Bring Me The Horizon ก็เคยมา ตอนเขามาไทยครั้งแรก แล้วก็วง Suicide Silence ช่วงที่เขามาเล่นที่ไทยคือมาทุกวันเลย กลับไปไม่ถึงปีนักร้องก็เสียชีวิต แล้วก็มี Deftones ที่ผมเป็นคนพาเขามาเอง ผมจัดครั้งที่ 2 นะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีปาของอะไรนั่นไม่ใช่ (หัวเราะ) ตอนนั้นมือกีตาร์ มือเบส แล้วก็ดีเจมานั่งที่ร้าน เราได้คุยกันทั้งคืน ความประทับใจคือเขาเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ผมอยากเล่นดนตรี ทำให้ผมรักเพลงร็อกได้มากขนาดนี้ พร้อมจะสู้ พร้อมจะเปิด The Rock Pub ต่อไป เขาเองก็เป็นกำลังใจสำคัญครับ

ข้อดีข้อเสียของการทำร้านสำหรับ ‘ดนตรีเฉพาะกลุ่ม’ 

ทุกวันนี้ดนตรีร็อกมันไม่ใช่กระแสหลัก มันเป็นลูกเมียน้อย จากเมียหลวงมันกลายเป็นลูกเมียน้อยไปเลย ข้อเสียคือบางทีเราเหนื่อย เวลาจะหาวงที่เล่นมันก็น้อยลง ไม่เหมือนเมื่อก่อน เด็กรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจการเล่นดนตรีเขาก็อาจจะไปมองกลุ่มอื่นก่อน หรืออาจจะอยากเป็นดีเจก่อน การที่เราไม่ใช่ร้านเพลงป๊อป คำว่าเพลงป๊อปนี่ไม่ได้หมายถึงแนวเพลงนะ แต่หมายถึงเพลงที่อยู่ในกระแส

เราทำแต่ร็อก แม้จะเป็นร็อกทุกแนว พอดนตรีร็อกมันไปอยู่ข้างล่าง คนเขาก็จะไม่นึกถึงเพลงร็อก ซึ่งคนฟังไม่ได้ผิด คนฟังส่วนใหญ่เขาก็อยากฟังอะไรที่มันอยู่ในกระแส คนแบบผมที่จะตามหาสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ มันก็ไม่ได้มีอยู่เยอะ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ คนที่ออกมาผับบาร์ส่วนมากสิ่งแรกที่เขามองหาคือความสนุก บางคนอยากมาเมา มามองสาว มามองหนุ่ม แล้วร้านเราไม่มีตรงนั้นให้คุณเลย มาคือต้องมามองดนตรีอย่างเดียว นี่คือจุดเสียเปรียบของร้านเรา เป็นมาตลอด ผมพยายามจะแก้ว่าทำอย่างไรที่ดนตรีจะไม่เป็นสิ่งเดียวที่คนในร้านโฟกัส พอมันแก้ไม่ได้ ในเมื่อเอกลักษณ์ The Rock Pub มันเป็นยังงี้ ผมเลยมามองถึงจุดแข็งแทน คิดว่าถ้าจะทำให้แข็งก็ต้องแข็งจริง ๆ

คือให้คนนึกถึงร็อกตั้งแต่ชื่อร้าน พออ่านชื่อ The Rock Pub ก็รู้แล้วว่าคงไม่เจอฮิปฮอปหรือป๊อปที่นี้หรอกมั้ง ผมเชื่อว่าถ้าคนมองหาวงดนตรีร็อกที่ดีจริง ๆ ก็น่าจะมองหาที่นี่ ผมจะทำตรงส่วนนี้ให้มันแข็งแรงจริง ๆ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องมีการยั้งอะไรเลย ร้าน House Band ทุกวง ผมไม่เคยไปบังคับให้เขาเล่นเพลงอะไร ผมสนับสนุนให้เขาเล่นเพลงที่ไม่มีใครเล่น เพราะร้านผมถึงจะเล่นเพลงร็อก แต่ร้านอื่น ๆ เขาก็มีวงดนตรีที่เล่นเพลงร็อกได้เหมือนกัน

ยิ่งถ้าคุณเล่นเพลงไม่เหมือนเขาได้ ผมยิ่งชอบ ผมเชื่อว่าลูกค้าที่มาที่นี่เขาต้องการสิ่งเดียวกัน

วงที่จะมาเล่น The Rock Pub ได้ต้องมีฝีมือแค่ไหน มีทัศนคติอย่างไร

เรื่องฝีมือจริง ๆ ผมบอกได้เลยว่า The Rock Pub ไม่ได้มีนักดนตรีที่เก่งที่สุดในประเทศ อันนั้นไม่ใช่เกณฑ์ของคุณ แค่ต้องเล่นให้ผ่าน เล่นให้ดี ให้ลูกค้ารู้สึกว่าวงนี้ดี ซึ่งดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ร้านนี้มีกรรมการคือผมและลูกค้าทุกคน มันก็จะรู้เองว่าเขาได้ไหม แต่เรื่องทัศนคตินี่สำคัญมาก สองวงล่าสุดที่ผมรับเข้ามา เขามาเล่นให้ดู เล่นดีมากอยู่ แต่ผมนั่งคุยกัน 2-3 ชั่วโมงคือผมอยากรู้จัก อยากถามว่ามาเล่นทำไม

ต้องบอกอย่างนึงว่านักดนตรีอาชีพ 100 เปอร์เซ็นต์ น่าจะอยู่ The Rock Pub ไม่ได้ เพราะเขาจะไม่มีแรงบันดาลใจในการแกะเพลง เขาจะมีลิสต์เพลงอยู่ประมาณ 100-200 เพลงที่เขาเล่นที่ไหนก็ได้ เล่นร้านไหนก็ได้ ทุกร้านก็จะรับแต่เพลงแบบนี้ ขอเรียกว่าร็อกเมนสตรีมละกัน ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่ผมเชื่อว่าเขาจะอยู่ตรงนี้ได้ไม่นาน ลูกค้าเองก็ไม่ต้องการสิ่งนั้น ผมเองก็ไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น เขาเองพอเล่นออกมาก็จะรู้ตัวว่าเขาอยู่ผิดที่ เกณฑ์สำคัญคือเขาต้องถามตัวเองว่าเล่นเพื่ออะไร เราอยากให้เราไปในทางเดียวกัน ผมบอกวงเสมอว่าผมไม่อยากให้มองว่าที่นี่เป็นแหล่งหาเงินอย่างเดียว เพราะพูดตรง ๆ เราไม่ได้จ้างแพงมากมายอยู่แล้ว นักดนตรีจะรู้กัน

แต่ผมกล้าพูดว่าเวทีนี้จะทำให้คุณมีความสุขได้มากกว่าที่อื่น ถ้าคุณชอบร็อก บ้าร็อก

ถ้าความฝันของคุณคือได้เล่นเพลงร็อกที่อยากจะเล่น ที่นี่จะนำพาความสุขมาให้คุณได้มากที่สุด ไม่มีที่อื่นทำให้ได้

ลองไปถามก็ได้ วงไหนก็ตามที่เล่นที่ร้านผม ถ้าเล่นเพลงตลาด ผมจะบอกเขาเลยว่า ‘เฮ้ย ไปแกะเพลงนี้เหอะ’ เพลงที่ไม่มีใครเล่น บอกว่าคุณเหมาะ เล่นเลย แต่ไม่ได้บังคับนะ จะบอกว่าให้ลองเล่นดูเถอะอะไรแบบนี้ มันจะสร้างความตื่นเต้นให้ผม สร้างความตื่นเต้นให้ลูกค้า และตัวเขาเองจะไม่เบื่อด้วย

เป็นเจ้าของร้านวัน ๆ เราต้องทำอะไรบ้าง 

ถ้าพูดถึงธุรกิจผับบาร์แบบนี้ จริง ๆ เจ้าของร้านควรทำเป็นทุกอย่าง ตั้งแต่ เช็ดโต๊ะ ถูพื้น บาร์เทนเดอร์ก็ต้องเป็น! ทำค็อกเทลก็ต้องรู้สูตร เราจะเอาอะไรมาขายที่ร้าน เอาเบียร์เข้ามาขาย คำถามคือ ‘คุณจะเอามาขายเพราะอะไร’ มันมีสองอย่างคือ ถ้าตัวนี้เป็นที่นิยมขายดีเราก็เอามาขาย หรือตัวนี้คุณรู้ว่าของดีเป็นสินค้าที่ดีที่อร่อย ทุกวันนี้ผมเลยเอาคราฟต์เบียร์เข้ามาเยอะ ผมหันมาดื่ม ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องได้ลอง เพราะที่ The Rock Pub เนี่ยจะดื่มเบียร์กันซะเยอะ เราขายเบียร์ได้จำนวนเยอะกว่าทุกอย่าง ผมเลยเลือกคราฟต์เบียร์ที่คิดว่าดี คิดว่าอร่อยเข้ามา เล่นดนตรีก็ต้องเล่น ซาวด์ก็ต้องปรับ

90% คือผมทำได้เกือบทุกอย่าง เขียนบิล แคชเชียร์ก็เป็น แต่มันจะมีอยู่ 5-10% ที่ผมยังต้องปรึกษาคุณพ่ออยู่ เขาเองมีประสบการณ์มาก่อนผม ผ่านอะไรมาเยอะทั้งขึ้นและลง มุมมองเขาก็จะมี อย่างเรื่องที่เขาถนัดก็คือเรื่องเครื่องเสียง เรื่องไฟ ผมก็จะไว้ใจเขาที่สุด ตอบคำถามได้ทุกอย่าง

คิดว่าอนาคต The Rock Pub และเพลงร็อกจะเป็นอย่างไร

จริง ๆ พูดได้เลยว่ากระแสร็อกมันเป็นยังไงในไทย ลองมา The Rock Pub สักอาทิตย์นึง ทุกวันน่าจะเข้าใจและจะเห็นภาพ เพราะมันเป็นกระจกสะท้อนให้เห็น ทุกวันนี้มันดีขึ้น มากกว่า 3-4 ปีที่แล้วนิดนึง ผมก็ไม่มั่นใจว่ามันดีขึ้นจากสิ่งที่ผมทำคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ขนาดไหน ตอบไม่ได้ แต่มันก็ดีขึ้น ในมุมที่ว่าผมพอใจ ผมเปิดร้านนี้ผมไม่ได้มองว่าผมต้องรวยจากมัน ผมก็ต้องหาอย่างอื่นทำไปด้วย เพราะถ้าทำธุรกิจแบบโฟกัสกับที่นี่ที่เดียวมันก็จะเหนื่อยไป กับร้านที่มันเป็นดนตรีกระแสรอง

ทุกวันนี้ดนตรีร็อกสำหรับผมมันเหมือนยักษ์ตัวนึงที่โดนเสกให้ตัวเล็กลง

แต่มันพร้อมจะใหญ่เสมอ มันจะได้กินยาตัวไหนเมื่อไหร่ ถึงจะกลับมาใหญ่ก็เท่านั้นเอง

วงร็อกดี ๆ มีเยอะมาก ที่ผ่านมามันก็มีวงร็อกที่ดังเยอะ แต่มันดันไม่ใช่ดนตรีกระแสหลัก สำหรับผมวงร็อกที่ดังและขึ้นมาเมนสตรีมได้ล่าสุดเลยคือ Avenged Sevenfold ที่มันสามารถดังขึ้นมาได้ เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน มาเล่นเมืองไทยธันเดอร์โดมสามารถ Sold Out ได้ 4,000 คน อย่าง Bring Me The Horizon เรารู้สึกว่าดังมาก แต่ไปถามคนทั่ว ๆ ไป ต่อให้คนนั้นสนใจดนตรีบ้างก็ใช่จะรู้จักทุกคน

หลังจากยุคของ Avenged Sevenfold เฟื่องฟู วงอื่นพอมีชื่อเสียงขึ้นมาก็เหมือนมีอะไรที่ทำให้มันติด เหมือนขึ้นไปได้ไม่สุด มันไม่เหมือนสมัยก่อนตอนที่ร็อกอยู่ในช่วงพีคจริง ๆ อย่าง Linkin Park สำหรับผมยิ่งใหญ่มาก เพราะขนาดคนฟังเพลงไทยทั่วไปยังรู้จักเลย เคยขึ้นมาอยู่ในจุดที่สูงที่สุด เป็นเบอร์ 1 ของโลกได้ แต่ไม่ได้แปลว่าวงใหม่ ๆ ไม่มีของ ลองไปตามดูจะเจอวงดี ๆ เยอะมาก แต่เขาไม่สามารถขึ้นมาได้ ผมเชื่อว่าถ้ามีใครขึ้นมาได้ มันอาจจะมีวงที่สองที่สามตามมา และดนตรีร็อกก็จะกลับมาจริง ๆ หลังปี 2010 ลงมา แทบไม่มีวงร็อกหน้าใหม่ ๆ เลยที่ได้ขึ้นกระแสหลัก อย่าง The 1975 ดังมาก วงดี ผมเองก็ชอบมาก แต่ก็ไม่ใช่วงร็อก

คิดว่าถ้าใครสักคนมุ่งมั่นลุกขึ้นมาทำสิ่งที่รักแบบคุณ เขาควรทำอย่างไร

นอกจากผมแล้ว คุณพ่อผมเองก็เริ่มต้นจากศูนย์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะครับ คุณพ่อกับคุณแม่ผมเขาเป็นคนประเภทที่เลือกแพสชันก่อน หาสิ่งที่เราจะรักมันได้จริง ๆ ก่อน โดยที่คำนึงถึงภาคธุรกิจตามมา คือต้องอยู่ได้ด้วย แต่ก็ต้องรักด้วย เพราะถ้ามีเงินสิบล้านเราเอาไปเปิดแฟรนไชส์เซเว่นหรือนั่งเก็บเงินไปเปิดปั๊มน้ำมันก็ได้

อย่างผมแพสชันแรกในชีวิตมันคือการอยากเล่นดนตรี แต่คงไม่มีเด็กคนไหนเกิดมาแล้วคิดได้เลยว่าอยากเปิดร้านดนตรี อยากเปิดผับดนตรีร็อก มันคือการค้นหาตัวเองให้เจอครับ ทุกวันนี้มีเพื่อนถามว่าผมยังเล่นดนตรีอยู่อีกเหรอ ทำไมไม่หยุดเล่น ผมตอบว่า ‘หยุดเล่นไม่ได้ คือคันมืออ่ะ’ ตอนนี้วง Outro มีสมาชิกคนนึงลาไป หยุดเล่นมาเดือนสองเดือนแล้ว ผมก็ต้องขอขึ้นไปแจมกับนักดนตรีวงอื่น มันคันอ่ะ ไม่มีดนตรีในชีวิตไม่ได้ ต้องฟังดนตรีร็อก และต้องมีดนตรีร็อกในชีวิตรอบข้างอยู่ตลอด หาตรงนี้ให้เจอ

การหาแพสชันของตัวเองให้เจอ เพื่อในวันที่มันเป็นศูนย์หรือวันที่มันเป็นขาลงสุด ๆ

แทนที่จะเลิก เราอาจจะคิดแก้ปัญหามันก่อน เราจะไม่ทิ้งมันเร็วขนาดนั้น

ไม่ได้แปลว่าเราควรจะทำดันทุรังจนต้องไปขอทานนะ แต่เราจะคิดถึงจุดนั้นก่อน เราจะไม่ทิ้ง กว่าเราจะทิ้งมันก็คงเป็นวันที่ไปไม่ได้แล้วจริง ๆ อันนี้คือปัจจัยสำคัญเลยของการทำธุรกิจทางเลือก

อย่าหาอะไรที่มันเกินธรรมชาติของเรา บางคนชอบกีตาร์มาก แต่โอกาสคุณไม่มี คุณไม่สามารถเปิดร้านกีตาร์ได้ ถ้าคุณฝึกจนเล่นกีตาร์เก่ง คุณอาจจะเป็นครูสอนกีตาร์ก็ได้ อาจจะทำวงให้ดีก็ได้ คนชอบดนตรีร็อกมีอะไรหลายอย่างให้คุณทำ เพื่อนผมคนนึงมีวงใต้ดิน ทุกวันนี้เขากลายเป็นซาวด์เอนจิเนียร์อันดับต้น ๆ วงดัง ๆ ในไทยใช้บริการเขาเยอะมาก เขาเป็นคนนึงที่เล่นเบสเหมือนผม เคยออกเทป เคยมีผลงาน แม้มันจะไปต่อไม่ได้ แต่เขาอยากอยู่กับดนตรี เขาก็ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าจะทำอะไรกับมัน พอรู้สึกว่าตัวเองชอบทำซาวด์ รู้สึกว่าตัวเองมีแวว เขาก็ไปเรียน แล้วมาทำจนเก่ง

ดนตรีร็อกมันเยอะมากและมันหากินได้ คำว่า ‘หากิน’ กับคำว่า ‘รวย’ ไม่เหมือนกัน อย่างตัวผม ผมคิดว่าผมรวยนะ ผมมีความสุข เพื่อนถามว่าผมไม่เบื่อเหรอ มานั่งร้านทุกวัน มาอยู่กับดนตรีทุกวัน ผมบอกไม่เบื่อดิ ถ้าผมไปร้านอื่นผมเบื่อ ผมอยากมีร้านแบบนี้ อยากเล่นแบบนี้ ชอบฟังเพลงแบบนี้ ผมจะเบื่อทำไมอ่ะ ผมโชคดีจะตาย

อยากบอกอะไรเหล่านักดนตรีวงร็อกที่กำลังจะยอมแพ้โชคชะตา

ดนตรีร็อกและดนตรีทางเลือกในเมืองไทย มันเป็นสิ่งที่ต้องรักจริง ๆ นะ เพราะถ้าไม่รักจริง ๆ อยู่ไม่ได้ อุปสรรคมันเยอะมาก ผมเคยเป็นทั้งแฟนเพลง ทั้งนักดนตรีเอง เป็นเจ้าของร้าน เป็นทุกอย่างผมทำมาหมดแล้ว ผมเห็นนักดนตรีวงร็อกทั้งที่ในไทยทั้งที่เป็นเพื่อนพี่น้อง รวมถึงเมืองนอก ผมเห็นมาหมดแล้ว ถ้าท้อแท้ก็ต้องถามตัวเองว่าเราเล่นทำไม

สำคัญคือทำไมเราถึงเล่นดนตรี แรก ๆ เราอาจจะเล่นดนตรีเพราะอวดสาวหรืออะไร แต่ ณ ทุกวันนี้เราเล่นเพราะอะไรคุณต้องตอบตัวเองให้ได้จริง ๆ ถ้าคุณจะหากินคุณก็ต้องปรับตัวเองให้ได้ คุณก็ต้องเข้าใจว่านักดนตรีกลางคืนเขาหากินกันอย่างไร บางคนเล่นจนรวยซื้อบ้านซื้อรถก็มีนะ คุณก็ต้องไปศึกษา ไปนั่งร้านอย่างนั้น ถ้าคุณเล่นเพื่อรักอย่างเดียว คุณก็ต้องหาอย่างอื่นทำด้วย แล้วคุณก็จะเล่นอย่างที่รักได้

ที่ร้านมีวงนึงเป็นพี่ชายสองคนที่ยกค่าตัวให้น้อง ๆ หมดเลย เหตุผลเพราะเขาไม่ได้มีธุรกิจอย่างเดียว เขามาเล่นเพราะกูอยากเล่น นี่คือความสุขของเขา เขาก็ตอบโจทย์ได้ หรือถ้าคุณอยากเล่นเพราะอยากมีผลงาน อยากอยู่ค่ายใหญ่ ๆ คุณก็ต้องศึกษาว่าทำไมเขาดังกัน เพราะอะไร แต่อย่างน้อยก็ต้องดูด้วยว่าวงที่มันดังกับวงที่เป็นตำนานและอยู่ได้จริง ๆ มันต่างกันนะ วงที่ดังมันก็หากินได้ คุณอยากเป็นแค่นั้นหรือเป็นวงที่ลูกหลานยังพูดถึงคุณอยู่ มันไม่เหมือนกัน คุณต้องศึกษาให้ดี

สุดท้ายทุกอย่างมันมาจากการที่คุณต้องรู้จักตัวเอง คุณจะไม่วันท้อเลย ถึงคุณจะท้อแต่คุณจะสู้ ถ้าคุณรู้ว่าชีวิตคุณความสุขคืออะไร

ชวนคนมา The Rock Pub หน่อย

หลายคนที่ไม่ได้มานานแล้วก็อาจจะเซอร์ไพรส์ว่าเดี๋ยวนี้เรามีอะไรใหม่ ๆ มากมายรอคุณอยู่ ส่วนคนที่ไม่เคยมาเลย ผมอยากให้คุณมองข้ามภาพบางอย่าง เช่นประโยคที่ได้ยินเยอะ ๆ ก็คือร้านมีแต่เพลงเก่า สองคือคนมักจะบอกว่าน่ากลัว ผมก็งงว่ามันน่ากลัวยังไง แต่มันก็มีจริง ๆ มันเป็นภาพที่ติดอยู่ อาจจะด้วยเพราะตึกเพราะอะไรก็ตาม

คุณลองหางานอีเวนต์สักงานที่ผมจัด แล้วคุณลองมา ผมกล้ารับประกันเลยว่า 90% ของคนที่มา เขาจะกลับมาอีก คุณจะมีความสุขกลับไป คุณจะเข้าใจว่าทำไมเรายังอยู่ได้ ผมอยากให้มาลอง ผมเชื่อว่าดนตรีร็อกที่ดีคุณต้องมาดูเล่นสด พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าคุณต้องลองมายืนดูเขาสักครั้ง อย่ามัวแต่ดู Youtube ถ้าชอบต้องสนับสนุน และที่นี่เป็นที่เดียวที่คุณจะเป็นอะไรก็ได้

ที่ The Rock Pub คุณจะ Moshpit กี่คนก็ได้ คุณจะกระโดดยังไงก็ได้ คุณจะนั่งเฉย ๆ ก็ได้

ที่นี่เป็นที่เดียวที่จะไม่มีใครมาตัดสินอะไรคุณเลย คือพื้นที่ที่คุณจะเป็นอะไรก็ได้ ผมรับประกัน

PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasir

 

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line