CARS

THE ICONIC CARS: ย้อนชม 3 ตำนานไฮบริดซูเปอร์คาร์ที่เคยถูกยกให้เป็น THE HOLY TRINITY!

By: SPLESS April 23, 2020

ย้อนกลับไปในปี 2013 ถือเป็นอีกหนึ่งยุคทองของรถยนต์สมรรถนะสูงหรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่าซูเปอร์คาร์  เพราะเป็นช่วงเวลาที่ค่ายรถยนต์น้อยใหญ่ทั่วโลกต่างแข่งขันกันสร้างรถยนต์ความเร็วสูงที่สมบูรณ์ที่สุดออกมา

แต่คงไม่มีรถยนต์คันไหนจะโดดเด่นไปกว่า Ferrari LaFerrari, McLaren P1 และ Porsche 918 Spyder ที่ถูกยกให้เป็น The Holy Trinity หรือ 3 สุดยอดซูเปอร์คาร์ของช่วงเวลานั้น ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเจ้าแห่งท้องถนนเหล่านี้อีกครั้ง

skiddmark

สำหรับผู้ชายที่หลงใหลในความเร็ว ซูเปอร์คาร์หรือไฮเปอร์คาร์แต่ละคันเป็นเหมือนกับผลงานชิ้นเอกที่ถูกสร้างขึ้น และถ้าย้อนกลับไปดูประวัติความเป็นมา จะทราบว่ามีค่ายรถยนต์หลายค่ายพยายามหาทางสร้างรถยนต์ที่เรียกว่าซูเปอร์คาร์มาตั้งแต่ช่วงปี 1960 ตัวอย่างคือ Alfa Romeo Tipo 33 หรือในปี 1970’s กับ Lamborghini Countach

Holy Trinity ยุคแรก

แต่ยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดคงจะเป็นช่วงต้นยุค 2000 ในช่วงเวลาที่ Ferrari Enzo, Porsche Carrera GT และ Mercedes-Benz SLR McLaren ถูกปล่อยออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นเหมือนกับสัญญาณการแข่งขันของตลาดซูเปอร์คาร์สมัยใหม่

เพราะนับจากนั้นมาค่ายรถยนต์ทั่วโลกก็เร่งพัฒนาและผลิตรถยนต์ที่ชื่อว่าเป็นซูเปอร์คาร์ของค่าย รวมถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีรถสูตร 1 และคาร์บอนไฟเบอร์ก็ทำให้หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เรามีโอกาสได้เห็น McLaren F1 แต่จุดเปลี่ยนที่แท้จริงเกิดขึ้นในปี 2005 เมื่อชื่อของ Bugatti  โผล่เขามาในระบบ

Bugatti Veyron ของพวกเขาคือปีศาจที่ซูเปอร์คาร์หลายคันที่ปล่อยออกมาให้ช่วงเวลาเดียวกันเทียบไม่ติด เพราะมันมาพร้อมความเร็วสูงสุดที่ 253 ไมล์/ชั่วโมงหรือประมาณ 407 กิโลเมตร/ชั่วโมง และครองบัลลังก์ไฮเปอร์คาร์ในเวลานั้นไปแบบไม่มีใครกล้าท้าชิง

อย่างไรก็ตาม ในยุคต่อมาวงการรถยนต์สมรรถนะสูงเริ่มถูกท้าทายด้วยกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์ ซึ่งผลักดันให้หลายค่ายเริ่มสร้างซูเปอร์คาร์ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงออกแบบรถให้มีน้ำหนักเบาพร้อมระบบแอโรไดนามิกที่ยอดเยี่ยมขึ้น จนกระทั่งปี 2013 มีซูเปอร์คาร์ขุมพลังไฮบริด 3 คันจาก 3 ค่ายถูกเปิดตัวออกมาแบบไม่ได้นัดหมาย ได้แก่ Ferrari LaFerrari, McLaren P1 และ Porsche 918 ซึ่งในเวลานั้นถูกเรียกว่า The Holy Trinity

เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ The Holy Trinity ในช่วงเวลานั้นคือ รถยนต์ทั้ง 3 คันเป็นเหมือนการเดิมพันครั้งใหญ่ของค่ายรถยนต์ในแต่ละประเทศ เริ่มจาก Ferrari สำนักรถยนต์สีแดงจากอิตาลีที่วางเดิมพันกับ Ferrari LaFerrari หรือ F 150 รถยนต์ Hybrid Sport Car ที่สร้างขึ้นมาเพียง 499 คัน

เปิดตัวด้วยน้ำหนักรถรวมเพียง 2,205 ปอนด์ซึ่งถือว่าเบาสุด ๆ ในเวลานั้นพร้อมงานดีไซน์ที่โดดเด่นสวยงามสมกับการเป็นซูเปอร์คาร์สุดล้ำในตอนนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ใครหลายคนยอมซูฮก F150 เป็นเพราะเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.3 ลิตร ให้พลังสูงถึง 949 แรงม้า ขณะเดียวกันมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมให้มันมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง.ในเวลาเพียง 2.4 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง

คันต่อมาเป็นตัวแทนค่ายรถยนต์จากเกาะอังกฤษกับ McLaren P1 ซูเปอร์คาร์ไฮบริดที่ในเวลานั้นว่ากันว่าจะเข้ามาแทนที่ไอคอนิกของค่ายอย่าง McLaren F1 อย่างไรก็ตาม P1 คือรถที่เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีรถแข่งสูตร 1 สมัยใหม่ รวมถึงโครงสร้างแชซซีแบบ Carbon Fibre Monocoque และตัวถังที่ออกแบบให้รีดอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จุดแข็งคือขุมพลังอย่างเครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.8 ลิตร Twin-turbo ที่ให้พลัง 903 แรงม้า โดยมีค่าความเร็วสูงสุดเท่ากับ LaFerrari ที่ 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรช้ากว่าประมาณ 0.2 วินาทีหรือที่ 2.8 วินาที  P1 ถูกขายไปทั้งหมด 375 คันในนั้นมีจำนวน 58 คันถูกดัดแปลงเพื่อใช้บนสนามแข่งโดยเรียกว่า P1 GTR

มาถึงคันสุดท้ายกับตัวแทนค่ายรถยนต์จากเยอรมนีที่ส่งทายาทของ Porsche Carrera GT ลงแข่งในชื่อ Porsche 918 Spyder รูปลักษณ์ภายนอกของ Porsche 918  Spyder พัฒนาจาก Porsche Carrera GT โดยส่วนที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนคือช่องอากาศด้านหน้าที่ยกสูงขึ้นและสปอยเลอร์หลังที่ลดระดับให้ต่ำลง โดยก่อนหน้านั้นทางค่ายมีโปรเจกต์รถยนต์ไฮบริดอย่าง 997 GT3 R Hybrid ซึ่งแม้จะไม่ถูกผลิตจริง แต่ก็กลายมาเป็นพื้นฐานให้กับ Porsche 918  Spyder ซึ่งแตกต่างจาก 2 คันก่อนหน้าด้วยระบบขับเคลื่อน 4WD ที่เกาะถนนแบบหายห่วง

Porsche 918 Spyder ยังมาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.6 ลิตรที่ให้พลัง 887 แรงม้า แม้อัตราเร่งสุดสูงจะน้อยกว่าคู่แข่ง แต่ความเร็ว 340 กิโลเมตร/ชั่วโมงถือเป็นพลังที่เหลือเฟือ เพราะอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงที่ถูกเคลมไว้ 2.6 วินาทีเคยถูก Car and Driver ทำได้ในเวลาเพียง 2.2 วินาที แถมยังมาพร้อมค่าตัวที่ถูกกว่า 2 คันก่อนหน้าค่อนข้างมาก ทำให้จำนวนที่กำจัดไว้ 918 คัน ถูกขายหมดอย่างรวดเร็ว

ในช่วงเวลานั้นทั้ง 3 คันถูกตั้งฉายาให้เป็นที่เว็บไซต์และนิตยสารรถยนต์ทั่วโลกหยิบมาจับกลุ่มแข่งขัน เพื่อวัดความสามารถของรถแต่ละคัน ครั้งหนึ่งพวกมันถูกดึงไปอวดพลังใน Silverstone สนามแข่งรถชื่อดังของประเทศอังกฤษ หลังจบการแข่งขัน McLaren P1 ทำเวลาได้ 58.25 วินาที, Laferrari ทำเวลาได้ 58.58. วินาที และ 918 ทำเวลาได้ที่ 58.46 วินาที อย่างไรก็ตามในสนามอื่น ๆ ทั้ง 3 ผลัดกันแพ้ชนะแบบกินกันไม่ลงไปจนจบยุคสมัย

แม้ในเวลาต่อมาจะมีรถยนต์จำนวนมากทุกพัฒนาและปล่อยออกสู่ตลาด แต่ปฏิเสธไม่ได้จริงว่า The Holy Trinity หรือ Hybrid Supercar ในยุคแรกทั้ง 3 คันต่างมีส่วนอย่างมากในการกำหนดทิศทางใหม่ให้กับการผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงของโลกใบนี้ และชื่อของทั้ง 3 คันจะกลายเป็นตำนานที่ถูกจดจำในฐานะ Origin ของซูเปอร์คาร์พลังไฮบริดตลอดไป

skiddmark

 

SOURCE: 1/2/3/4

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line