วงการรถยนต์คือหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ไม่เคยหยุดนิ่งและเดินหน้าสร้างสิ่งใหม่ ๆ ตลอดเวลา โลกใบนี้จึงมีรถยนต์หลายรุ่นที่ประสบความสำเร็จและกลายมาเป็นต้นแบบให้กับรถยนต์ในยุคต่อมา แต่ถ้าพูดถึงรถยนต์จากญี่ปุ่น ประเทศซึ่งปัจจุบันเรารู้ต่างดีว่า พวกเขาคือหนึ่งในมหาอำนาจของวงการรถยนต์โลก แต่ทว่าจุดเริ่มต้นในการสร้างรถยนต์สมรรถนะสูงของพวกเขา เริ่มขึ้นในช่วงเวลาไหน วันนี้ THE ICONIC CAR จะพาทุกคนไปทำความรู้จักช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงหนึ่งในรถยนต์ที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากในเวลานั้น ชื่อของมันคือ Toyota 2000GT ย้อนกลับไปในปี 1960 ญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ช่วงเริ่มสร้างประเทศใหม่หลังยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงเวลานั้นเป็นยุคแห่งความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมการผลิตทุกชนิด แน่นอนว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ก็เช่นกัน แต่ญี่ปุ่นในเวลานั้นไม่ได้เน้นเรื่องสมรรถนะเท่ากับการใช้งานที่เหมาะสม พูดง่าย ๆ คือ ณ ตอนนั้นพวกเขาไม่มีโมเดล 2 ประตูแรง ๆ เหมือนกับค่ายรถยนต์ทางฝั่งยุโรปแต่อย่างใด ยกตัวอย่าง รถของโตโยต้าในตระกูล Toyopet ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกที่นำเข้าไปขายในสหรัฐอเมริกา แต่กลับได้รับฉายาว่า Toymotor เปรียบกับรถยนต์ของเล่น ทำให้เป็นการบ้านที่ต้องพัฒนารถยนต์คันใหม่เพื่อจะลบคำสบประมาทที่เคยได้รับ ขณะเดียวกันกระแสความสนใจรถยนต์และการแข่งรถในประเทศญี่ปุ่นก็เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลพวงมาจากความสำเร็จของ Japanese Grand Prix ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นในปี 1963 และ 1964
ในช่วงกลางยุค 60’s ถือเป็นจุดเริ่มต้นความรุ่งเรืองของรถยนต์ “อเมริกันมัสเซิลคาร์” หนึ่งในนั้นมีชื่อรถยนต์ที่ผู้ชายอย่างเราคุ้นหูกันอย่าง Chevrolet Camaro ที่ได้สร้างตำนานและยังคงสายการผลิตยาวนานมาถึงปัจจุบัน แต่ตลอดระยะเวลา 54 ที่ผ่านมารถยนต์คันนี้จะมีวิวัฒนาการที่น่าสนใจอะไรบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน หลายคนทราบดีว่า Chevrolet Camaro ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นคู่แข่งของ Ford Mustang ซึ่งในเวลานั้นเป็นอเมริกันมัสเซิลคาร์ที่ทำกำไรให้ฟอร์ดได้แบบเป็นกอบเป็นกำด้วยยอดขาย 2 ล้านคันใน 1 ปี เมื่อเจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือ GM เห็นค่ายคู่แข่งร่วมเมืองฟันกำไรได้จากรถยนต์สไตล์ Pony Cars พวกเขาก็ไม่รอช้าที่จะสร้างรถยนต์ของตัวเองในสไตล์เดียวกันออกมา แต่ก่อนจะเปิดตัวในชื่อ Chevrolet Camaro รถยนต์คันนี้เกือบได้ชื่อว่า Panther เสียแล้ว เพราะเป็นชื่อที่เตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้นโปรเจกต์ในปี 1965 แต่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเปิดตัวทีมงานทั้งหมดก็ต้องหารือกันใหม่ เพราะเบื้องบนของ Chevrolet ต้องการให้ชื่อขึ้นต้นนำหน้าด้วยอักษร “C” เหมือนในรุ่น Corvette, Chevelle และ Corvair ในที่สุดพวกเขาก็ได้ชื่อ Camaro มาเป็นชื่อของรถยนต์ โดยการเปิดตัวในปี 1966 พวกเขาอ้างวันมันคือคำที่ดัดแปลงมาจากคำศัพท์แสลงภาษาฝรั่งเศสเก่าแก่
ถ้าพูดถึงเรื่องราวของรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิก เชื่อว่าชื่อของค่ายรถอย่าง BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) คือหนึ่งในค่าย 2 ล้อที่หนุ่ม ๆ หลายคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามตลอดช่วงเวลาเกือบ 100 ปี นับตั้งแต่บีเอ็มดับเบิลยูตัดสินใจเริ่มพัฒนาและสร้างรถมอเตอร์ไซค์เพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาได้ฝากผลงานเป็นรถมอเตอร์ไซค์หลากหลายรุ่น บางรุ่นยังคงมีอิทธิพลต่องานออกแบบต่อรถรุ่นหลังมาจนถึงปัจจุบันและ BMW R5 ก็เป็นหนึ่งในตำนานเหล่านั้น BMW R5 ถือเป็นมอเตอร์ไซค์ไอคอนที่กลายมาเป็นมรดกทางความเร็วอันล้ำค่าของค่ายบีเอ็มดับเบิลยู โดยการเปิดตัวของรถรุ่นนี้ได้ทำลายขนบในการสร้างรถมอเตอร์ไซค์แบบเดิม ๆ ในยุคสมัยนั้นทั้งในเรื่องงานออกแบบและขุมพลัง เริ่มจากงานออกแบบที่เป็นตำนานของ BMW R5 ต้องยกเครดิตให้กับ รูดอล์ฟ ชไลเชอร์ (Rudolf Schleicher) ชายผู้หลงรักรถมอเตอร์ไซค์แบบฝังอยู่ในสายเลือด เริ่มต้นเส้นทางจากการเป็นนักแข่งรถหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 รวมถึงเรียนวิศวกรรมเครื่องกลควบไปพร้อมกัน โดยผลของการได้คลุกคลีกับเครื่องยนต์รวมถึงการปรับแต่งรถในทุก ๆ วัน ทำให้ฝีมือการทำงานของรูดอล์ฟไปเข้าตาของ แมกซ์ ฟริสซ์ (Max Friz) ซึ่งในขณะนั้นรับตำแหน่งหัวหน้าทีมออกแบบของบีเอ็มดับเบิลยู ก่อนแมกซ์จะตัดสินใจดึงตัวรูดอล์ฟเข้ามาร่วมงานในปี 1923 เพื่อร่วมกันผลิตรถมอเตอร์ไซค์ รูดอล์ฟ ชไลเชอร์ เข้ามามีส่วนร่วมสำคัญกับงานสร้างรถมอเตอร์ไซค์ของบีเอ็มดับเบิลยูหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น “BMW R32” รถมอเตอร์ไซค์โมเดลแรกของค่ายใบพัดสีฟ้ารวมถึงโมเดล
ปัจจุบันถ้าพูดถึง City Cars หรือรถยนต์ที่เหมาะสมต่อการขับขี่ในเขตเมือง หนุ่ม ๆ หลายคนคงมองเห็นภาพ Eco Cars และ City Cars หลากหลายรุ่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันทั้งเรื่องของสมรรถนะ งานดีไซน์ รวมไปถึงฟังก์ชันเสริมที่มีมากน้อยแตกต่างกันไปในรถยนต์แต่ละคัน อย่างไรก็ตามหากย้อนเวลากลับไปช่วงปี 1980 ใครจะคิดว่าค่ายผู้ผลิตรถยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้าจะเคยเสริมจุดขายใน City Cars ของตัวเองด้วยสกู๊ตเตอร์คันจิ๋วที่ใช้ชื่อว่า Motocompo ซึ่งต่อมาได้มาเป็นตัวแทนคำบอกเล่าของยุคสมัยรวมถึงของสะสมหายากที่ใครหลายคนตามหา แต่เรื่องราวทั้งหมดจะมีจุดเริ่มต้นยังไงและพาหนะ 2 ล้อคันนี้ได้สร้างปรากฏการณ์อะไรบ้าง มาทำความรู้จักเรื่องราวทั้งหมดไปพร้อมกัน จุดเริ่มต้นของ Honda Motocompo เป็นผลพวงมาจากการพัฒนารถยนต์คันใหม่ของฮอนด้าในช่วงปี 1979 ช่วงเวลาที่ทีมออกแบบเลือดใหม่ของค่ายได้ร่วมกันระดมไอเดียเพื่อสร้างโปรเจกต์รถยนต์คันใหม่ของค่ายในฐานะ “รถยนต์ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดสำหรับปี 1980” ซึ่งต่อมาทุกคนรู้จักรถคันนี้ในชื่อ “Honda City” ในเวลานั้น Hiroo Watanabe และ Hiroshi Azuma 2 วิศวกรผู้เป็นหัวเรือใหญ่ของโปรเจกต์ได้รับโจทย์ให้สร้างรถยนต์ที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยเป้าหมายหลักคือการสร้างรถยนต์ที่มีสมรรถนะขั้นพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม ที่สำคัญคือต้องเป็นรถยนต์ที่ตอบสนองการใช้งานของกลุ่มคนทำงานหนุ่ม-สาวที่ต้องการใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวันเมืองเช่นโตเกียวหรือเมืองใหญ่ต่าง ๆ สุดท้ายคืองานดีไซน์และเส้นสายของตัวรถจะต้องถูกยอมรับในระดับสากล ไม่นานทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรงของฮอนด้าที่มีอายุเฉลี่ยไม่ถึง 30 ปีก็เริ่มลงมือขึ้นรูปงาน Prototype
ย้อนกลับไปในปี 2013 ถือเป็นอีกหนึ่งยุคทองของรถยนต์สมรรถนะสูงหรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่าซูเปอร์คาร์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ค่ายรถยนต์น้อยใหญ่ทั่วโลกต่างแข่งขันกันสร้างรถยนต์ความเร็วสูงที่สมบูรณ์ที่สุดออกมา แต่คงไม่มีรถยนต์คันไหนจะโดดเด่นไปกว่า Ferrari LaFerrari, McLaren P1 และ Porsche 918 Spyder ที่ถูกยกให้เป็น The Holy Trinity หรือ 3 สุดยอดซูเปอร์คาร์ของช่วงเวลานั้น ซึ่งในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเจ้าแห่งท้องถนนเหล่านี้อีกครั้ง สำหรับผู้ชายที่หลงใหลในความเร็ว ซูเปอร์คาร์หรือไฮเปอร์คาร์แต่ละคันเป็นเหมือนกับผลงานชิ้นเอกที่ถูกสร้างขึ้น และถ้าย้อนกลับไปดูประวัติความเป็นมา จะทราบว่ามีค่ายรถยนต์หลายค่ายพยายามหาทางสร้างรถยนต์ที่เรียกว่าซูเปอร์คาร์มาตั้งแต่ช่วงปี 1960 ตัวอย่างคือ Alfa Romeo Tipo 33 หรือในปี 1970’s กับ Lamborghini Countach แต่ยุคสมัยที่รุ่งเรืองที่สุดคงจะเป็นช่วงต้นยุค 2000 ในช่วงเวลาที่ Ferrari Enzo, Porsche Carrera GT และ Mercedes-Benz SLR McLaren ถูกปล่อยออกสู่ตลาดในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นเหมือนกับสัญญาณการแข่งขันของตลาดซูเปอร์คาร์สมัยใหม่ เพราะนับจากนั้นมาค่ายรถยนต์ทั่วโลกก็เร่งพัฒนาและผลิตรถยนต์ที่ชื่อว่าเป็นซูเปอร์คาร์ของค่าย รวมถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีรถสูตร 1 และคาร์บอนไฟเบอร์ก็ทำให้หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เรามีโอกาสได้เห็น
หนุ่ม ๆ ที่หลงใหลในรถยนต์โดยเฉพาะโมเดลคลาสสิกที่ปล่อยออกมาระหว่างยุค 50’s-70’s คงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของยนตรกรรมคันจิ๋วแต่โคตรแจ๋วอย่าง FIAT 500 (เฟียต 500) ตำนานซิตี้คาร์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อทั้งอุตสาหกรรมการผลิตและรูปแบบใช้งานรถยนต์ของผู้คนในทวีปยุโรปและทั่วโลก แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ Fiat 500 ครองความยิ่งใหญ่ได้ทั้งในยุคก่อนรวมถึงสามารถยืนระยะโมเดลตั้งแต่วันแรกมาจนถึงปัจจุบัน วันนี้ THE ICONIC CARS พาทุกคนไปทำความรู้จักยนตรกรรมคันจิ๋วเปลี่ยนโลกคันนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม Fiat 500 เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดย Fiat Automobiles ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ที่ตั้งอยู่ในเมืองตูริน ประเทศอิตาลี เรื่องราวของมันเริ่มต้นในช่วงปลายยุค 50’s เป็นยุคสมัยที่เฟียตมีความคิดที่จะสร้างรถยนต์ขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อใช้งานในเมืองที่มีถนนแคบและมีประชากรแน่นหนาให้เป็น People Cars เหมือนกับโฟล์คสวาเกนบีทเทิลในเยอรมนี พวกเขาต้องการผลิตรถยนต์ Economy Car ขนาดเล็กที่ตอบโจทย์ผู้คนสำหรับการใช้งานใช้ชีวิตประจำวัน แต่อีกเหตุผลสำคัญที่สุดคือมันต้องเป็นรถยนต์ที่มีราคาไม่สูงมาก มีค่าบำรุงรักษาต่ำ โดยได้นำแนวคิดรถยนต์ขนาดเล็กแบบวางเครื่องหลังเหมือนในบีทเทิลมาใช้ แต่ถ่ายทอดออกมาภายใต้งานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเฟียต งานออกแบบในครั้งนั้นตกเป็นหน้าที่ของ ดานเต้ จิอาคอซา นักออกแบบรถยนต์ชาวอิตาเลียนและพัฒนาจนสามารถเปิดตัวครั้งแรกในปี 1957 โดยตั้งชื่อว่า Fiat 500 ซึ่งในเจเนอเรชันแรกประกอบไปด้วยรถรุ่นที่มีความแตกต่างกัน 6 โมเดลด้วยกัน Fiat 500 หรือ Fiat
BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ประกาศเปลี่ยน Logo หรือตราสัญลักษณ์ครั้งแรกในรอบ 23 ปีและเป็นโลโก้แบบที่ 6 ในรอบ 103 ปีแห่งการก่อตั้งแบรนด์ โดยรถยนต์คันแรกที่ติดตราสัญลักษณ์ใหม่คือ BMW Concept i4 รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูหวังจะทำให้ผู้คนเข้าถึงรถยนต์ของพวกเขามากยิ่งขึ้นในอนาคต ปี 2019 บีเอ็มดับเบิลยูเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 23.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามภายใต้ยอดขายที่ดีขึ้นต่อเนื่องพวกเขายังคงพัฒนาตัวเองให้พร้อมเข้าสู่โลกของผู้ผลิตรถยนต์สมัยใหม่ไปพร้อมกัน แต่ก่อนที่เราจะได้รู้จักรถยนต์คันใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในอนาคต วันนี้คอลัมน์ THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักโลโก้ในอดีตทั้ง 5 ของบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงยนตรกรรมที่โดดเด่นในยุคสมัยของโลโก้นั้น ๆ มาดูกันว่าตลอด 103 ปี สัญลักษณ์แห่งพลังจากแคว้นบาวาเรียนี้ได้สร้างอิทธิพลต่อวงการรถยนต์ไปแค่ไหนและมีรถรุ่นอะไรที่สร้างภาพจดจำให้กับตราสัญลักษณ์ของพวกเขาบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน Begin of BMW Logo! โลโก้ของบีเอ็มดับเบิลยูมีจุดเริ่มต้นที่ยาวนานโดยต้องย้อนกลับไปในปี 1913 หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะสิ้นสุดลง ชายที่ชื่อ Karl Rapp ตัดสินใจก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเครื่องบินโดยใช้ชื่อว่า Rapp Motorenwerke ในช่วงแรกบริษัทของ Karl
ถ้าพูดถึงรถสปอร์ตจากนิสสันหนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพของ Nissan Skyline หรือ GT-R เป็นภาพตัวแทนความแรงของแบรนด์รถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยแบรนด์นี้ แต่จริง ๆ แล้ว อีกหลายคนคงรู้ว่านิสสันยังมีรถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตอีกหนึ่งตระกูลที่เป็นตำนานไม่แพ้ Godzilla นั่นก็คือรถตระกูล Z-Cars และคอลัมน์ THE ICONIC CARS ครั้งนี้จะมาพูดถึงต้นแบบของ Z-Cars ด้วยชื่อแสนอ่อนหวานผิดวิสัยรถสปอร์ตดุดัน จนเคยโดนสบประมาทว่าเป็นชี่อที่ไม่ดีพอสำหรับใช้ทำตลาดในสหรัฐอเมริกา ชื่อของรถยนต์คันนั้นคือ Nissan Fairlady Z กำเนิด Fairlady Z ต้นกำเนิดของ Nissan Fairlady Z เกิดขึ้นในปี 1969 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงได้ไม่นาน ตลาดรถยนต์ในยุคนั้นคือช่วงแห่งการแข่งขันและขยายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไปสู่ทวีปต่าง ๆ และนิสสันในเวลานั้นอยู่ภายใต้การนำทีมของประธาน Yutaka Katayama หรือ Mr.K ผู้รู้ดีถึงความสำคัญของรถสปอร์ตโดยเฉพาะถ้าพวกเขาต้องการตีตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา โดยเน้นในเรื่องของการทำราคาที่อยู่ในระดับซึ่งจับต้องได้ควบคู่กันไป ซึ่งประจวบเหมาะกับที่นิสสันกำลังลุยสร้าง Prototype สายพันธุ์สปอร์ตขึ้นมาจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น Prince Skyline ที่ต่อมาถูกพัฒนาและเปลี่ยนชื่อเป็น Nissan
หากพูดถึงรถยนต์รุ่น DeLorean DMC-12 บางคนอาจไม่เคยรู้จัก แต่หลายคนคงรู้ว่านี่คือรถในตำนานที่เท่เหนือกาลเวลา โดยรถระดับตำนานรุ่นนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในยุค 80’s ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้มันกลายเป็นของหายากที่หนุ่ม ๆ ทั่วโลกอยากครอบครอง ตอนนี้มีข่าวว่า DMC-12 เตรียมกลับมาอีกครั้งในปี 2021 ดังนั้นก่อนที่ DeLorean DMC-12 จะกลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนไปทำความรู้จัก Timeless Car คันนี้ไปพร้อมกัน DMC-12 DMC-12 เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดย DeLorean Motor Company ค่ายรถเมืองลุงแซมที่ John DeLorean เป็นผู้ก่อตั้ง โดย Prototype คันแรกของ DMC-12 ผลิตขึ้นในปี 1976 เป็นงานออกแบบของ Giorgetto Giugiaro นักออกแบบผู้ก่อตั้ง Italdesign สำนักออกแบบรถชื่อดังจากอิตาลี ก่อนต่อยอดพัฒนา Prototype จนกระทั่งปี 1981 DeLorean DMC-12 คันแรกก็ถูกส่งออกสู่ตลาด DeLorean
21,529,464 คัน คือยอดการผลิตทั้งหมดของรถยนต์ โฟล์คสวาเกน บีเทิล (Volkswagen Beetle) ตลอดระยะเวลา 65 ปี ทำให้รถยนต์ที่เราเรียกกันอย่างคุ้นปากว่า “โฟล์คเต่า” เป็นรถที่ออกแบบครั้งเดียว แต่สามารถทำยอดขายได้สูงสุด รวมถึงมีระยะเวลาการผลิตนานที่สุด ทว่าตัวเลขและยอดขายกลับไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ โฟล์คสวาเกน บีเทิล เป็นหนึ่งในความคลาสสิก เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างบีเทิลกับผู้คนทั่วโลกต่างหากที่ผลักให้โฟล์คสวาเกน บีเทิลคือหนึ่งในเรื่องราวคลาสสิกตลอดกาลแห่งโลกยนตรกรรม ตลอดระยะเวลาเกือบ 70 ปีที่ผ่านมา โฟล์คสวาเกน บีเทิล ฝากความทรงจำอะไรเอาไว้ให้โลกใบนี้บ้าง? รถยนต์ของประชาชน หลายท่านทราบถึงจุดเริ่มต้นของโฟล์คสวาเก้น บีเทิล ในฐานะ “The People’s Cars” แนวคิดจาก อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำแห่งไรช์ที่ 3 หรือเยอรมนีในปัจจุบัน มองว่ารถยนต์ส่วนใหญ่นั้นหรูหราและฟุ่มเฟือยเกินไป จึงอยากให้มีการผลิตรถครอบครัวราคาถูกที่สมรรถนะดี แต่ประหยัดน้ำมันและค่าบำรุงรักษาไปในเวลาเดียวกัน เพื่อเป็นรถยนต์ที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แนวคิดดังกล่าวถูกส่งต่อให้ แฟร์ดีนันท์ พอร์เชอ วิศวกรรถยนต์ผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบรถที่โดดเด่นจำนวนมาก นำไปสู่การสร้าง Volkswagen Type I และบริษัทโฟล์คสวาเกนขึ้น น่าเสียดายที่การเริ่มต้นของบีเทิลต้องหยุดกะทันหันเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 การรบที่เข้มข้นขึ้นทำให้รถครอบครัวที่ใช้งานง่ายไร้ปัญหาคันนี้