CARS

THE ICONIC CARS: BMW LOGO วิวัฒนาการสัญลักษณ์ทั้ง 6 และรถยนต์ที่โดดเด่นในแต่ละยุค

By: SPLESS March 7, 2020

BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ประกาศเปลี่ยน Logo หรือตราสัญลักษณ์ครั้งแรกในรอบ 23 ปีและเป็นโลโก้แบบที่ 6 ในรอบ 103 ปีแห่งการก่อตั้งแบรนด์ โดยรถยนต์คันแรกที่ติดตราสัญลักษณ์ใหม่คือ BMW Concept i4 รถยนต์ไฟฟ้าสุดล้ำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้บีเอ็มดับเบิลยูหวังจะทำให้ผู้คนเข้าถึงรถยนต์ของพวกเขามากยิ่งขึ้นในอนาคต

ปี 2019  บีเอ็มดับเบิลยูเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงถึง 23.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตามภายใต้ยอดขายที่ดีขึ้นต่อเนื่องพวกเขายังคงพัฒนาตัวเองให้พร้อมเข้าสู่โลกของผู้ผลิตรถยนต์สมัยใหม่ไปพร้อมกัน

Road & Track

แต่ก่อนที่เราจะได้รู้จักรถยนต์คันใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในอนาคต วันนี้คอลัมน์  THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนย้อนกลับไปทำความรู้จักโลโก้ในอดีตทั้ง 5 ของบีเอ็มดับเบิลยู รวมถึงยนตรกรรมที่โดดเด่นในยุคสมัยของโลโก้นั้น ๆ  มาดูกันว่าตลอด 103 ปี สัญลักษณ์แห่งพลังจากแคว้นบาวาเรียนี้ได้สร้างอิทธิพลต่อวงการรถยนต์ไปแค่ไหนและมีรถรุ่นอะไรที่สร้างภาพจดจำให้กับตราสัญลักษณ์ของพวกเขาบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน

Begin of BMW Logo! 

โลโก้ของบีเอ็มดับเบิลยูมีจุดเริ่มต้นที่ยาวนานโดยต้องย้อนกลับไปในปี 1913 หนึ่งปีก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 1 จะสิ้นสุดลง ชายที่ชื่อ Karl Rapp ตัดสินใจก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องยนต์และชิ้นส่วนเครื่องบินโดยใช้ชื่อว่า Rapp Motorenwerke

ในช่วงแรกบริษัทของ Karl Rapp ยังทรงตัวแต่มักมีปัญหาเมื่อต้องการอะไหล่ผลิตจำนวนมาก และกองทัพเริ่มไม่พอใจคุณภาพของเครื่องยนต์ที่สร้างขึ้น แต่การมาของวิศวกรชาวออสเตรียที่ชื่อ Franz josef Popp และ Max Friz อดีตวิศวกรที่เคยทำงานกับ Daimler ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องราวในครั้งนี้

ปี 1917 กองทัพปรัสเซียมีคำสั่งซื้อเครื่องอากาศยานจำนวน 600 ยูนิตจาก Rapp Motorenwerke โดยใช้ชื่อโปรเจ็กต์ว่า BBE วิศวกรทั้ง 2 คนได้ร่วมมือกันสร้างเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา ทำให้บริษัทโด่งดังและแปรสภาพเป็นโรงงานที่รุ่งเรืองที่สุดในเยอรมนี ณ เวลานั้น

ผลงานที่ยอดเยี่ยมครั้งนี้ทำให้เหล่าผู้บริการอาวุโสเห็นตรงกันว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของวิศวกรคนใหม่และไม่ต้องการพึ่งมาฝีมือการทำเครื่องยนต์ของ Karl Rapp อีกแล้ว 25 กรกฎาคม ปี 1917 บริษัท Rapp Motorenwerke ตัดสินใจยกเลิกสัญญากับ  Karl Rapp และเปลี่ยนชื่อเป็น Bayerische Motroren Werke โดยชื่อย่อว่า BMW และตัดสินใจจดสิทธิบัตรกับตราสัญลักษณ์ใหม่ในเวลาต่อมา

 

BMW Logo 1st gen

BMW

โลโก้แรกของบีเอ็มดับเบิลยู ยังคงมีรูปทรงกลมเหมือนโลโก้เดิมของ Rapp Motorenwerke แต่เลือกเปลี่ยนวงแหวนสีขาว-ดำด้านนอกเป็นสีดำตัดเส้นด้วยสีทองแทน ก่อนจะวางตัวอักษรย่อของ Bayerische Motroren Werke ลงไปในส่วนหัวของวงแหวน

ส่วนสัญลักษณ์รูปม้าที่เคยมีถูกถอดออกไปเปลี่ยนเป็นสีฟ้าและขาวซึ่งได้แรงบันดาลใจจากสีของธงประจำรัฐของรัฐบาวาเรีย รัฐที่ใหญ่และเก่าแก่ในประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานของพวกเขา อย่างไรก็ตามในช่วงแรกบีเอ็มดับเบิลยูถูกห้ามในการใช้สีธงของรัฐหรือประเทศในโลโก้ พวกเขาจึงสร้างแพทเทิร์นสีขาว-ฟ้าที่เท่ากันขึ้นมาซึ่งได้รับอนุญาตให้ใช้ได้มาถึงยุคปัจจุบัน ทั้งหมดคือจุดเริ่มต้นของตราสัญลักษณ์แรกของบีเอ็มดับเบิลยู

หลังจากนั้นบีเอ็มดับเบิลยูร่วมทุนธุรกิจและปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท ในช่วงแรกพวกเขายังคงผลิตอะไหล่รถไฟและอุปกรณ์ทำฟาร์ม ไปจนถึงใบพัดเครื่องบินซึ่งโฆษณาในครั้งนั้นมีส่วนสำคัญที่ทำให้คนเข้าใจผิดว่าสีฟ้าและสีขาวตรงกลางโลโก้ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากสิ่งนี้ โดยรถคันแรกที่ติดโลโก้ BMW ลงไปคือรถมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตในปี 1923 อย่าง BMW R32

ส่วนโมเดลรถยนต์ที่โดดเด่นในยุคนี้ ต้องยกให้ BMW “Dixi” ยนตรกรรมยุคแรกของบีเอ็มดับเบิลยูที่สวยงามลงตัวซึ่งแปะโลโก้เอาไว้บนหม้อน้ำ ก่อนที่ Franz josef Popp จะขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยูและเปลี่ยนชื่อ Dixi ให้เป็น BMW 3/15 ที่ผลิตทั้งหมด 18,976 คันระหว่างปี 1928 ถึง 1932

 

BMW Logo 2nd Gen

BMW

ปี 1933 บีเอ็มดับเบิลยูใช้โลโก้ทั้งในรถยนต์ รถจักรยานยนต์และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ แต่สีของตัวอักษรที่ใช้ในรถ 2 ล้อและ 4 ล้อยังมีความแตกต่างกันอยู่ พวกเขาจึงต้องการเปลี่ยนดีไซน์โลโก้ใหม่ให้เข้ากับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์มากขึ้น ด้วยการเพิ่มขนาดเส้นวงแหวนทั้งด้านนอกและด้านในให้หนาขึ้น รวมถึงฟอนต์ตัวอักษร B M W ที่หนาขึ้น โดยรถยนต์คันแรกที่ติดตราสัญลักษณ์ยุคที่ 2 คือ BMW 3/20

ส่วนรถยนต์ที่โดดเด่นที่สุดในตรายุคนี้คงต้องยกให้ BMW 326 สุดยอดซีดาน 4 ประตู มาพร้อมเครื่องยนต์เรียง 6 สูบขนาด 1972 ซีซีที่ให้พลังถึง 319 แรงม้าในยุคนั้นซึ่งมีความเร็วสูงสุดที่ 115 กิโลเมตร/ชั่วโมงและขายได้ทั้งหมด 15,936 คันระหว่างปี 1936 ถึง 1941

BMW 326 ยังเป็นรถยนต์ 3 ตอน (Three-Box) ที่สร้างโดยบีเอ็มดับเบิลยูโดยตั้งใจให้เป็น Mid-size luxury Car ที่มีรุ่นเปิดประทุนรวมอยู่ด้วยซึ่งพัฒนาเป็น BMW 327 Grand Tourer และสายพันธุ์สปอร์ตอย่าง BMW 328 โดยเฉพาะคันหลังสุดที่มีโอกาสเข้าร่วม Le mans ในตัวถังพัฒนาใหม่ซึ่งถูกยกให้เป็น 1 ใน 25 รถยนต์แห่งศตวรรษที่ 20 และเป็นรถยนต์จากบีเอ็มดับเบิลยูคันเดียวจากรถสัญชาติเยอรมนี 7 คัน 

 

BMW Logo 3rd Gen

BMW

กิจการของบีเอ็มดับเบิลยูล่วงเลยเข้าสู่ยุค 50’s และเป็นช่วงที่พวกเขาวางแผนการผลิตรถยนต์ในบริษัทใหม่ทั้งหมด โดยเน้นเบนเข็มเข้าหาการผลิตรถยนต์ที่มีความหรูหรามากกว่าผลิตโมเดลรถยนต์ราคาถูก เพราะต้องการดึงฐานลูกค้าคืนจาก Mercedes-Benz และแผนการผลิตรถยนต์ครั้งใหม่นี่เองทำให้พวกเขาให้ความสำคัญกับโลโก้ของแบรนด์อีกครั้งเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ขึ้นมา

บีเอ็มดับเบิลยูตัดสินใจเปลี่ยนดีไซน์โลโก้เริ่มตั้งแต่ขอบสีทองเส้นหนาที่เปลี่ยนมาใช้เป็นเส้นสีขาวที่ขอบด้านในและขอบด้านนอก และเปลี่ยนสีตัวอักษรสีทองมาเป็นสีขาว รวมถึงลดความเข้มของสีด้านในโลโก้ให้คล้ายสีของธงรัฐบาวาเรียมากขึ้น

googleusercontent

รถยนต์รุ่นสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยูยุคโลโก้รุ่นที่ 3 คือ BMM 501 สุดยอด Luxury Car ที่ผลิตขึ้นระหว่างปี 1952-1958 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของบีเอ็มดับเบิลยูที่ผลิตและขายหลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นรถยนต์คันแรกที่สร้างขึ้นในแคว้นบาวาเรีย

501 เป็นรถยนต์ที่มากับดีไซน์อันหรูหราแต่ขุมพลังใต้ฝากระโปรงกลับเป็นเครื่องยนต์ V8 ที่มีชื่อเล่นว่า ”Baroque Angels” แต่ราคาในเวลานั้นที่สูงถึง 15,000 มากส์เยอรมนี ทำให้มันมียอดขายภายในประเทศไม่ดีนัก แตกต่างจากในทวีปอเมริกาที่พร้อมจะซื้อรถหรูจากยุโรปในราคาสูง รวมถึงสายพันธุ์โรดสเตอร์คันงามอย่าง BMW 507 ที่ได้รับความนิยมมากในต่างแดน

การผลิตเพียงรถหรูก็ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูเป็นหนี้ถึง 15 ล้านมากส์เยอรมนี พวกเขาจึงเริ่มมองหาแผนสำหรับเพื่อรับมือกับความเสียหายทั้งหมดและให้ความสนใจใน Micro Cars อย่าง Iso Isetta จึงติดต่อเจรจาในเพื่อสร้าง Isetta ขึ้นด้วยตัวเองและเริ่มผลิตในปี 1955

Isetta ถูกวางขายในนาม BMW 600 เป็นรถ 4 ที่นั่งที่คล่องตัว แต่กำไรจากการขายรถรุ่นนี้ก็ไม่สามารถช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เวลานั้นเองที่บีเอ็มดับเบิลยูได้สร้างรถอย่าง BMW 700 ขึ้นมา

BMW 700 เป็นรถยนต์ที่ได้รับการพัฒนาและสร้างแบบ Monocoque คันแรกของบีเอ็มดับเบิลยู เปิดตัวครั้งแรกในปี 1959 และกลายเป็นรถยนต์ที่ชุบชีวิตให้กับแบรนด์ด้วยยอดขายมากกว่า 188,000 คันในช่วงเวลาเพียง 5 ปี 700 ยังเป็นรถยนต์ประสบความสำเร็จในวงการมอเตอร์สปอร์ต ทั้งรุ่น 700 S และ 700 RS

BMW 700

 

BMW Logo 4th Gen

BMW

10 ปีหลังจากการเปลี่ยนแปลงโลโก้ ในที่สุดปี 1963 บีเอ็มดับเบิลยูก็ตัดสินเปลี่ยนดีไซน์ตราสัญลักษณ์ของแบรนด์อีกครั้ง โดยยุคที่ 4 ถือว่ามีความสำคัญเพราะมันจะกลายเป็นโลโก้บีเอ็มดับเบิลยูที่จะอยู่ต่อไปอีกหลายสิบปีเลยทีเดียว

โลโก้ของบีเอ็มดับเบิลยูเจเนอเรชันที่ 4 เริ่มด้วยการเปลี่ยนฟอนต์ที่เคยใช้ในโลโก้มา 3 รุ่นจากฟอนต์ serif มาเป็น Sans-serif โลโก้ยังคงเป็นทรงกลมสีดำที่ตัดขอบด้านนอกด้วยเส้นสีขาวแบบมีขอบ ด้านในวงใช้เส้นสีขาวครอบแพทเทิร์นสีฟ้าขาวเอาไว้

Carmind

พร้อมกันนั้นโลโก้เจเนอเรชันที่ 4 ก็มาพร้อมยุคทองของบีเอ็มดับเบิลยู เริ่มตั้งแต่ BMW 3200 CS ที่เปิดตัวคู่กับตระกูล New-Class รวมถึง BMW 1500, 1600 และ 1800  โมเดล New Class ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์คลาสสิกยอดนิยมของบีเอ็มดับเบิลยู โดยเฉพาะโมเดล BMW 1800 และ BMW 2000 ที่ทำยอดขายได้ดรุ่นละ 140,000 คัน

BMW 2000

1968 บีเอ็มดับเบิลยูเปิดตัวไลน์การผลิต E9 ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ M30 หกสูบเริ่มจากรุ่น BMW 2800 CS ซึ่งเข้ามาแทนที่ BMW 2000 C และ CS รวมถึงรุ่นพิเศษของ E9 ที่สร้างขึ้นมาตามกฎ Homologation special อย่าง BMW 3.0 CSL ที่ร่วมแรงขัน Le mans ในปี 1973 แต่ทุกคนคงคุ้นตามันในฐานะ BMW Art Car ในปี 1975 ผลงานของศิลปิน Alexander Calder

FavCars

หลังจากเปิดตัว E9 พวกเขาก็ต่อด้วยไลน์รถยนต์ E3 และ 02-Series ซึ่งในอนาคตทั้ง 3 จะถูกพัฒนาและแทนที่ด้วย 6-Series (E24) และ 7-Series (E23) และ 3-Serie ตามลำดับในเวลาต่อ จนกระทั่งปี 1978 ในที่สุดบีเอ็มดับเบิ้ลยูก็สร้างซูเปอร์คาร์คันแรกของตัวเองขึ้นมาในชื่อ BMW M1

BMW M

ตั้งแต่ปลายยุค 70’s ไปจนถึงยุค 80’s เป็นช่วงเวลาของการแทนที่ในสายการผลิตรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งมีส่วนสำคัญในการวางฐานของแบรนด์และไลน์การผลิตรถให้แข็งแรงมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการมาของ 3-Series E30 ที่ต่อยอดด้วยสายพันธุ์สปอร์ตอย่าง Z1 บรรพบุรุษของ Z3-Z4 รวมถึง 6-Series E24, 5-Series E28 และ E34 ในเวลาต่อมา

BMW

 

BMW Logo 5th Gen

ปี 1997 โลกของยนตรกรรมทั้งหมดกำลังโปรโมทตัวเองเข้าสู่ปี 2000 บีเอ็มดับเบิลยูก็เปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยเช่นกันเริ่มจากโลโก้ที่ใช้มา 34 ปี ที่ถูกเพิ่มแสงเงาเข้าไปทำให้ดูมีมิติมากขึ้น ส่วนตัวอักษร BMW ยังคงใช้ฟอนต์ Sans-Serif

ตลอดเวลา 23 ปีของโลโก้ยุคที่ 5 ยนตรกรรมจากบีเอ็มดับเบิลยูก็ยังคงพัฒนาต่อเนื่องโดยเฉพาะรถยนต์รุ่นหลัก ไม่ว่าจะเป็น 3 Series, 5 Series, 6 Serie และ 7-Serie ต่อด้วยไลน์ใหม่อย่าง Serie 1, Serie 2 และ Serie 4 พร้อมกันนั้นรถในตระกูล M อย่าง M3 และ M5 ก็ได้รับความนิยมจากขาซิ่งทั่วโลก

รถยนต์อีกเซกเมนต์ที่เกิดขึ้นในยุคนี้คือตระกูลเอสยูวี หลังจากที่บีเอ็มดับเบิลยูเข้าฮุบกิจการของ Rover และ Land Rover ก่อนพัฒนาและให้กำเนิดรถยนต์ที่พวกเขาเรียกว่า SAV (Sport Activity Vehicle) พร้อมตั้งชื่อว่า BMW X5 เปิดตัวครั้งแรกในปี 1999  X5 ได้กรุยทางให้บีเอ็มดับเบิลยูสานต่อความนิยมในรถยนต์เอสยูวีของค่ายด้วยรุ่น X1, X3, X6 และ x7 ที่ได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง

BMW

จากนั้นบีเอ็มดับเบิลยูก็เตรียมปรับตัวครั้งใหญ่อีกครั้งเพื่อเข้าสู่ยุคของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยในปี 2011 พวกเขาก่อตั้งซับแบรนด์สำหรับผลิตพัฒนาและผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขึ้นในชื่อ BMW i ก่อนเปิดตัว BMW i3 และ BMW i8 รวมถึงรถยนต์คอนเซ็ปต์ทั้ง BMW I Vision, BMW I Next Concept และข่าวเตรียมเปิดตัวของ BMW i4 Concept ที่จะกลายเป็นการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคสมัยใหม่

 

BMW Logo 6th Gen

underconsideration

มีนาคม ปี 2020 หลังใช้โลโก้ยุคที่ 5 นานถึง 23 ปี ในที่สุดบีเอ็มดับเบิลยูก็เปลี่ยนโลโก้ใหม่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปีเลยทีเดียว เพราะครั้งนี้พวกเขาตัดสีดำออกจากวงแหวนด้านนอกและแทนที่ด้วยความโปร่งใส่ รวมถึงเปลี่ยนมาใช้เส้นสีขาวขอบหนา ในขณะที่ด้านในโลโก้ยังคงแพทเทิร์นเดิมของสีฟ้า-ขาวเอาไว้

บีเอ็มดับเบิลยูได้อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า BMW เป็นแบรนด์ที่มีสายสัมพันธ์กับผู้คนทั่วโลกและโลโก้ใหม่ของพวกเขาสื่อถึงความเปิดกว้างเพื่อเชื้อเชิญผู้คนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งไปด้วยกัน

โลโก้ยุคที่ 6 ถูกใช้เป็นครั้งแรกใน BMW i4 Concept และเข้ากันกับดีไซน์แห่งอนาคตของรถคันนี้เป็นอย่างดี ทำให้เราพอจะมองออกว่าการเปลี่ยนแปลงของบีเอ็มดับเบิลยูในครั้งนี้คือการปูทางครั้งสำคัญสู่อนาคต ส่วนเราในฐานะผู้บริโภครวมถึงคนที่หลงใหลในรถยนต์คงต้องรอดูกันไปพร้อมกันว่า “ยุคสมัยใหม่”ของบีเอ็มดับเบิลยูจะมีรถยนต์โมเดลไหนที่สร้างความยิ่งใหญ่เหมือนยนตรกรรมยุคหลายรุ่นจากระยะเวลาที่ผ่านมา

BMW

อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าตลอดช่วงเวลา 103 ปีของบีเอ็มดับเบิลยู แม้พวกเขาเปลี่ยนแปลงโลโก้ของแบรนด์ไปถึง 6 ครั้ง แต่ทุกครั้งพวกเขายังคงสร้างรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมา เป็นรถยนต์ที่ถึงจะไม่มีตราสัญลักษณ์ติดอยู่ ทุกคนก็รู้ได้ว่าเป็นรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู

SOURCE: 1/2/3/4/5/6/7

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line