Entertainment

THE PROFILES: สำรวจสไตล์สุดล้ำในโครงสร้างหนังของ DENIS VILLENEUVE ผู้กำกับสุดเจ๋งแห่งยุค

By: Chaipohn November 2, 2021

แม้จะมีหนังในมือเพียงหลักหน่วย แต่ชื่อชั้นของ Denis Villeneuve ก็ถูกวางไว้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของผู้กำกับแห่งยุคได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพียงเพราะหนังที่ทำนั้นสเกลใหญ่ขึ้นขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่สำหรับ Denis Villeneuve แล้ว มีจุดเชื่อมโยงอันหลากหลายที่ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับที่มีสไตล์เฉพาะตัว

และเพื่อต้อนรับหนังใหม่ที่กำลังฉายในโรงภาพยนตร์ขณะนี้อย่าง Dune เรามาสำรวจความเจ๋งและความใหญ่ที่เราพบผ่านโครงสร้างของหนังของผู้กำกับยอดเยี่ยมท่านนี้กัน ว่าเบื้องหลังความสำเร็จในแง่ของการทำงานนั้น มีจุดใดที่เชื่อมโยงการทำงานจนกลายเป็นลายเซ็นเฉพาะตัวของเขากันบ้าง

ระดมนักแสดงยอดฝีมือล้นจอ

หนังของ Denis Villeneuve ก่อนที่จะเป็นที่รู้จักของนักดูหนังในวงกว้าง เขาคือ Film Maker จากแคนาดาที่มีผลงานเป็นหนังไฮคอนเซ็ปท์ที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในประเทศ ก่อนจะมีโอกาสได้ข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำหนังในฮอลลีวู้ด เขาก็ไม่รอช้าที่จะทำหนังในแนวทางที่ท้าทายในตัวเขา และหนังเรื่องแรกในฮอลลีวูด เขาก็ได้นำวูล์ฟเวอร์รินอย่าง Huge Jackman มาประกบกับ Jake Gyllenhaal ในหนัง Thriller สุดระทึกขวัญสุดกดดันกับเรื่องราวที่พ่อทั้ง 2 ต้องเผชิญหน้ากับอาชญากรที่ลักพาตัวลูกสาวของเขาไป

Prisoners (2013) คือหนัง Thriller ที่เต็มไปด้วยสภาวะกดดันถึงขีดสุด ท่ามกลางการลุ้นระทึกของคนดูที่รอคอยว่า Huge Jackman ผู้เป็นรับบทเป็นพ่อที่ลูกสาวหายสาปสูญจะระเบิดอารมณ์เมื่อไหร่ ซึ่งในช่วงเวลานั้น Huge Jackman ที่กำลังจะวางเล็บเหล็ก Wolverrine ที่เป็นบทติดตัวเขามาตลอดนับทศวรรษ เพื่อหาบทบาทที่ท้าทายในสายการแสดง จนได้เจอกับหนังเรื่องนี้

เขาไม่รอช้าที่จะคว้ามัน โดยผู้กำกับ Denis Villeneuve ได้แต่งเติมบรรยากาศที่สิ้นหวังหดหู่ในหนังได้อย่างไม่บันยะบันยัง ซึ่งหนังเรื่องแรกในฮอลลีวูดของ Villeneuve ก็ได้รับคำชมในการสร้างบรรยากาศสุดอึดอัดได้อย่างยอดเยี่ยมและเหนือชั้น โดยใช้เชิงชั้นทางจิตวิทยาที่ซึมลึกในจิตใจคนดูมากกว่าเสนอความตูมตามในสไตล์ Hollywood Action

และในปีเดียวกันนี้ Denis Villeneuve ก็ไม่รอช้าปล่อยหนังอีกเรื่อง Enemy (2013) หนังดราม่าจิตวิทยาสุดหลอน ที่ได้พลังนักแสดงของ Jake Gyllenhaal ที่ร่วมแสดงในหนังเรื่องก่อน มาร่วมแสดงอีกรอบในหนังเรื่องนี้ก็ได้เปล่งพลังการแสดงอย่างสุดขั้ว เรื่องราวการไล่ล่าหาตัวตนบนโลกคู่ขนานที่เหมือนกับเขาทุกประการ ก่อนชีวิตจะค่อยๆพังพินาศเมื่อพบคนที่เหมือนกับเขาต่างกัดกินชีวิตไปทุกที

หลังจากนั้นสูตรในการทำหนังของเขามักถูกขายพ่วงกับชื่อนักแสดงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Emily Blunt, Benicio del Toro, Josh Brolin ในหนังแอ๊คชั่นเลือดเดือด Sicario (2015) Amy Adams, Jeremy Renner ในหนังไซไฟจิตวิทยา Arrival (2016) Ryan Gosling, Harrison Ford ในหนังภาคต่อสุดคัลท์ Blade Runner 2049 (2017) รวมไปถึง Dune หนังไซไฟเอพิคเรื่องล่าสุดก็เต็มไปด้วยไปด้วยนักแสดงแบบแน่นโปสเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น Timothée Chalamet, Oscar Isaac, Josh Brolin, Jason Momoa ไปจนถึง Javier Bardem


สเกลหนังที่ยิ่งใหญ่ อลังการ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังของ Denis Villeneuve คือความใหญ่โตฬโหฐานของโปรดักส์ชั่นอันแสนจะเอพิค นับตั้งแต่เรื่องราวการสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวใน Arrival ที่ได้เห็นภาพของวัตถุประหลาดต่างดาวลอยตระหง่านท่ามกลางความสงสัยของมวลมนุษยชาติ จนนำไปสู่การถอดรหัสเพื่อสื่อสาร

หรือใน Blade Runner 2049 ที่สานต่อภาคก่อนหน้าด้วยการสำรวจสภาพบ้านเมืองที่ล่มสลายในยุคดิสโทเปียน ผ่านทะเลทรายอันแสนเวิ้งว้างว่างเปล่า ไปจนถึงเศษซากของสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่อลังการ

จนมาถึงหนังเรื่องล่าสุดอย่าง Dune หนังมหากาพย์ต่างดาวที่บอกเล่าถึงมหาสงครามต่างเผ่าพันธุ์ที่อัดแน่นไปด้วยโปรดัคชั่นดีไซน์อันยิ่งใหญ่และมีสไตล์เป็นของตัวเอง ซึ่ง Villeneuve พยายามที่จะทำหนังเรื่องนี้โดยพึ่งพาการถ่ายในกรีนสกรีนให้น้อยที่สุดเพื่อขับเน้นความยิ่งใหญ่ของแลนด์สเคป เขาจึงลงหลักปักฐานในทะเลทรายอันร้อนระอุ และลงทุนสร้างฉากที่ยิ่งใหญ่อลังการเพื่อสอดรับกับตัวนิยายที่บรรยายภาพดวงดาวอันแห้งแล้งนี้ให้สมจริงที่สุด

แต่ถึงหนังของ Villeneuve จะยิ่งใหญ่ และสวยงามทางด้านการออกแบบขนาดไหน สิ่งที่ผู้กำกับท่านนี้เสนอกลับเป็นเรื่องราวเรียบง่าย นั่นคือความเปราะบางในจิตใจของมนุษย์ตัวเล็กๆแทบทั้งสิ้น

ไม่ว่าจะเป็นการโยนภาระอันหนักหน่วงของมวลมนุษย์ชาติ ให้นักภาษาศาสตร์สาวที่มีปมชีวิตซับซ้อนแก้ปัญหาก่อนโลกจะล่มสลายจากการรุกรานของมนุษย์ต่างดาวในหนัง Arrival หรือ ตัวละครใน Blade Runner 2049 ที่รับบทโดย Ryan Gosling นักล่ามนุษย์จักรกลที่สะบักสะบอมไปด้วยปมชีวิตอันแสนปวดร้าว ไม่เว้นแม้กระทั่ง Dune ที่แม้จะเล่าถึงสงครามและการแก่งแย่งทรัพยากรบนดาวเคราะห์ แต่ปมชีวิตของนักรบแต่ละคนก็หนักหน่วงไม่แพ้เรื่องใด ๆ

หนังเอพิคเรื่องยิ่งใหญ่ของใครหลาย ๆ คน อาจจะมุ่งเน้นที่ฉากแอ๊คชั่นต่อสู้อันแสนเร้าใจ แต่ Denis Villeneuve กลับเลือกจับจ้องโฟกัสไปที่ปมบาดแผลของตัวละครที่อธิบายถึงเหตุและผลในสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่า เพราะเขามักมองว่าสิ่งที่ส่งผลให้ทัศนียภาพของหนังนั้นจะสวยงามหรือทรุดโทรม มักมาจากน้ำมือของมนุษย์มากกว่า ซึ่งท่ามกลางภาพแลนด์สเคปอันแสนกว้างใหญ่ไพศาลของอาคารรูปทรงแปลกตา มักจะมาพร้อมจุดเล็กๆของคนขับเคลื่อนอยู่ในนั้นเสมอ


ปรัชญาที่สะท้อนผ่านสีหนังที่แตกต่าง

บรรยากาศของหนังของ Denis Villeneuve ถูกเสนอผ่านโทนสีที่สะท้อนตัวตนของหนังอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโทนสีเบจและน้ำตาลในหนัง Sicario (2015) แสดงถึงความแห้งแล้งและโดดเดี่ยวของตัวละครที่อยู่ท่ามกลางความอันตรายรอบด้าน

ไปจนถึง Arrival ที่สะท้อนผ่านโทนสีน้ำเงินอันมืดหมอง หรือที่เห็นได้ชัดเจนอย่าง Blade Runner 2049 ที่ใส่หลากสีหลากอารมณ์เพื่อบอกผ่านช่วงเวลาอันแตกต่างของตัวละคร โดยเขากับผู้กำกับภาพอย่าง Roger Deakins ได้สร้างช็อตมหัศจรรย์จนสามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขากำกับภาพยอดเยี่ยมไปครองในปีนั้น โดย Villeneuve ได้กล่าวถึงการรังสรรค์หนังผ่านการถ่ายภาพและเลือกธีมสีสันเฉพาะในหนังแต่ละเรื่องว่า “การร่ายบทกวีผ่านกล้องถ่ายหนัง คือแก่นแท้ในงานของผม”


สร้างบรรยากาศผ่านดนตรีประกอบและซาวด์ดีไซน์

อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นตัวตนของผู้กำกับ Villeneuve คือผลงานสกอร์หรือดนตรีประกอบ ที่ขับเน้นบรรยากาศของซีนนั้นๆ โดยงานของเขานั้นส่วนใหญ่ ไม่ได้มีเพียงสกอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสร้างบรรยากาศผ่านซาวด์ดีไซน์ที่ผสมผสานรวมอยู่ในเนื้อเสียงของดนตรีนั้นอยู่ด้วย ซึ่งเสียงเหล่านั้นยิ่งช่วยขับบรรยากาศไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ความยิ่งใหญ่อันแสนว่างเปล่า ไปจนถึงความเปราะบางซับซ้อนของตัวละคร ทั้งหมด๔กส่งผ่านเสียงดนตรีที่มีมิติผันแปรได้อย่างเหนือชั้น

โดยเฉพาะการร่วมงานกับคอมโพเซอร์สุดเจ๋งอย่าง Hanz Zimmer ที่แรกเริ่มร่วมงานเพียงบางส่วนในหนัง Blade Runner 2049 ก่อนที่จะรับงานอย่างเต็มตัวในหนังเรื่องล่าสุดอย่าง Dune โดย Zimmer กล่าวถึงการร่วมงานกับ Villeneuve ว่า

“ผมคิดว่า “Dune” มันขับเคลื่อนไปด้วยไอเดียทางเสียงที่ยอดเยี่ยม ตัว Denis นั้นละเอียดและเต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจมหาศาล เป็นผู้กำกับชั้นยอดที่ผมเคยร่วมงานมา เขาเต็มเปี่ยมด้วยพลังสร้างสรรค์ และทำมันด้วยความรักอย่างแท้จริง”


เจ้าแห่งการบูรณะหนังให้ล้ำยุคล้ำสมัย

ไม่ว่าจะเป็น Blade Runner 2049 ภาคต่อของหนังไซไฟสุดคัลท์ในตำนาน ที่เขาได้รับไม้ต่อจาก Ridley Scott ที่กำกับภาคแรกในปี 1982 ที่ทิ้งช่วงห่างจากต้นฉบับนานกว่า 30 ปี และมีผู้กำกับหลายคนอยากจะทำภาคต่อของหนังไซไฟเรื่องนี้ แต่ในที่สุด วิสัยทัศน์และความทะเยอทะยานของ Villeneuve ก็ทำให้เขารับช่วงทำหนังภาคต่อโดยยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของหนังในภาคก่อน และเพิ่มความทันสมัยของเทคโนโลยีการถ่ายทำเพื่อให้หนังโลดแล่นไปตามยุคสมัยของมัน

ขณะเดียวกัน ในหนังเรื่อง Dune ที่ทำการรีเมคจากต้นฉบับปี 1984 ที่ David Lynch (จำต้อง) ทำมัน โดย Lynch เคยกล่าวว่ามันคือหนังที่ถ้าเขาสามารถลบความทรงจำออกไปได้ เขาจะเลือกลบความทรงจำในการทำหนังเรื่องนี้ไปให้หมดสิ้น เพราะหนังที่สร้างจากมหากาพย์นิยายไซไฟล้ำอนาคตของ Frank Herbert นั้นเต็มไปด้วยรอยตำหนิของเนื้อเรื่องที่ตีความคนละทางกับหนังสือ ไปจนถึงงบประมาณที่ไม่อาจทำได้ในยุคที่เทคโนโลยีจำกัดจำเขี่ย ทำให้ต้นฉบับกลายเป็นฝันร้ายของผู้สร้างที่ขาดทุนระเนระนาด และได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบจน Lynch แทบเสียศูนย์และเป็นบาดแผลในชีวิตการทำหนัง จนอยากเอาชื่อของเขาออกจากเครดิตการกำกับเลยทีเดียว

สำหรับ Villeneuve แม้จะชื่นชอบหนังของ Lynch ทุกเรื่อง แต่เรื่อง Dune ซึ่งเขาเองก็เป็นแฟนเดนตายของนิยายเรื่องนี้เช่นกัน เขาก็ยอมรับว่าเขาชื่นชอบหนังต้นฉบับแค่ครึ่งเดียว เพราะหนังฉบับนั้นมีจุดด้อยที่ไม่อาจจะให้อภัยได้เช่นกัน แต่เขาก็พบข้อจำกัดมากมายในหนังต้นฉบับไม่ว่าจะเป็นการยัดนิยายความยาวกว่า 600 หน้าให้ลงไปอยู่ในหนังความยาวเพียง 2 ชั่วโมง เขาจึงประกาศว่า Dune ฉบับล่าสุดนี้ เป็นเพียงครึ่งแรกของนิยายเท่านั้น และมีความเป็นไปได้ว่าหนังจะต้องมีภาคต่ออย่างแน่นอน และอาจจะจบสมบูรณ์ที่ไตรภาค

ซึ่งบทวิจารณ์ถึง Dune ในฉบับรีเมคนี้ ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยคำชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นการกำกับของ Villeneuve ที่ยังคงเส้นคงวาในการเสนออภิปรัชญาผ่านหนังสเกลที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเขายังไว้ซึ่งสไตล์การผสมผสานศิลปะเข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย

แต่ข้อเสียที่เขาต้องเผชิญเสมอคือหนังของเขานั้นต่อให้ดีอย่างไร แต่ในตารางหนังทำเงินก็มักมีปัญหากับรายได้หนังอยู่เสมอ หนังเรื่อง Dune จึงเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ เพราะหากหนังล้มเหลวทางรายได้ Dune อาจจะจอดไว้เพียงแค่ภาคเดียว และมันจะกลายเป็นคำสาปที่นักทำหนังทุกคนเข็ดขยาดไปตลอดกาล ซึ่งเราก็หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นสำหรับผลงานชั้นเลิศของนักสร้างหนังรุ่นใหม่สุดเจ๋งท่านนี้

 

และนี่คือสไตล์ทั้งหมดของผู้กำกับสุดเจ๋ง Denis Villeneuve ที่คอหนังคุณภาพให้การต้อนรับและขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับแห่งยุคภายในเวลาไม่นาน มาดูกันว่าในอนาคต ผลงานเรื่องต่อไปของเขาจะสร้างปรากฏการณ์อะไรให้กับวงการภาพยนตร์อีก

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line