Music
THE REAL : “GUYGEEGEE” แร็ปเปอร์มาดกวน ผู้สยบคำสบประสาทด้วยการ “PROVE THEM WRONG!”
By: JEDDY September 17, 2022 218635
ในวงการดนตรีทุกวันนี้ มีแร็ปเปอร์เกิดใหม่ขึ้นมามากหน้าหลายตา แต่ละคนล้วนมีฝีปากในการพ่น Rhymes ได้ไม่เบาทั้งนั้น หลาย ๆ คนก็สามารถสร้างเพลงฮิตจนทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ หรือแม้กระทั่งพาเพลงไปติดชาร์ตบิลบอร์ดก็มีให้เห็นมาแล้ว ซึ่งเพลงที่ว่านั้นก็คือ “ทน” ผลงานของ Sprite และ Guygeegee สองแร็ปเปอร์ต่างวัยที่ใส่ความสนุกสนาน ผสมกับความกวนลงไปในบทเพลง จนชวนให้ทุกคนครื้นเครงกันในช่วงล็อกดาวน์
และก็เป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่ทาง Unlockmen ได้มานั่งพูดคุยกับ Guygeegee แร็ปเปอร์มาดกวน ที่ดูภาพลักษณ์แอบทำให้เรานึกถึง Eminem ไม่น้อยทีเดียว เรื่องราวของผู้ชายคนนี้เดินทางมาพร้อมกับคำสบประมาทที่คอยบอกว่าให้ล้มเลิกความฝันไปซะ เขาจึงต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยคำสั้น ๆ ว่า “Prove Them Wrong” มาติดตามเรื่องราวไปพร้อม ๆ กันได้เลย
ก่อนจะก้าวมาเป็นแร็ปเปอร์ Guygeegee ก็มีชีวิตที่ผูกพันธ์กับดนตรีมาตั้งแต่วัยเด็ก เขาเล่นได้ทั้งแซกโซโฟน และกีตาร์ อีกทั้งยังสอบวิชาดนตรีได้เกรด A มาโดยตลอด อีกทั้งเขายังเคยชื่นชอบเพลงร็อกก่อนเพลงฮิปฮอปซะอีก
“ถ้าเป็นแต่ก่อนนะ ผมฟังแต่วงร็อกไทย ทั้ง Potato, Pancake, Silly Fools, Bodyslam มีช่วงหนึ่งผมอินกับเมทัลจัด ผมชอบพี่เต๋า Sweet Mullet ชอบวง Retrospect ผมเคยไปคอนเสิร์ต MRD ผมวิ่งไปมอชตรงกลางเลย คือพี่เต๋าเป็นไอดอลผมเลยตอนเด็ก ๆ โคตรชอบ แบบผมยาว ๆ แล้วผมหัดว๊ากที่บ้านด้วยนะ”
กายยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่าเคยมีโอกาสไปลองเป็นศิลปินฝึกหัดที่ค่าย R.S. แต่รู้สึกว่าแนวเพลงยังไม่ค่อยโดนซักเท่าไหร่
ไม่น่าเชื่อว่าจุดเริ่มต้นการแร็ปของกายเกิดมาจากเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นแค่เพียงการเล่นอะไรสนุก ๆ กับเพื่อน ๆ เท่านั้น
“ผมเริ่มจากเล่นกีตาร์ก่อน พอได้เล่นกีตาร์ ผมก็ไปลองแร็ปฟรีสไตล์ดู แล้วปรากฏว่าเพื่อน ๆ ชอบกัน มีคนมาเอนจอยกับการร้องของเรา ตอนที่ผมอยู่ที่โรงเรียนก็เล่นกันไปเรื่อย ผมดีดกีตาร์เป็นอยู่ 4 คอร์ด วนไปเรื่อย ๆ ต่อมาเราก็เริ่มแร็ปแซว คนเขาก็ขำกัน เฮกัน
คราวนี้มีอยู่วันหนึ่งช่วงเสาร์อาทิตย์ ผมไปนั่งชิลล์ที่บ้านเพื่อน เพื่อนก็บอกกายแร็ปให้ฟังหน่อย เราก็เริ่มมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ตอนนั้น พอมายุคหลัง ๆ ผมก็เริ่มเปิดบีต เริ่มทำบีตกัน คราวนี้ก็เริ่มแร็ปได้แล้ว แต่จุดเริ่มต้นก็มาจากกีตาร์ครับ”
แล้วตอนไหนที่ทำให้อยากลุกขึ้นมาเขียนเพลงของตัวเอง?
“มันเกิดขึ้นจากฟีลเหมือนไปปาร์ตี้เสร็จแล้ว หลังจากนั้นก็มารวมตัวกันบ้านเพื่อนช่วงเลิกปาร์ตี้กัน เพื่อนก็บอกให้เราแร็ป แล้วก็มีเพื่อนบางคนที่แร็ปเป็น เราก็เหมือนมาแร็ปแบทเทิลกัน ด่ากัน แซวกันไปเรื่อย ๆ ก็เฮฮาไป ผมก็รู้สึกสนุก เราเจออะไรที่เราชอบ และเราทำได้ดีเสมอครับ”
แต่ละคนน่าจะต้องเคยผ่านจุดกระตุ้นแรงบันดาลใจในชีวิต ให้ลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่าง ซึ่งกายก็ผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมาเช่นกัน
“ผมก็จำไม่ได้แน่ ๆ ว่าเกิดขึ้นตอนไหน เคยมีครั้งหนึ่งผมไปบ้านเพื่อน ผมนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นมากลางดึก ผมนั่งมองกระจกอยู่คนเดียว แล้วก็หันไปบอกเพื่อนว่า ‘มึงคอยดูนะเว้ย วันหนึ่งกูจะเป็น Rap Star’ แล้วผมก็ร่วงไปเลย
ผมจำเหตุการณ์ไม่ได้นะ แต่เพื่อนเพิ่งมาบอกผมเอง คือผมกับเพื่อนคนนี้ไม่ได้เจอกันนาน เขาเล่าให้ฟังว่าจำได้ไหม ตอนเด็ก ๆ เคยพูดแบบนี้ไว้ ‘ผมก็บอกว่าใช่เหรอวะ? เคยพูดด้วยเหรอ?’
เพื่อนก็บอก ‘เออ ตอนนี้เพลงมึงก็เริ่มมาแล้วนะ’ ผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นความเชื่อ เหมือนที่พี่ตูนเคยกล่าวไว้ตอนเด็ก ๆ ผมเชื่อว่านี่แหละ คือสิ่งที่เราชอบ คือสิ่งที่เรารักจริง ๆ ผมไม่เคยสงสัยเลย ผมแค่คิดว่าเมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึงครับ”
การทำเพลงแบบ D.I.Y. (Do It Yourself) โดยส่วนมากจะเป็นศิลปินแนวอินดี้ที่เลือกใช้วิธีดังกล่าว เนื่องจากไม่มีค่ายเพลงมาคอยซัพพอร์ตนั่นเอง ซึ่งตัวกายก็เริ่มต้นมาจากวิถีดังกล่าว
“ช่วงทำเพลงใหม่ ๆ ก็ยากอยู่เหมือนกันครับ ใช้เวลาซักพักกว่าจะเริ่มเป็น ครั้งแรกสุดจำได้ มีคนบอกผมว่ารับอัดเพลงอยู่นะ เราก็ดีใจมากเลย ไม่เคยอัดเพลงมาก่อนเลย เขาคิดเงินค่าอัด 1,500 ผมก็ไปถึงเป็นแฟลต พอผมเข้าไปอารมณ์แบบ ‘ใช่เหรอวะ? กูจะโดนปล้นเปล่าวะเนี่ย’
แล้วผมก็เข้าไปก็ไม่ได้มีอุปกรณ์มากนะครับ มีคอม 1 ตัว กับไมค์สแตนด์ ผมตื่นเต้นมากเลย พออัดเสร็จก็ได้มาเป็นไฟล์ เขาส่งกลับมาเป็นไฟล์เพลงให้ เป็นไฟล์เพลงแรกเลยที่ผมจ่ายไปด้วยเงิน 1,500 บาท มันเป็นราคาที่ไม่ถูกสำหรับเด็กม.ปลายเลยครับ”
หลาย ๆ คนได้เริ่มรู้จักกับชื่อของ Guygeegee ผ่านทางรายการ Show Me The Money 2 ซึ่งมันทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของกายที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งตัวกายเองก็รู้สึกถึงมันได้เช่นกัน
“ผมได้อัพสกิลเยอะเลยครับ เราได้เจอคนที่มีฝันเดียวกันกับเราหลาย ๆ คน เราได้เห็นทั้งคนที่ผ่านเข้ารอบ คนที่เสียใจ คนที่ดีใจ หรืออย่างน้องชายผมสไปรท์ ผมก็ได้เห็นการเจริญเติบโตของเขาทั้งหมดเลย มันทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่าง
แล้วไหนจะได้เจอพี่ ๆ โปรดิวซ์เซอร์ เจอกับทีมงานอีก คือมันมาเป็นเซต อยู่ในแพคเกจเดียวเลย คือไปรายการนี้ได้ทั้งคอนเนคชั่น ได้ทุกอย่างมาครบเลยครับ”
Stage ไหนยากที่สุด?
“ผมว่ายากทุกอันเลย แต่สำหรับผม ผมว่า Stage หลัง ๆ ยากนะ เพราะมันเริ่มกดดันแล้ว ตอนแรกเข้าไปเราชิลล์ ๆ ตกรอบก็ตกไม่เป็นไร ไม่แคร์ ปล่อยไหลได้เต็มที่ เราเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ แต่พอช่วงหลัง ๆ เริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย เราใกล้แล้ว พลาดไม่ได้นะ ทำให้เราเริ่มกดดัน พอกดดันเราก็ไม่ได้ Enjoy ในระดับ 100% แล้ว มันมีความอยากเอาชนะ อยากแข่งขันมากขึ้นกว่าเดิม พอเริ่มมีความคิดพวกนี้เข้ามาในหัว ก็ทำให้เกิดความกังวลเข้ามาแทนที่ครับ”
ตอนแร็ปแบทเทิลกับ Torded กดดันไหม?
“กดดันครับ ผมดูเขาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วผมเห็นเขาตบมาหลายคนแล้ว ผมก็คิดว่า ‘ไม่นะ ผมจะไม่เป็นหนึ่งในนั้น’ แต่พอไปถึงวันจริง ๆ ก็กดดัน ผมเคยแร็ปแบทเทิลมาก่อนแล้วนะ เคยไปแข่งบนเวที แต่นี่มันถือว่าเป็นเวทีใหญ่อันแรกสำหรับผม ก็ถือว่ากดดันพอสมควรเลย ตอนแข่งผมใส่อินเนอร์เลย
ตามปกติก่อนไปแข่งผมอาจจะเขียนบาง Rhyme บ้างที่อยู่ในหัว แต่พอถึงเวลาจริง ๆ คือหน้าไมค์เลย ผมมองหน้าเขาแล้วผมก็ใส่เลย แต่ที่ Show Me The Money มันทำแบบนั้นไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วเราพลาดคือจบเลย เราโดนตัดออกแน่นอน มันเลยต้องมีการเตรียมตัวเป็นขั้นเป็นตอนมากกว่าครับ”
แม้ Guygeegee จะไม่ได้ทะลุเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศในรายการ Show Me The Money 2 แต่ความสามารถของเขาก็ยังเตะตา Nino โปรดิวซ์เซอร์สายฮิปฮอปตัวท็อปของบ้านเรา จนนำมาสู่การร่วมงานกันในสังกัด Hype Train
“จริง ๆ ตอนก่อนหน้านั้นผมไม่มีค่าย แต่ผมก็รู้จักพี่นีโน่มานานแล้ว ได้ยินชื่อเสียงพี่นีโน่มานานแล้วเหมือนกัน พอตอนที่พี่นีโน่เขาทักมาผมก็รีบตอบตกลงเลย เพราะด้วยสไตล์ของพี่โน่เองด้วย เขาเป็นโปรดิวซ์เซอร์ที่มียอดวิว (จากเพลงที่ทำ) รวมกันเป็นพันล้านวิว และสำหรับฮิปฮอปในไทย เขาเป็นคนที่ทำบีตให้ค่อนข้างเยอะเลย ตั้งแต่รุ่น Thaitanium ยันเด็กรุ่นใหม่สุดที่ยังไม่มีใครรู้จัก คือมันครอบคลุมหมดเลยครับ
ผมใช้เวลาคุยกับเขาไม่นานก็ตอบตกลงทันที การทำงานของผมเลยมีความจริงจังมากขึ้น มันมีทีมงานเข้ามาทำงานด้วย เราไม่ได้ทำเล่น ๆ กับเพื่อนแล้ว แต่มันกลายเป็นอาชีพแล้วครับ”
เมื่อปีก่อนหากให้พูดถึงเพลงที่ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง ไปที่ไหนก็ได้ยิน คงต้องยกให้ “ทน” ผลงานเพลงของ Guygeegee ที่ร่วมกันทำกับ Sprite เท่านั้นยังไม่พอความดังของเพลงนี้ยังทะลุขึ้นไปติดชาร์ตบิลบอร์ดของอเมริกาได้อีกด้วย กลายเป็นปรากฏการณ์ของวงการเพลงไทยโดยแท้จริง
“ผมเองทำเพลงมานานก็จริง แต่ก็ยังไม่เคยได้วิวขั้นสิบล้าน แล้วอยู่ดี ๆ มันโดดจากหลักแสนไปหลักร้อยล้านเลย ผมก็ไม่เคยเจอวิวเยอะขนาดนี้มาก่อน รู้สึกตื่นเต้น แล้วยิ่งได้รู้ว่าเราเป็นคนไทยคนแรก ๆ ด้วยที่ไปติดชาร์ตบิลบอร์ด ก็รู้สึกว่า เออ เราก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนี่ เริ่มมีความรู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น พอไปข้างนอกได้ยินคนฟังเพลงเราจริง ๆ แล้วนะ เขาร้องกันเป็นแล้วนะ จากที่ไม่เคยมีมาก่อนครับ”
ประทับใจอะไรในตัวของสไปรท์?
“น้องเป็นคนหัวไว เขียนเพลงเก่ง มีความเป็นเด็ก มีความเป็นวัยรุ่นอยู่ มี Energy แล้วก็ยัง Fresh แล้วผมก็คุยกับน้องรู้เรื่องด้วย ผมไม่ได้ซีเรียสว่าผมเป็นพี่ ผม Treat เป็นเพื่อนมากกว่า มันจะได้บรรยากาศการทำงานเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ ตัวน้องเขาก็ทำได้ดี
เหมือนทุกครั้งที่ผมเข้า Studio ไปกับเขา เราจะไม่เกร็ง อย่างผมเคยไป Studio กับผู้ใหญ่บางคน เรารู้สึกว่าไม่กล้าทำเต็มที่ แต่เวลาไปกับสไปรท์ พอสไปรท์บ้ามาผมก็บ้ากลับ ต่างคนต่างบ้าไม่มีใครห้ามกัน แล้วมันเหมือนได้ Express ความเป็นตัวเองได้เต็มที่ครับ”
สิ่งที่น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งก็คือหลังจากที่เพลง “ทน” โด่งดัง แต่มันดันตรงกับช่วงล็อกดาวน์พอดี ทำให้ทั้งกายและสไปร์ทต้องอดรับงานคอนเสิร์ต ถึงถ้าหากเป็นช่วงเวลาปกติเชื่อได้เลยว่าพวกเขาต้องออกทัวร์จนแทบไม่ได้พักกันเลย
ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินอาชีพ กายก็เคยต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ เคยมีโอกาสไปช่วยงานติดตั้งเครื่องไล่นกกับทางบ้าน ซึ่งกายก็ยอมรับว่ารู้สึกแฮปปี้กับงาน แต่การจะเหยียบเรือสองแคม ทั้งงานประจำ และการไล่ตามความฝันคงไม่เวิร์ก เขาจึงตัดสินใจออกมาลุยกับการเป็นแร็ปเปอร์แบบเต็มตัว ทำให้ต้องเผชิญกับคำสบประมาทจากคนใกล้ตัว
“ช่วงที่ผมเริ่มแร็ปแรก ๆ หลังเรียนจบ มันก็ยังไม่มีรายได้เข้ามา ยอดวิวผมก็ไม่มี ยังไม่ได้ดัง มันก็กลายเป็นว่าเวลาเพื่อน ๆ หรือครอบครัวมองเข้ามาที่เรา เขาก็จะตั้งคำถามว่า ‘กายทำอะไรอยู่วะ โตแล้วยังไร้สาระอยู่ ขับรถไปแข่งร้องแร็ปไปทั่ว’ หลายคนไม่โอเคกับสิ่งที่ผมทำ แต่เราต้องให้กำลังใจตัวเอง ผมต้อง ‘Prove Them Wrong’ พิสูจน์ให้เขาเห็น
มีกระทั่งแม่ของแฟนเก่าผม เขาส่งข้อความมาหาผมบอกว่า ‘เลิกทำเพลงเถอะ หางานทำเถอะ’ ผมก็แบบยุ่งอะไรวะ! ก็ฝากด้วยนะ ถ้าดูอยู่นะ คุณจุ๊บ!”
“กูก็ไม่รู้” คือซิงเกิ้ลล่าสุดของ Guygeegee ที่ยังคงความกวน ความแสบไว้เช่นเคย แถมประโยคนี้ยังทำให้เราแอบ นึกถึงใครคนหนึ่งโดยอัตโนมัติ
“เพลงนี้ ถ้าจะหาสาระจริง ๆ จะหาไม่เจอครับ เพราะเพลงนี้ผมแต่งเกี่ยวกับมันมีอยู่วันหนึ่งผมหาของไม่เจอ ผมก็เลยเอาความรู้สึกหลาย ๆ อย่างมารวมอยู่ในเพลง ซึ่งผมอยากให้ทุกคนในบ้านลองฟังดู วันไหนที่คุณหาของไม่เจอ มาลองเปิดเพลงผมฟังดู มันจะเป็นอารมณ์ปั่นป่วน สนุกเฮฮาหน่อย กวน ๆ หน่อย จริง ๆ ก็เป็นวลีเด็ดที่ผู้ใหญ่ในบ้านเราก็ใช้กันเยอะเหมือนกันครับ หลายคนก็เข้าถึงคำ ๆ นี้ได้”
“ซิงเกิ้ลต่อไปชื่อว่า ‘รักใครไม่เป็น’ ผม Feat. กับสไปรท์ครับ มันจะมีความแปลกใหม่อย่างไร อยากให้ทุกคนลองติดตามดู แน่นอนว่ามันจะมี Element อะไรใหม่ ๆ ที่ทุกคนไม่เคยเห็นในมุมของผมกับสไปรท์ อยากให้ทุกคนลองติดตามดูนะครับ”
แฟนเพลง Guygeegee สามารถติดตามผลงานได้ทางโซเชียลมีเดียของทาง Hype Train รวมไปถึง Instagram : guygeegeeggg และสามารถติดตามคลิปสัมภาษณ์ได้ทางแฟนเพจ : Unlockmen
ทาง Unlockmen ต้องขอขอบคุณ Universal Music Thailand และ Hype Train สำหรับการอำนวยความสะดวกสัมภาษณ์ในครั้งนี้ด้วยครับ