CARS

Toys For Boys : รวมทุกสิ่งที่คนเล่น Classic Mustang ต้องรู้ และ ‘หมอโดม Dogtor Garage’ อยากบอกคุณ !

By: GEESUCH February 17, 2024

ในปี 2018 เราเคยคุยกับ ‘หมอโดม Dogtor Garage’ (สุทธิพงษ์ ธีติปริวัติร์) กันมาแล้วถึงชีวิตจากสัตว์แพทย์สู่หมอดัดแปลงรถยนตร์ที่ทำรถมาแล้วทุกชนิด (ใครยังไม่ได้อ่านกดตรงนี้)

ล่าสุดปี 2024 ทีม UNLOCKMEN มุ่งหน้าออกจากกรุงเทพสู่นครปฐม ปัก Google Maps ไปที่ Junkyard Car’fe สวนสาธารณะรถเก่าของหมอโดมอีกครั้ง เพื่อตั้งใจที่จะหาคำตอบให้กับสิ่งที่สงสัยมานาน แต่เมื่อ 6 ปีที่แล้วไม่ได้ถามออกไป 

“ทำไมหมอโดมถึงได้รักรถ Classic Mustang กันนะ ?”

นี่คือบทสัมภาษณ์ Toys For Boys ตอนล่าสุด ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนรักรถ Classic Mustang แล้วกำลังตัดสินใจจะเริ่มโปรเจกต์ม้าป่าตัวนี้เป็นของตัวเองสักคัน หรือว่าเพียงแค่ชอบได้มองรถ Classic Mustang เฉย ๆ เพราะว่าเป็นรถอเมริกันมันเท่ดี ห้ามพลาด ! เราให้หมอโดมเปิดคัมภีร์รถนิยมว่าด้วย Classic Mustang โดยเฉพาะ เอาตั้งแต่เตรียมตัวอย่างไร ใช้เงินเก็บเท่าไหร่ ต้องรู้อะไรบ้าง ครอบคลุมทั้งในมุมมองของช่าง และคนที่ขี่ม้าป่าในทุกวัน


ครั้งแรกที่ได้รู้จัก Mustang แล้วรู้สึกตื่นเต้นเลยก็คือรถของ ‘น้าเน็ก’ ที่เห็นเขาแว้บ ๆ อยู่ในทีวี 

“เฮ้ย พี่คนหนวด ๆ ผมทองแม่งโคตรเท่เลยอะ แล้วขับ Mustang เปิดประทุน รถอะไรทำไมเท่แบบนี้” 

ตอนนั้นพี่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพน่าจะผ่านมาเมื่อสัก 20 กว่าปีที่แล้ว ยังเป็นสัตวแพทย์ เป็นพนักงานบริษัท Technical Sales Represent อยู่ที่ตึกช้างรัชดา พี่ทำงานตรงนั้นมาประมาณปีกว่า ๆ ก่อนจะหันเหตัวเองมาทำอย่างอื่น

ในวันนั้นเราก็เชื่อเรื่องของ ทฤษฎีแรงดึงดูด เลยนะ ณ วันหนึ่งที่มีกำลังมากพอ เราอยากเท่แล้วก็อยากมีแบบนี้บ้าง จากตอนนั้นก็เริ่มต้นศึกษาดูเลยว่ามันคือรถรุ่นอะไร แล้วแต่ละรุ่นมีกี่เวอร์ชั่น ศึกษามาตลอด แต่แรงบันดาลใจครั้งแรกพี่ต้องยกให้ลูกพี่น้าเน็กเลยจริง ๆ 

มีเหตุการณ์หนึ่งในความทรงจำของพี่กับ Mustang ตอนนั้นเป็นสมัยยุคที่อินเทอร์เน็ตยังไม่เข้ามา แต่ก่อนจะมีตลาดขายของเกี่ยวกับอะไหล่รถ ของวินเทจ การชุมนุมของรถต่าง ๆ ที่มารวมตัวกัน ถ้าพี่จำไม่ผิดน่าจะมีตั้งแต่สมัยลานพระรูป แล้วก็มาเป็นสะพานมัฆวานตรงถนนราชดำเนิน จากมัฆวานก็ย้ายไปเป็นแม็คโครบางกระบือ แล้วจุดแลนมาร์คใหญ่ที่บูมมากก็คือ 4 แยกรัชดา-ลาดพร้าว 

วันนั้นเราก็เดินเข้าไปเที่ยวที่ตลาดนั้นแหละ แล้วก็เห็นของบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าถึงจะยังมีรถ Mustang ของจริงไม่ได้ แต่อย่างน้อย ๆ เราก็ขอมีอันนี้ก่อนแล้วกันวะ 

มันคือของเล่นสังกะสีเก่า ราคาประมาณ 600 บาท ก็แพงเหมือนกันนะ เราก็ตัดสินใจว่ารถยังไม่มีก็เอามันมาฝันก่อนก็ได้ เราก็นั่งดูมันทุกวัน สังเกตุความเป็นรถ Mustang จากโมเดลนี้ อ๋อ ๆ หน้าตามันเป็นอย่างนี้เหรอ แล้วก็คิดถึงตลอดว่าวันหนึ่งเราจะต้องมี Mustang จากนั้นก็เลยตั้งใจทำงานเก็บเงิน นี่คือจุดเริ่มต้นของพี่กับ Mustang เลย 

UNLOCKMEN : สมัยนั้นมีคนเล่น Mustang ให้เห็นเยอะแค่ไหนนอกจากน้าเน็กหรือดาราคนอื่น

ตอบไม่ได้นะว่าคนเล่นเยอะหรือไม่เยอะ เพราะอย่าลืมว่าเมื่อ 20 กว่าปีก่อนมันไม่มีอินเทอร์เน็ต มันเป็นยุคของหนังสือ เป็นยุคของการเดินหาอะไหล่ พี่มองว่ายุคนั้นการหาความรู้จากมันคงมีได้อย่างเดียวนอกจากการที่พี่ไปได้โมเดลคันนี้มาแล้วนั่งฝัน พี่ก็ใช้วิธีการซื้อ ‘หนังสือ’ อันนี้เป็นเล่มแรกที่ซื้อเลย 

จำได้ว่าซื้อที่รัชดา สภาพมันก็จะโทรม ๆ ละเพราะว่าเราใช้มันมาตลอด อ่านดูว่ารถแต่ละรุ่นมันแบ่งพาร์ทอย่างไร รถก็ยังไม่มีนะแต่ศึกษารอแล้ว 

อีกหนึ่งความทรงจำที่พี่จำได้ไม่ลืมคือตอน World Trade (ชื่อเรียกเดิมของห้าง Central World) มันจะมีงานรวมรถโบราณที่จัดโชว์ในห้าง พี่ได้เห็นรถ Mustang คันหนึ่ง รู้สึกว่าจะเป็นเปิดประทุนปี 1965 สีฟ้า เราก็ไปลองสืบว่าเจ้าของคือใคร ปรากฎว่าเป็นของ ‘พี่กบ-ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี’ เราก็ไปแอบถ่ายรูปมา หลังจากนั้นพอมีงานโชว์รถตามฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต หรือที่อื่น ๆ เราก็จะเอากล้องฟิล์มไปถ่ายรูป บันทึกภาพความทรงจำว่าเราชอบมันมาตลอดและรอเวลาเสมอ


ทุกคนรู้มั้ยว่า Ford Mustang (1966) First Generation คันที่หมอโดมขับมาตลอด เป็นรถ Classic Mustang คันแรก และคันเดียวในชีวิตของหมอโดม ที่ใครเป็นแฟนรายการ ‘รถนิยม’ ก็น่าจะจำกันได้ดีว่ากว่าคันนี้จะทำเสร็จนั้นยากลำบากขนาดไหน และนี่คือเรื่องราวกว่าจะมาเป็น Mustang ของหมอโดม

พี่มาได้ครอบครอง Mustang จริง ๆ ประมาณยุคที่อินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามา เป็นยุค World Wild Web ซึ่งมันจะมีเว็บไซต์ที่มีการซื้อขายรถ ตอนนั้นพี่เข้ามาเล่นรถจริงจังแล้ว รถเรโทรญี่ปุ่น รถเบนซ์ BMW รถเยอรมัน เอาง่าย ๆ อะไรก็ได้ที่มันมีล้อทั้งมอเตอร์ไซค์ทุกอย่างตอนนั้นพี่ก็กระจายวงกว้างมากเลย ค่อนข้างวาไรตี้ แต่ยังไม่ลืมความฝันของตัวเองนะ ถ้ามันมีใครมาบอกพี่ว่า “หมอครับ ผมไปเจอรถนี้จอดอยู่ในบ้าน” พี่จะพยายามจินตนาการแล้วก็ภาวนาตลอดว่าขอให้มันเป็น Mustang ก็ได้ไปเห็นมาบ้างแต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ครอบครองเพราะบางคันเขาก็ไม่ขาย หรือบางคันเขาขายแต่ราคามันสูงเราก็แตะไม่ไหว 

วันหนึ่ง พี่เปิดเข้าไปในเว็บไซต์ Thai Second Hand ที่ขายของมือสองเกี่ยวกับรถ แล้วพี่กดไปเจอรถ Mustang คันหนึ่งเข้า ณ วันนั้นเราก็มีความรู้เรื่อง Mustang พอสมควรแล้ว มันคือ Mustang ปี 1966 หลังคาแข็ง (Hard Top) ยังไม่เป็นเปิดประทุน ราคาประมาณแสนกว่าบาทเอง แต่ในการขายครั้งนั้นเขาระบุว่า ‘ไม่มีเอกสารและไม่มีทะเบียน’ ไม่มีอะไรเลย ซึ่งพี่ก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจตัวเองนะ เพราะธรรมดาถ้ารถไม่มีทะเบียนพี่จะไม่ค่อยไปยุ่งกับมันเท่าไร แต่วันนั้นเพราะมันเป็น Mustang ไง

เราก็คิดอย่างเดียวว่ามันต้องเคยมีทะเบียนสิ จะพยายามไปตามหามัน พี่ก็ไปตกลงดีลและซื้อ รถอยู่จังหวัดเชียงรายเหนือสุดเลย แต่ตัวพี่ตอนนั้นอยู่นครปฐม การขนกลับลงมาเราก็กลัวว่าถ้าเคลื่อนย้ายแบบเอกสารไม่มีจะทำอย่างไร ก็พยายามหาพรรคพวกที่อยู่นครปฐม มันจะมีรถขนผักที่เป็นสิบล้อใหญ่ที่เอาของขึ้นเหนือแล้วลงกลับมาอยู่ เราก็ขอใช้รถสิบล้อนั้นขน พอเขาลงของที่เหนือเสร็จ ก็ไปขับหาเนินดิน เนินก่อสร้างใหญ่ ๆ แล้วเอาสิบล้อทิ่มเข้าไปที่เนินดินให้มันเป็น slope แล้วก็เข็น Mustang ขึ้นไปบนสิบล้อแล้วเอาผ้าคลุมกลับมาที่นครปฐมโดยที่มีแค่รถเปล่า ๆ ไม่มีเอกสารอะไรเลย 

พอกลับมาถึงที่นี่ พี่ก็มานั่งคิดแหละว่าจะทำอย่างไรกับมันต่อ แต่เราเห็นเลขตัวถังที่ป้ายที่ติดอยู่มันมีทะเบียนนะ แล้วมันอยู่ไหน ซึ่งก็อย่างที่บอกตอนนั้นอินเทอร์เน็ตก็ยังไม่ complete เราไม่สามารถไปที่ขนส่งเพื่อค้นหาได้ว่ามันคืออะไร สรุปว่ารถก็เลยต้องจอดตายอยู่ที่อู่น่าจะมี 4 ปี ซึ่งพี่ไม่ได้ขยับทำอะไรกับมันเลยเพราะมันทำอะไรไม่ได้ 

ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กันตอนนั้นพี่ก็เริ่มทำผับร้านเหล้าสถานบันเทิง แล้วเอารถที่เราสะสมอยู่มาแต่งที่ร้าน ตอนนั้นชื่อร้าน The Retro Classic Cafe วันหนึ่ง Thailand Classic นิตยสารเกี่ยวกับรถคลาสสิกที่แรกของไทยมาถ่ายที่ร้าน เขามาถ่ายกลุ่มที่พี่ขี่มอเตอร์ไซค์เวสป้าด้วย ชื่อ นครปฐม สกู๊ตเตอร์ คลับ

ทีมงานของหนังสือเขาก็คุยกันเรื่องรถแล้วก็สะกิดพี่ว่า “มันมีเพื่อนผมคนหนึ่งเก็บทะเบียน Ford เอาไว้ ผมไม่รู้ว่ามันคือรถรุ่นอะไร พี่หมอโดมอยากลองไปดูไหม” พี่จำได้เลยว่าทีมงาน Thailand Classic คนนั้นเขาชื่อ ‘โอ๋-อัคคี’ พี่ก็เลยนัดเจอเขา กับคุณโอ๋และเจ้าของเล่มนั้นแล้วเอามาดูกัน

“เชื่อไหม มันเหมือนพรหมลิขิต พอเปิดเล่ม Ford ของคุณโอ๋แล้วดูคู่กับเลขตัวถัง Mustang ของพี่ มันคือรถคันเดียวกัน !” 

พี่ใช้เวลารอถึง 4 ปี เหตุการณ์ต่อจากนั้นก็คือคนใดคนหนึ่งก็ต้องซื้อกันกลับไป ไม่เขาซื้อรถพี่ พี่ก็ต้องซื้อเล่มเขา พี่ก็เลยสอบถามข้อมูลว่าเล่มมันไปอยู่ที่เขาได้อย่างไร เขาก็เลยเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นมันมีเพื่อนของเขาคนหนึ่งถังแตกต้องการใช้เงิน ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวขายรถให้ แต่ขายโดยที่เอาเล่มไปก่อนนะ เดี๋ยวรถตามมาทีหลัง แต่กลับกลายเป็นว่าเหมือนเพื่อนคนนี้เขาขายรถให้สองทางกับใครไม่รู้อีกคน คนนึงอยู่บางบัวทอง อีกคนอยู่เชียงราย มันเลยเกิดการสาบสูญเพราะตัวเล่มกับรถมันอยู่คนละที่ 

ถ้าพี่จำไม่ผิดเหตุการณ์ไปจบตรงที่พี่ไปกดเงินแล้วบอกเขาเรามีเท่านี้ ประมาณ 3-4 หมื่น แล้วก็เอาเงินจ่ายเขาพร้อมเอาเล่มกลับมา กอดเล่มเลย ดีใจมาก มันคงเป็นพรหมลิขิต เป็นเนื้อคู่เรา พอได้มาเสร็จก็สำเร็จไปเรื่องเอกสาร รถเป็นของเราแล้วตั้งแต่วันนั้น

UNLOCKMEN : มันคือรถคันแรกของหมอโดม และเป็นคันที่ใช้ในปัจจุบันเลยใช่มั้ย

คันนี้เลย คันเดียว และไม่คิดจะมีอีกแล้วด้วย เพราะถ้าไล่ลำดับของ Mustang รถที่เราได้มามันคือ First Generation ถ้าเปรียบเทียบพระเครื่องคือสมเด็จ มันคือสุดแล้ว มันคือเก่าสุดนะ รุ่นแรกสุดของ Mustang ทีนี้มันก็อยู่ที่เราแล้ว เราเป็นนักคัสตอมรถ จะมาบูรณะมันอย่างไร


เพื่อให้ซึมซับความเป็นรถยนตร์ของ American Dream ในมิติเชิงลึกมากขึ้น เราเลยขอให้หมอโดมช่วยเลกเชอร์ประวัติศาสตร์สั้น ๆ ของ Ford Mustang ให้ทีม UNLOCKMEN ฟังหน่อย เราเชื่อว่าบรรทัดต่อจากนี้จะทำให้คุณทั้งหลายที่หลงใหลม้าป่าอยากจะขึ้นขี่มันทันทีอย่างไม่รีรอ

Mustang เริ่มต้นจริง ๆ คือเป็นยนตรกรรมของ Ford สมัยก่อนในวัฒนธรรมของอเมริกัน ต้องย้ำว่าในอเมริกันอย่างเดียวนะ มีวัฒนธรรมที่มีการจำแนกรถออกเป็น 3 session 

1.Economy Car : ซึ่ง economy เหมือนนั่งเครื่องบินชั้น Eco ชั้นประหยัด มันก็คือไซส์รถคอมแพ็ค ไซส์เล็ก ซีดาน (Sedan Car) ที่เป็นรถอเมริกันแต่เป็นไซส์เล็ก แต่ก็ต้องย้ำอีกครั้งนะว่าเพราะมันเป็นอเมริกัน คอมแพ็คของมันอาจจะคันใหญ่กว่าบ้านเรา แต่บ้านมันเรียกคอมแพ็คเพราะเครื่องยนต์ซีซีอาจจะไม่เยอะ แล้วก็เป็นรถใช้งานทั่วไป เป็นรถไซส์เล็กของเขา 

2.Muscle Car : คือรถไซส์กลางถึง Full Size ยาว 4 เมตรกว่า 5 เมตรกว่า แต่เครื่องยนต์ถ้าพี่จำไม่ผิด แรงบิดประมาณ 400 คิวบิก ถ้าเทียบเป็นซีซีก็ 5000 cc ขึ้น เครื่องใหญ่ Big Box ที่เป็นรถขนาดกลางหรือใหญ่และซีซีรถค่อนข้างแรง นี่เรียกว่า Muscle Car เป็นรถนักกล้าม

3.Executive Car (Luxury Car) : เป็นรถพวกคหบดี ระดับเศรษฐี เป็น Full Size 5 เมตรกว่า พวกนั้นคือขับแล้วบ่งบอกศักดินาเลยว่าเป็นคนมีเงินแน่นอน เป็นรถหรูของอเมริกัน 

แล้ววันหนึ่ง ทีมงานของ Ford เขาเห็นว่ามันมีช่องว่างระหว่าง Economy Car กับ Muscle Car อยู่นี่หว่า เขาเลยคิดว่าตรงกลางน่าจะเหมาะกับการทำรถนะ จึงดีไซน์รถในขนาดไซส์ใหม่โดยให้คำนิยามตรงกลางนี้ว่า Pony Car หลาย ๆ คนอาจจะมองว่า “อ๋ออ Pony ก็คือม้า แสดงว่า ‘ม้าป่า’ ของ Mustang มาจากแรงบันดาลใจตรงนี้นี่เอง” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่นะ Mustang ถูกตั้งชื่อมาจากการที่คนออกแบบมีความชอบเครื่องบินรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชื่อ P-51 รุ่น Mustang (North American P-51 Mustang) เขาก็เลยเอาชื่อนั้นมาตั้งเป็นรถรุ่นที่เขาจะผลิตขึ้นมา 

Segment สำหรับรถแบบ Pony Car ก็คือขอให้เป็นรถสองประตู แต่มี 4 ที่นั่ง ฐานล้อไซส์ไม่ใหญ่มาก ไม่ถึง Full Size แต่เป็น Mid-Size ไซส์กำลังพอดี ขนาดกลาง แล้วก็ต้องขายในราคาที่ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อได้ ก็คือ 2,500 เหรียญ ค่าเงินตอนนั้นก็คงหลักหมื่นแหละ แล้วก็คิดออกแบบกันออกมา Prototype แรกพี่จำไม่ผิดมันออกประมาณปี 1962 เขาคิดขึ้นมาก่อน แล้วปี 1963 มาออก Prototype 2 แล้วมาเปิดตัวจริงในเดือนมีนาคมของปี 1964

Mustang เปิดตัวออกมาครั้งแรกก็เป็นที่ฮือฮาทันที เพราะมันเปลี่ยนวัฒนธรรมการเล่นรถของอเมริกันไปอย่างสิ้นเชิง ถ้ารถในปี 1940 จะเป็นรถหลังสงครามโลก บางคันไฟหน้ายังอยู่บนแก้มอยู่เลย แล้วก็มาเป็นรถยุค 1950 ที่เน้นใหญ่ เน้น accessory มีความโค้ง 

พอมายุคของ Mustang ที่เป็นรอยต่อของช่วงหลังสงครามโลก โลกสงบสุข มนุษย์ต้องการสืบพันธุ์ ผลิตลูกขึ้นมา ประชากรเยอะ แล้วประชาชร Baby Boomer ก็มาโตยุค 1960 มันคือยุคที่เฟื่องฟู James Dean , Elvis  พอ 1960 เสร็จ เกิดความศิวิไลซ์ต่าง ๆ แล้วผู้คนในยุค Baby Boomer นั้นพอโตขึ้นมาก็เริ่มเบื่อรถดีไซน์เก่า ๆ พอ Mustang ออกมาหน้าตามันตอบโจทย์กับวัยรุ่นยุคนั้น มันฉีกเลย ใครที่เรียนจบ เริ่มทำงาน มนุษย์คนหนุ่มสาวอยากมีมันไว้ครอบครอง 

“Mustang เปิดตัวครั้งแรกขายไป 200,000 กว่าคัน !”

ซึ่งอันนั้นเป็นรอยต่อ เขาถึงเรียก Mustang รุ่นแรกโดยไม่เรียกว่ารุ่นปี 1964 แต่เขาจะเรียกว่าปี 1964 ½ เพราะยอดการจองมันเยอะจัดจนต้องผลิตข้ามไปปี 65 แล้วปี 65 ก็เป็นปี 65 แบบปลาย ๆ มันตอบโจทย์สังคมอเมริกันตรงที่ว่าเราไม่ต้องมีเครื่องใหญ่ ในวันนั้นที่มันออกมาเครื่องมันจะมี 6 สูบเรียง มี V8 เป็น Small Box จะมี 60 กับ 289 ไม่ใช่เครื่องที่ใหญ่นะ ทอนลงมาแต่เป็น V8 เหมือนกัน

การแบ่งเวอร์ชั่นของ Mustang ในยุคแรกปี 1964 ½ มันก็ออกมา 2 เวอร์ชั่น คือตัว ‘หลังคาแข็ง’ ที่เขาเรียกว่า Hard Top กับ Convertible ก็คือ ‘เปิดประทุน’ หลังจากนั้นเป็นปี 1965-1966 เป็นต้นไป ใน 1 รุ่นของ Mustang ให้จำง่าย ๆ เลยนะ สำหรับ First Generation จะนับปี 1964 1965 1966 ที่หน้าตาและ Platform ทุกอย่างเหมือนกัน ต่างกันที่รายละเอียดใน First Generation จะแบ่งเป็น 3 รูปแบบ

1.หลังคาแข็ง (Hard Top) คิดง่าย ๆ คือหลังคาเหมือนรถเก๋ง รถ Coupe ธรรมดาเลย

2.ท้ายราบ (Fastback) ท้ายลาด ๆ เลี่ยน ๆ เหมือนรถสปอร์ต

3.เปิดประทุน (Convertible) ผลิตน้อยที่สุด อาจเพราะขายในวันนั้นราคาแพงกว่า เพราะเปิดหลังคาเป็นหลังคาอ่อน 

ทีนี้มันคาบเกี่ยวกับรถพี่ตรงนี้ ตอนที่ได้มาเป็นรุ่น Hard Top แต่วันนั้นเราไปอ่านเจอในหนังสือของอเมริกาว่ามันมีการคัสตอมดัดแปลงด้วย เพราะอย่างที่บอกว่ารถในรุ่นแรกมัน Platform เดียวกันทุกอย่าง เราสามารถซื้ออะไหล่ชุดเปิดประทุนมาดัดแปลงจากรถหลังคาแข็งให้กลายเป็นรถเปิดประทุนได้ อันนี้คือจุดเริ่มต้นทำคันนี้ของรถพี่เลย

UNLOCKMEN : เหมือนว่ารถรุ่น First Generation ของ Mustang ตอนนั้นฟังก์ชันเขาตั้งใจให้ เป็น Daily Use Car เลย ต่างจากภาพวันนี้ที่เหมือนคนจะเข้าใจว่า Mustang ต้องเป็นรถแรงรถแข่ง

ถูกครับ มันคือ Daily Use Car เลย คิดดูง่าย ๆ ว่ามันผลิตออกมาหลายแสนคันแล้วมันเข้าไปอยู่ในสังคมอเมริกันทั้งหมด Muscle car ก็เป็นรถใช้ประจำวันได้นะ แต่มันจะมาประสบปัญหาในช่วงปี 1970 กว่า ๆ ที่มันเป็นวิกฤตน้ำมัน (1970s Energy Crisis) อเมริกาก็โดนทั้งประเทศ ความนิยมก็ลดน้อยถอยลง การเข้ามาของรถญี่ปุ่นมันตอบโจทย์กับวิกฤตน้ำมัน ความนิยมอเมริกันในแบบนั้นมันก็หายไป


UNLOCKMEN : แล้วปัจจุบันคนเล่น Classic Mustang นิยมเล่นตัวใน Generation ไหนกัน

จากเมื่อกี้ที่พี่เล่า First Generation อธิบายง่าย ๆ 1964 1965 1966 หน้าตาเดียวกัน รถหมอโดม / รถน้าเน็ก / รถกันต์-กันตถาวร / รถเพชรจ้า / รถพี่จอร์จ-ธาดา นี่เป็น Mustang ในรุ่น First Generation หมดเลย ของกันต์ก็เป็น Hardtop ของน้าเน็ก ของหมอโดม ของเพชรจ้าก็เป็น Convertible

ต่อมา Generation ที่ 2 ปี 1967 กับ 1968 ถ้าดูง่าย ๆ ในหนังที่ Nicolas Cage แสดงเรื่อง Gone in 60 Seconds (2000) อันนั้นคือปี 1967 แต่ถ้าข้ามมาอีก Generation ก็จะเป็น 1969 1970 คิดง่าย ๆ คือ John Wick อันนั้นก็เป็นอีกรุ่นหนึ่ง

เรื่องความนิยม ถ้าถามพี่มีแค่ 3 Generation ใน Classic Version เท่านั้นแหละ เพราะถ้าเลยจากนี้ไปเป็นยุค 1970s กว่าไปแล้วมันเริ่มใหญ่และเหลี่ยม ความเพรียวมันเริ่มน้อยลง 

Mustang พยายามเบ่งจาก Pony Car พอยุคปี 1969 1970 มันเริ่มไม่ใช่ Pony Car แล้ว มันเริ่มเป็น Muscle Car พอเครื่อง 351 มันเริ่มเป็น Big Box มันจะเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยิ่งพอเลยจากปี 1972 1973 อันนี้เริ่มหน้าตาเปลี่ยน ความเหลี่ยมเริ่มเข้ามา จริง ๆ ตอนนั้นมันเป็นกับรถทั้งโลกเลยนะ คิดง่าย ๆ ถ้าไปดูรถญี่ปุ่นรุ่นปี 1970 กว่า ๆ มาเหลี่ยมหมด รถอะไรก็ได้ ฝั่งยุโรปก็กลายเป็นเหลี่ยม ไซส์ก็เล็กลงมาเพราะวิกฤตน้ำมันอย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ อุตสาหกรรมมันไม่สามารถทำคันใหญ่เครื่องใหญ่ได้เพราะมันไม่ตอบโจทย์ของโลก ณ วันนั้น มันก็เลยเกิดความเสื่อมถอยของ Mustang ค่อย ๆ ลงไปเรื่อย ๆ จนถึงบางยุคเขาเรียกกันเป็น Fox Body ในยุค 1980s กว่า หน้าตามันก็ไม่ใช่แล้ว บางทีไปเอา Platform รถบ้านมาทำเป็น Mustang ผู้คนก็เริ่มเสื่อมถอยความนิยมลงไป เพราะว่าดีไซน์สำคัญที่สุด เสน่ห์มันหายไป

UNLOCKMEN : ในบ้านเรา พอเป็น Classic Mustang ในรุ่นปี 1970 เขาก็เลยไม่เล่นกันรึเปล่า

1970s ยังพอได้อยู่ พี่ว่าเลยประมาณ 1972 1973 ไปคนเริ่มไม่เอาแล้ว ทุกวันนี้ตัวที่ยังมีราคาก็คือ 1964 1965 1966 ในรุ่น First Generation นั่นแหละ 

ส่วน Generation ที่ 2 ปี 1967 1968 ก็ยังมีราคา ยิ่งถ้าเป็นรุ่นพิเศษเผลอ ๆ จะมีราคามากกว่าด้วย อย่าลืมว่า Mustang เองก็มี Limited Edition นะ มันยังมี Mustang ที่แต่งแบบ GT ก็มี หรือไม่ก็เป็น Mustang ที่ถ้าใครเคยดูในหนัง Ford V Ferrari (2019) ที่ Carroll Shelby นำ Mustang ไปปรับเครื่องยนต์ลงสนามแข่ง อันนั้นจะเป็นลายเซ็น ตัวพิเศษที่มันลงท้ายด้วยการเปลี่ยนโลโก้จากม้าเป็นงูเห่า Cobra เฉพาะสำนักนั้นที่ออกแบบโดย Carroll Shelby เป็นคนแต่ง ก็จะเป็นของที่หายาก CC กำลังเครื่อง Platform ต่าง ๆ ก็เป็น High Performance ในหนัง Nicolas Cage อันนั้นคือ Shelby GT500 ซึ่งเป็นตัวที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่ Mustang ที่ Carroll Shelby เป็นคนทำ

UNLOCKMEN : จากรถใช้ในชีวิตประจำวันกลายเป็นรถแข่ง ?

รถแข่งเลยครับ คิดง่าย ๆ ว่าเก๋าไหม ทำ Ford GT40 ซึ่ง Carroll Shelby ก็เป็นคนทำใน Step เครื่องแบบนั้นทำไปแข่งกับ Ferrari แล้วชนะได้

เมื่อรู้ประวัติศาสตร์และข้อมูลของแต่ละรุ่นพอสังเขปแล้ว ทีนี้เราก็อยากรู้ว่าแล้วในประเทศไทยมีคนคลั่งรถ Classic Mustang แบบหมอโดมเยอะแค่ไหน ถึงขนาดเป็นคอมมูลนิตี้ใหญ่กันเลยรึเปล่า

มีครับ สมัยยุคอินเทอร์เน็ตเข้ามาใหม่ ๆ จะมีกลุ่ม Thai-American Car Club อันนี้น่าจะมาก่อนเลย แต่กลุ่มนั้นจะไม่ได้มีแค่ Mustang นะ สมัยนั้น Mustang อาจจะน้อยเขาก็เลยรวมรถอเมริกันทั้งหมดมารวมกัน มีทั้งรถเก๋ง กระบะ รถตู้ COE รวมกัน ทั้ง Economy Car ทั้ง Muscle Car ทั้ง Executive Car ทั้ง Full Size อะไรรวมกันหมดเลยเป็น แล้วก็มีแยกย่อยออกมาเป็นกลุ่ม Muscle Car Thailand อันนี้ก็จำแนกหน่อย แยกเป็นพวก Mustang เป็น Muscle Car เป็นพวก Dodge Charger Challenger อะไรพวกนี้

แต่อย่าลืมว่าถ้าพูดถึง Mustang ก็ต้องพูดถึงคู่ปรับเขาด้วย Chevrolet Camaro เพราะพอ Mustang ออกมาแล้วเริ่มโด่งดัง เป็นที่นิยมจาก First Generation ค่ายของ Chevrolet ก็รู้สึกว่า นายมีเราต้องมีบ้างแหละ เขาก็เลยออกแบบเกิดเป็นตระกูล Chevrolet Camaro ขึ้นมา ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ Bumblebee ใน Transformer (2007) ดีไซน์ของ Camaro ก็ไม่ได้เป็นรองนะ ถ้าคนที่ชอบความบึกบึน ชอบดีไซน์ที่ฉีกจาก Mustang ไปหน่อยและเป็นดีไซน์ของ Chevrolet ก็ตอบโจทย์

UNLOCKMEN : แล้วถ้าพูดถึงคนเล่น Classic Mustang เขาจะนิยมแต่งกันแบบไหน

การแต่งสมรรถนะหรืออะไรพวกนี้พี่มองว่ามันไม่ใช่จุดประสงค์แรกที่ Mustang ถูกทำออกมา จุดประสงค์แรกมันทำเพื่อเปลี่ยนวัฒนธรรม เพื่อเพิ่ม segment ของรถก่อน ให้คนหนุ่มสาว ให้วัยรุ่นคนทำงาน คนอเมริกันในยุคนั้นที่เพิ่งเติบโตขึ้นมาได้มีวัฒนธรรมใหม่ แล้ว Mustang มันตอบตรงนั้นมากกว่า สำหรับการเอามาแต่งพี่ว่ามันมาทีหลัง

UNLOCKMEN : โดยส่วนตัวของหมอโดมเองคิดว่าจุดเด่นอะไรของ Mustang ยุค Classic ที่ทำให้เราเกิดความหลงใหลเอามาก ๆ

ถามว่าความยูนีคเหรอ เอาจริง ๆ รถอเมริกันฝั่งนี้พี่ชอบทุกรุ่นทุกแบบ เพราะเราเล่นหลายอย่าง แต่ถามว่าทำไมถึงชอบ Mustang  พี่ว่าการเล่นรถของคนไทย มันเป็นการเล่นรถที่เผื่ออนาคต เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีไว้ในครอบครองเหมือนคุณมีอสังหาชิ้นหนึ่งที่ราคามันเหวี่ยงขึ้นไปตลอด เรารู้สึกว่าไม่ว่ามันอยู่ในสภาพไหนเราจะไม่ขาดทุนกับมัน เมื่อเวลามันผ่านไป พี่เลยมองว่าเสน่ห์มันอย่างหนึ่งคืออันนี้

อันที่สอง อีกสิ่งที่พี่ว่า Mustang ได้รับความนิยมและไปอยู่ในภาพยนตร์ MV เอาง่าย ๆ เพราะพี่ไม่เคยเห็นรถ Mustang เป็นตัวร้ายน่ะ ขับแต่ละทีก็เป็นพระเอกตลอดเลย Tokyo Drip ขนาดวางเครื่อง Nissan RB Engine แล้วก็ยังดริฟต์ชนะ หรือโจรขโมยรถใน Gone In 60 Seconds พระเอกก็ยังขับ Mustang หรือรถแข่งในหนังโบราณ ส่วนใหญ่มันก็เป็นรถพระเอก พี่ว่านั่นก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่มันได้รับความนิยม มันมาจากสื่อ


UNLOCKMEN : พูดถึง Classic Mustang ในฝั่งของ Collector กันหน่อยดีกว่า เข้าใจว่าจะมีคนที่เก็บแบบ Conservative กับฝั่งที่ Restoration เลย อยากรู้ว่าต่างกันมากมั้ย 

ต่าง มันก็เป็นเรื่องที่เราต้องตอบแบบไม่ได้เอาหล่อนะ มันคือเรื่องรสนิยม เรื่องความชอบแต่ละบุคคลซึ่งเราไม่อาจเอาใครไปตัดสินใคร แม้กระทั่งเพื่อนฝูงกันเองยังชอบไม่เหมือนกันเลย แม้กระทั่งการทำรถแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

ถ้าให้เล่าย้อนไป อย่างการทำรถแบบพี่เป็นหลังคาแข็งแต่พี่อยากได้เปิดประทุน วันนั้นเปิดประทุนมันแพงมากพี่ไม่มีปัญญาซื้อแต่พี่มีปัญญาหาอะไหล่ เห็นแล้วว่ามันมีโครงประทุนขาย มี accessories สั่งได้ เราสามารถมีรถเปิดประทุนแบบที่เราชอบโดยที่พื้นฐานรถของเราเป็นหลังคาแข็ง เราสามารถดัดแปลงได้ ซึ่งบางมุมของคนที่เล่นรถในแบบอนุรักษ์นิยมเขาอาจจะเสียดายรถ จะทำทำไม แต่ในมุมพี่ที่พี่เป็น Custom Made พี่รู้สึกว่ารถก็รถกู เงินก็เงินกู มึงไม่มีสิทธิ์มาตัดสินกู กูอยากทำของกูอย่างนี้กูมีความสุข

พี่ก็จะเป็นมุมที่ว่าอยากทำแบบนี้ก็ทำ พี่ก็ตัดหลังคา ดามโครงสร้าง ย้ายจากพวงมาลัยข้างซ้ายมาอยู่ข้างขวาเลยเพราะเราขับเมืองไทย ก็แทงสวนตลอด ที่ปัดน้ำฝนพี่ก็กลับมาอีกทาง สวิตช์ก็ปรับ เราก็เป็น Mustang แบบ Australian Specs ก็เป็นความชอบปรับมาให้เป็นเรา 

ส่วนเรื่องพาร์ทเครื่องยนต์ ช่วงล่าง อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวของพี่นะ พี่ผ่านรถมาทุกชนิด พี่จะคำนึงถึงจุดดี  จุดด้อย และจุดอ่อนของรถเสมอ เพราะพี่เปรียบรถของตัวเองเป็นเหมือน ‘ผีเสื้อ’ แม่งต้องไม่โดนสตัฟฟ์อะ ถ้าทำแบบ Original แล้วมันใช้งานได้ไม่สมบูรณ์ พี่คงไม่เลือกแบบนั้น พี่คงเลือกปรับในมุมของพี่ พี่ก็ใช้เครื่องญี่ปุ่นใส่ เพราะพี่รู้สึกว่าการดูแลทุกอย่างมันง่าย พี่ก็เลือกใช้ 2jz vvti ที่มันใส่ใน Toyota พี่ก็เซ็ตช่วงล่างเป็นญี่ปุ่นผสมผสานเพื่อจะเอา Quality ให้เกิดการใช้งานได้สมบูรณ์ แต่รูปลักษณ์ภายนอกของมันก็ยังคงเอกลักษณ์ของ Mustang ไว้ เพราะเราชอบ แต่ในเรื่องของการขับเราก็อยากหยิบกุญแจสตาร์ทขับสบายแอร์เย็นแล้วก็ไปเลย

แต่ถามว่าบางคน บางกลุ่มที่เขาเป็น Conservative (อนุรักษ์นิยม) ที่อยากได้รถเดิม Original แล้วใช้งานได้สมบูรณ์ มันเป็นไปได้ แล้วพี่ก็ทำทั้ง 2 อย่างด้วย อย่างที่ทำรถให้เพื่อน ให้ลูกพี่น้าเน็ก พี่ก็ทำเดิม เครื่อง 289 Engine บูรณะใหม่ทั้งเครื่อง โอเวอร์ฮอลเกียร์ (Overhaul) แบบเต็มระบบ แต่อย่าลืมว่าการทำพวกนี้ บัดเจ็ทมันจะสูงกว่านะ ถามว่าการใช้งานทำให้ได้ดีได้เลย แต่ก็ต้องเติมทุกอย่างลงไป ทุกอย่างมันก็ต้องแลกกัน ส่วนของพี่อาจไม่เดิมแต่ใช้งานดีดูแลง่าย ไปเสียบนดอย แม้วบนดอยยังรู้จักเครื่อง J เลย อะไหล่ต่าง ๆ เราสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป แต่ของบางอย่างที่เป็น Original ก็ต้องใช้การดูแลมากขึ้น ต้องใช้เงิน maintenance มากขึ้น คนที่เขาเล่นแบบนั้นเขาอาจได้เรื่องของความภาคภูมิใจ การรักษามันไว้ในแบบนั้นและสามารถใช้งานได้จริงด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีใครผิดใครถูก เราอย่าไปตัดสินใคร

UNLOCKMEN : ความต่างของ Conservative Collector ที่ต้องทำเดิมทุกอย่าง กับสาย Custom Collector ทำเครื่องใหม่ แต่ง เพื่อใช้งาน และเพื่ออื่น ๆ ต่างกันอย่างไรบ้าง

เรื่องนี้ให้คำตอบได้ไม่ 100% เพราะ Collector บางคนก็ไม่ได้เก็บสะสมอย่างเดียวนะ บางคนก็อยากได้ Daily Use Car เหมือนกัน Collector บางคนก็จะมีรายละเอียดย่อย บางคนอาจไม่ได้ใช้เครื่องญี่ปุ่น เขาอยากได้น้ำเสียงแบบ V8 ใช้เครื่องญี่ปุ่นแต่เขยิบไปเป็น UZ เอาเครื่อง Lexus มาใส่เพื่อให้น้ำเสียงเวลาที่ยังไม่เปิดฝากระโปรงคือ Mustang เลย

หรือไม่ก็ไปเอาเครื่อง V8 ของฝั่งอเมริกันตัวใหม่ ๆ มาใส่ ที่เป็นหัวฉีดแล้วเพื่อมาอัพสมรรถนะมันก็มี Collector บางคนก็ทำแบบนั้น หรือไม่ Collector บางคนก็สุดโต่งไปเลย ต้องเดิมทุกเม็ด ต้องทำทุกอย่างให้เป็นเดิม ถ้าจ้างคนอเมริกันมาเป่าลมยางได้คงทำไปแล้ว

UNLOCKMEN : ซึ่งถ้าเราพูดกันระหว่างแบบ Custom กับแบบทำเดิมเลยแบบไหนจะได้ราคาดีกว่ากัน

แน่นอนตอบได้เลยว่าสุดท้ายแล้วเหมือนกัน รถก็คือรถ คิดง่าย ๆ ไม่ต้อง Mustang หรอก รถที่ออกมาใหม่ใส่ของแต่ง เปลี่ยนล้อแม็กซ์ ลงเครื่องเสียง เกวัดมาเป็นลูกระนาดเลย พี่ถามว่าเวลาจะขายเป็นมือ 2 รถเดิมที่ไม่เคยทำอะไรเลยกับรถพวกนั้น เต็นท์ให้ราคาอันไหนมากกว่ากัน ‘รถเดิม’ แน่นอน 

Classic Mustang ก็ไม่นับของแต่ง เป็นเหมือนกัน ในมุมกลไกลราคาพี่มองว่าอันนี้คือของเล่น ของสะสมซึ่งบางอย่างอาจมีกลไกตลาดผูกเข้าไปด้วยว่าถ้าเป็นเดิมราคามันจะเยอะกว่านะ แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ซื้อขายกันตามความพอใจอยู่ดี


หมอโดมเล่าให้ฟังต่อว่า Classic Mustang ที่เป็นในรุ่น First Generation ราคาตลาดโลกดีดไปที่ 7 หลักแล้ว ต่อให้มาเป็นซากรถก็อยู่ในหลักตัวเลขเท่ากัน ความอยากรู้อยากเห็นเกิดขึ้นทั้งที ถ้างั้นแสดงว่ากว่าจะประกอบเป็นรถ Classic Mustang ที่สมบูรณ์วิ่งได้หนึ่งคัน ก็คงต้องใช้อะไหล่ที่มีราคาสูงและหาได้ไม่ง่ายอย่างแน่นอน เราขอให้หมอโดมช่วยเล่าภาพนั้นของช่างให้ฟัง  

UNLOCKMEN : ช่างทำ Mustang ในยุคที่อินเทอร์เน็ตยังไม่เข้ามามีความยากลำบากอย่างไรบ้าง

ลำเค็ญเลยล่ะ ในมุมมองของช่างจะแบ่งเป็น 2 ยก ยกแรกก็คือ ถ้าสมมติเป็นเครื่องเดิมก็จะลำบากละ ต้องหาอะไหล่ หาผู้เชี่ยวชาญ หาอู่กูรูหรือผู้ชำนาญงานในด้านนั้นจริง ๆ ที่เคยทำ เคยคลุกคลีกับ American Car ซึ่ง ณ วันนั้นในเมืองไทยมันก็น้อย เราแทบจะพูดชื่อได้เลยว่ามีใครบ้าง ก็ต้องไปต่อคิวกัน รถก็จอดเป็นตับเพื่อทำให้เป็นรถเดิม ส่วนคนที่รอไม่ไหว อะไรก็ได้ขอให้รูปร่างหน้าตามันเดิม 

ยุคก่อนพอมันเริ่มยากเรื่องการหาอะไหล่ หาคนทำ บางคนก็ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องเลยดีกว่า เพราะก็จะสามารถทำได้เลยถูกไหม ความรู้ ทักษะของคนไทยเก่งอยู่แล้วในเรื่องการดัดแปลง แต่พอมาวันหนึ่งในยุคที่อินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู โลกทุกอย่างถูกเชื่อมเข้าหากัน เชื่อไหม ของทุกอย่าง รวมถึงชุดความรู้วันนี้พี่ก็ไม่ต้องใช้หนังสือแล้ว กดคลิกเดียวสามารถบอกพาร์ท บอกนัมเบอร์ทุกอย่างได้เลย มันก็จะสะดวก แม้กระทั่งการสั่งอะไหล่ เราสามารถสั่ง door-to-door ส่งถึงบ้านได้เลยจากอเมริกา เป็นเรื่องตอบโจทย์ของความง่ายในการบูรณะรถของยุคนี้

เรื่องของการทำเครื่องยนต์ช่วงล่าง ช่างบางคนมีเบสิกช่าง ขอแค่มีของเสิร์ฟอะไหล่ไปเขาก็ทำได้เลย เพราะเขาสามารถโหลดแผนผัง โหลด circuit ทุกอย่างของการบูรณะ ใน YouTube มีให้ดูทุกขั้นตอนเลย ต้องการซ่อมอันนี้จะใส่อย่างไร โลกมันไปไกลมากแล้ว อันนี้ก็เป็นข้อแตกต่างกันระหว่างยุคนั้นกับยุคนี้ 

แล้วก็ ณ วันนี้ราคาทำมันถูกลงด้วยนะ เพราะความยากในการหาของมันน้อยลง เมื่อก่อนมันยาก มันก็ต้องมีมูลค่าค่อนข้างเยอะ ตอนนี้ของทุกชนิดก็สั่งได้ ของบางอย่างของ Mustang มันเริ่มราคาถูกลงด้วยส่วนหนึ่งเพราะมีงาน re-product เมื่อก่อนต้องหาพวกของแท้ New Old Stock (NOS) แต่ทุกวันนี้อะไหล่ใหม่ ๆ มันมีการทำขึ้นมาใหม่ ปั๊มขึ้นมาใหม่ สร้างขึ้นมาใหม่ ทำให้การบูรณะรถถ้านับเฉพาะ Mustang นะ สนุกขึ้นและมีหลากหลายขึ้น สามารถทำได้สะดวกสบายและง่ายขึ้นกว่ายุคเก่ามาก

UNLOCKMEN : ในการใช้งาน Classic Mustang เป็นรถที่ดื้อมั้ย หมอโดมเคยมีประสบการณ์ Bad Trip กับรถของตัวเองบ้างรึเปล่า

เอาจริง ๆ ไหม Mustang มันไม่เคยดื้อกับพี่เลย พี่อยากสตาร์ทมันวันไหนพี่ก็ขับมันออกไปได้เลย เพราะเป็นเครื่องญี่ปุ่นพี่ก็ดูแลเหมือนรถญี่ปุ่นรถบ้านทั่วไป อีกอย่างเราทำมันเองด้วยไง สถิติ 100% มันไม่เคยตายกลางทางหรือขึ้นรถสไลด์กลับอู่ เพราะเราเองก็ดูแลมันมาตลอด

UNLOCKMEN : แล้วแก๊งเพื่อนที่ขับด้วยกันที่หมอโดมเคยทำรถให้มีปัญหากันบ้างมั้ย

ไม่ใช่ Classic Mustang อย่างเดียวนะ รถเก่าก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละ เพราะรถมันคือเครื่องจักรไง รถใหม่ 10,000 กิโล run-in เท่านั้นยังต้องเข้าศูนย์เลย แต่รถรุ่นนี้มันย้อนถอยหลังไป 50-60 ปี แล้วเราจะไม่ดูแลมันอีกเหรอ ยิ่งดูแลมากเท่าไร โอกาสในการเสียมันก็จะน้อยลงเท่านั้น อันนี้วิธีคิดแบบพี่นะ ยิ่งดูแล ยิ่งมีโอกาสได้ใช้ ได้สตาร์ท ได้ขับ ได้เรียนรู้กับมัน ปรับตัวเราเข้าหารถอันนี้เรื่องสำคัญบางอย่างรถไม่ได้ผิด ผิดที่คน ถ้าแก้ที่คนก่อนก็จบ 

“การเล่นรถเก่าไม่ว่าจะ Mustang หรือรุ่นไหนอันนี้พูดรวมเลยนะ ถ้ายังไม่สนุกกับการซ่อม อย่าคิดเล่น เราต้องสนุกกับมันก่อน”


UNLOCKMEN : ความสุขในการขับรถ Classic Mustang ของหมอโดม มีหน้าตาแบบไหน

ตอบแบบพี่เลยนะ Mustang มันก็ไม่ได้ขับดีกว่ารถคันอื่นหรอก ระบบช่วงล่าง กลไกอะไรบางอย่าง ถ้ามาแบบ Original มันก็รถกระบะดี ๆ นี่เองอะ ความนุ่มนวลอาจสู้ไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งเลยที่ Mustang ให้ได้ คือเวลาขึ้นไปอยู่หลังพวงมาลัยกับมันแล้วออกไปไหนมาไหน มันสะกดทุกสายตา บางทีในมุมคนขับบางทีมันก็มีเขินอยู่เหมือนกัน 

แต่ถามว่าเวลาไปรวมตัวกันเยอะ ๆ มันก็เพลิน มีความสุขนะ ในวันที่เราชิล เราว่าง เราได้เอามันออกไปใช้ ไปท่องเที่ยวที่ต่าง ๆ ที่เราอยากไป อันนี้ตอบโจทย์ความสุข Mustang ทำได้ แต่ที่เมื่อกี้ตอบไปว่ามันดีกว่ารถอื่นไหม ต้องพูดตามความจริงรถใหม่ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว เพราะอันนี้มันก็คือรถเก่าชนิดหนึ่ง แต่ถ้าถามต่อไปอีกว่าขับลำบากไหม บอกเลยถ้าทำสมบูรณ์จริง ๆ ไม่ได้ลำบากอะไรเลย ขับง่าย ขับสบาย ของพี่เกียร์ออโต้ด้วยซ้ำ ขับรถติดในกรุงเทพ มีพัดลมไฟฟ้า แอร์เย็น เพลงเพราะ ใช้ชีวิตอยู่กับมันได้

แต่สำหรับพี่มันไม่ใช่เฉพาะ Classic Mustang หรอก ให้เป็นรถเก่ารถบุโรทั่ง ถ้าเราเป็นคนปั้นขึ้นมา มันมีความรู้สึกภูมิใจเสมอ ไม่ว่าจะทำเองหรือจ้างเขาทำ สุดท้ายทำเสร็จแล้วมันคือรถเรา จงภูมิใจกับมัน 

แล้วการครอบครอง Mustang สำหรับพี่อาจไม่เหมือนคนอื่นอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นคนอื่นเวลาไปจอดตรงไหนอาจต้องไปจอดที่ที่จำเพาะ ใครมาพิงรถถ่ายรูปหรืออะไรอย่างนี้ไม่ได้ แต่เขาไม่ผิดนะ อันนี้เป็นมารยาทของมนุษย์อยู่แล้วในการจะไปลูบสัมผัสหรือแตะต้องกับรถคนอื่น อันนี้ต้องพูดกันเรื่องจริงว่าเราควรให้เกียรติกับรถ แต่สำหรับพี่รู้สึกว่ารถมันสามารถทำให้เราได้เพื่อน ได้มิตรภาพ พี่จะยินดีที่ทุกคนมาถ่ายรูปกับรถเรา มาสัมผัส บางคนพี่ก็เปิดประตูให้เขาเข้าไปนั่งแล้วพี่ถ่ายรูปให้เขาเลยด้วยซ้ำ พี่รู้สึกว่ามันสามารถสร้างรอยยิ้มได้ 

สิ่งหนึ่งที่พี่ได้จาก Mustang คือมันสร้างรายได้ให้พี่ด้วย มันก็เป็นเหมือนศิลปินคนหนึ่งที่เราทำมันมาเสร็จแล้ว จะมีงานหนัง โฆษณา MV ภาพนิ่ง ถ่ายแบบ ใครมาติดต่อขอเช่าพี่ให้เช่าหมด มันก็จะเดินทางไปในโลกของมันแล้วพี่ก็จะเห็นภาพมันในหลาย ๆ มุม นี่มันไปถ่ายโฆษณาของญี่ปุ่นนะ ของจีน ของอินเดีย รัสเซีย เราก็เก็บบันทึกความทรงจำนั้น โดยที่ไม่ได้ขับมันเลยแต่ก็จะได้ความทรงจำนั้นกลับมาด้วย

UNLOCKMEN : แสดงว่าหมอโดมไม่หวงรถเลย 

พี่ก็คงตอบในมุมที่เป็นช่างทำรถ “ไม่เป็นไรหรอก” ถ้ามันจะเป็นอะไรเดี๋ยวพี่ซ่อมได้ พี่ทำให้มันกลับมาได้ ของบางอย่างพี่รู้ว่าออกไปแล้วเกิดการชำรุด ชำรุดได้เลย เพราะซื้ออะไหล่ของใหม่มารอไว้แล้ว เดี๋ยวเราค่อยเปลี่ยนก็ได้ “พี่ว่าความรู้สึกของคนสำคัญกว่ารถ” ของมันยังซ่อมได้ บูรณะได้ แต่จิตใจของคนถ้ามันสูญเสียไปกับเรา พี่ว่าอันนั้นบางทีมันเรียกคืนยาก

การผ่านรถมาแล้วทุกชนิดในชีวิตของหมอโดม รู้ไหมทำไมพี่ถึงเก็บ Mustang เอาไว้คันเดียว เพราะตอนที่ทำรายการรถนิยม หรือช่องหมอหมาการาจ (Dogtor Garage) พี่ดันเอาคันนี้ขึ้นไปเป็นโลโก้ไง มันก็เลยขายทิ้งไม่ได้ มันกลายเป็นสัญลักษณ์สำหรับตัวเรากับ Mustang ที่ขับขวาแบบนี้ สีแบบนี้ พี่ก็ไม่อายด้วยนะว่าใครจะบอกว่าของพี่เป็นรถหลังคาแข็งแปลงเป็นเปิดประทุน แล้วไง กูก็แปลงไง และเป็นเครื่องญี่ปุ่นด้วย มีความสุขอยู่กับมันได้สบาย ๆ


UNLOCKMEN : หมอโดมคิดว่าคาแรกเตอร์ความเป็นรถ Mustang เหมาะกับคนขับประเภทไหน

มันได้ทุกคาแรกเตอร์ Mustang เป็น Pony Car ที่ไปได้หลายแนว คุณจะเป็น Sport Car เป็นซิ่งก็ได้ คุณจะเป็นลุคคุณหลวงคุณชายก็ได้ ลุควัยรุ่น เป็นเด็ก Gangster เป็น Lowrider ข้อดีของ Mustang คือฉีกไปได้ทุกเวย์ที่อยากไป นี่คือเสน่ห์อีกอย่าง

UNLOCKMEN : สำหรับวิชาชีพของช่างทำรถยนตร์ การทำ Classic Mustang ได้สอนอะไรหมอโดมบ้าง

เราได้เรียนรู้การวางระบบ ‘การรอนี่สำคัญ’ เล่นได้ รักได้ ต้องรอได้ ของบางสิ่งบางอย่าง การบูรณะไม่ได้เป็นเหมือนของในเซเว่นที่วิ่งไปซื้อแล้วมันมีเลย มันต้องมีการรอ การวางแผน การทำขั้นตอน 1 2 3 4 ควรทำอะไรก่อน พี่สอนเสมอในคัมภีร์เล่นรถเก่า เหมือนที่เคยสัมภาษณ์ว่าติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก เม็ดต่อ ๆ ไปเราจะสามารถทำงานสะดวก และง่ายขึ้น และเราจะไม่เหนื่อยไม่รู้สึกว่ารถนั้นเป็นภาระสำหรับเรา

พี่ไม่อยากให้คนเล่นรถดีใจ 2 วัน วันแรกคือดีใจที่ได้มันมา วันที่สองคือดีใจที่มึงออกจากชีวิตกูไปได้แล้ว ให้เรามีความสุขกับมันโดยลำดับความสำคัญ พี่ได้อะไรจากมันมาเยอะ จากเรื่องนี้ และได้เรื่องคุณค่าทางจิตใจ

ของบางอย่างอาจจะขับไป ซ่อมไป พังไป แต่เรื่องราวระหว่างทางมันจะอยู่ในความทรงจำ นึกถึงมันเมื่อไรเราก็ยิ้ม มันเคยเสียตรงนี้ เราเคยปั้นมันมาแบบนี้ เราเคยรออะไหล่กว่าจะได้มา ทุกอย่างเป็นเรื่องเล่า เป็นสตอรี่ของมัน พี่ให้ความสำคัญกับสตอรี่มากกว่ามูลค่าของเงิน

UNLOCKMEN : ถ้างั้นแบบนี้คนที่จะเล่นรถ Classic Mustang จะต้องมีทัศนคติแบบไหนสำคัญที่สุด

เล่นรถ classic ไม่จำเพาะแค่ Mustang นะ ‘ทัศนคติสำคัญสุด’ คุณต้องมีทัศนคติที่เข้าใจมันจริง ๆ เข้าใจในแบบที่เปิดใจยอมรับในสิ่งที่มันเป็น รถก็คือรถ รถคือเครื่องจักร เสียผุพังก็ซ่อม เป็นเรื่องธรรมดา แล้วสิ่งหนึ่งที่เราห้ามไม่ได้คือกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติสร้างมาให้มันมีอยู่อย่างนี้แล้วค่อย ๆ สลาย ลดลำดับ เสื่อมโทรม ตามสภาพ เราจะอยู่ในจุดไหนของมันเราก็จะสามารถมีความสุขกับมันได้ในช่วงเวลาไหนแค่นั้นเอง

UNLOCKMEN : แล้วต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง การเก็บเงิน การศึกษาข้อมูล ในการจะมี Classic Mustang เป็นของตัวเองหนึ่งคัน

เตรียมง่าย ๆ เลย ไปใช้ชีวิตมนุษย์ให้สมบูรณ์ก่อน 1. มึงต้องเลิกแบมือของเงินพ่อแม่ 2. ทำมาหาเลี้ยงชีพได้ด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวกับรถเลยเนาะ 3. มีกิน มีใช้ มีเหลือพอที่จะเล่นและดูแลมันได้อย่างมีความสุข ตราบใดที่คุณมีเรื่องพวกนี้ไม่ครบ มันจะไม่ตอบโจทย์ที่คุณจะเล่นรถ Classic 

มันคือเรื่องของปิรามิด 3 อย่าง เงิน ความรัก และเวลา ให้บาลานซ์ 3 อันนี้ก่อน ทำชีวิตมนุษย์ให้ดี มีคุณภาพชีวิตทุกอย่างครบ มีปัจจัยพอที่จะเล่นมัน มีความรักให้กับมันหรือยัง พี่ใช้คำว่าความรักเลยนะ ถ้าเราแค่ชอบมันอย่างเดียวพรุ่งนี้ก็เลิกชอบได้ แต่ถ้ารักแล้วเราจะอยู่กับมันทั้งชีวิต แล้วก็เลือกมุมว่าเราจะรักมันในแบบไหน รักมันไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นเราก็จะอยู่กับมัน เราก็จะเรียนรู้กับมัน ปรับตัวเข้าหามัน นี่คือความรัก และสุดท้ายคือเวลา เรามีเวลาพร้อมที่จะอยู่กับมันหรือเปล่า เรามีเวลาพร้อมที่จะดูแลบูรณะ และใช้เวลาร่วมกันกับมันหรือเปล่า 

แต่ความรักอย่างเดียวก็ไม่พอต้องมีความรู้ด้วย ความรู้มันจะแบ่งเป็น 2 อย่าง ความรู้แบบ ‘เสียเงิน’ กับ ‘ยังไม่เสียเงิน’ ใช้ความรู้แบบยังไม่เสียเงินก่อน เรายังมีมือถือ มีอินเทอร์เน็ต ศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุดก่อนจะลงไปเล่นมัน แต่ถ้าเป็นความรู้แบบเสียเงินก็คือไปซื้อมาลองเลย อันนี้ลองผิดลองถูก พี่ฝึกมาทั้งสองอย่างแล้ว พี่จะบอกว่าฝึกได้ทั้งสองวิธีแหละ แต่วิธีไหนลำบากกว่ากันก็ต้องไปใช้วิจารณญาณคิดเอา แต่พี่จะแนะนำให้ว่าใช้ความรู้โดยยังไม่เสียเงินก่อนดีกว่า ศึกษาหาความรู้ หาข้อมูล ซื้อมาแล้วใครจะทำ ใครเป็นคนบูรณะ ซ่อมที่ไหน ประเมินตัวเอง ประเมินสิ่งที่ได้มา แล้ววันหนึ่งเราอยู่กับมันอย่างมีความสุข

UNLOCKMEN : ต้องมีความรู้ที่ลึกขนาดไหนถึงจะเริ่มเล่นรถ Classic Mustang ได้ 

ถามว่ารู้แค่ไหน พี่มองว่าไม่ต้องรู้ลึก แต่รู้ให้กว้าง สมมติอยากได้ Classic Mustang แต่ไปซื้อปี 1970 กว่าอย่างที่พี่บอกเพราะราคามันถูก วันหนึ่งมาเสียดายว่า “มันมี Generation แรกด้วยเหรอ?” ชอบอันนี้แต่ซื้ออีกอันมาแล้ว สุดท้ายก็ต้องขายไปซื้อใหม่ ควรเลือกเล่นตามความรู้ เพราะฉะนั้นพี่คิดว่าควรรู้ให้กว้างก่อน ว่ามันแบ่งเป็น Generation แบบไหนมีหน้าตาอย่างไรบ้าง รู้จักรูปร่างหน้าตากลไกของมันที่อยู่ในตลาดว่ามันอยู่ใน budget เท่าไรและเรามีพอรึเปล่า พี่ว่ารู้ตรงนั้นก่อนดีกว่าเราจะได้เลือกเล่นโดยไม่บาดเจ็บ

UNLOCKMEN : แล้วจะคุมบัดเจ็ทยังไงได้บ้าง ต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่

อันนี้ตอบยากเลย เราลองคิดนะ สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือการควบคุมก็คือ ‘ดวง’ บางทีรถมันเลือกคน เราอาจจะไปเจอ Mustang จอดซุ่มตายอยู่ในสวนในไร่ ในโรงสีหรืออะไรก็ได้ เขาอาจจะขายให้เราหลักแสนก็ได้ ความ Classic มันอยู่ตรงนี้ มันเดาไม่ได้ วันหนึ่งเขาอาจให้เราฟรีก็ได้นะถ้าเราคุยกับเขาถูกใจ พี่เลยไม่พยายามไปขีดว่ามันจะต้องเท่าไร แต่ถามพี่เอาแบบตรงที่สุดไม่อ้อมค้อม ก็เกิน 7 หลักถึงจะพอเอามันอยู่ เพราะฉะนั้นรีบทำงาน รีบหาเงิน จะได้มีความสุขกับมัน

UNLOCKMEN : ในวันที่มีรถแล้ว การเลือกอู่สำหรับทำรถ Mustang ทำอย่างไรให้ไม่โดนโกง

เดี๋ยวนี้อู่เยอะ มีให้เลือกเพียบเลย พิมพ์ใน Google ไปก็ขึ้น พี่มองอย่างนี้ ก่อนจะเลือกอู่ ไม่ใช่อยู่ ๆ เลือกจิ้มจากในอากาศแล้วเอารถไปหาเขาเลย ‘การสื่อสาร’ สำคัญที่สุด ควรไปสื่อสารกันก่อน แนวทางของเรา-ความถนัดของอู่ อย่างเช่น อู่ทำเครื่องรถอเมริกันแต่เราส่งรถไปทำสี เขาเป็นช่างเครื่องแต่คุณให้เขาบูรณะ Body มันผิดไง Put The Right Man On The Right Job น่ะ สีต้องทำตรงไหน เครื่องต้องทำตรงไหน ระบบไฟ แอร์ต้องทำตรงไหน การประกอบที่ละเมียด งาน interior ต้องทำตรงไหน เรียนรู้ก่อนและวางแผนก่อน หรือไม่เรียนรู้อะไรเลย ใช้เงินแก้ปัญหา ไปดูเลยว่ามี Project Manager คนไหนเก่ง ๆ และทำรถให้เราได้

UNLOCKMEN : Project Manager คืออะไร ?

Project Manager เขาไม่ได้มีอู่ของตัวเองแต่เป็นคนที่รู้ทุกพาร์ท ทุกอย่างที่ครอบคลุมเกี่ยวกับกับการบูรณะ เขาก็จะส่งรถเราไปตามสถานีต่าง ๆ เป็นคนกลางดูรถให้เรา เราไม่ต้องดูอะไรเลย แต่คุณต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เขา อันนี้แล้วแต่ตกลงกันว่าอย่างไรบ้าง จริง ๆ อาชีพนี้มีมานานแล้วแต่พี่แค่บัญญัติให้มันว่านี่คืออาชีพ Project Manager ซึ่งใครก็ตามที่เล่นรถแล้วมีกำลังพอ ก็สามารถใช้ได้นะ เพราะเราไม่ต้องนั่งปวดหัวกับช่าง เขาจะประสานให้หมด เรามีหน้าที่หาเงิน เขาก็ไปเคลียร์ คุย ดูแลให้เรา เราก็เป็นคนคอยยืนยันสุดท้ายว่าโอเคหรือเปล่า Project Manager ไม่ได้มีบริษัท ส่วนใหญ่ต้องตามหาดูว่าในรถแต่ละรุ่น ความถนัดแต่ละอย่างเขาจะถนัดแบบไหน แล้วเขาคงไม่ได้รับงานครอบคลุมเพราะว่าพวกนี้ต้องใช้เวลา


UNLOCKMEN : ถ้าเปรียบ Mustang เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่ง เขาจะเป็นเพื่อนแบบไหน

“ถ้าเปรียบ Mustang เป็นคน พี่ว่าก็คงเป็นเพื่อนตอนสมัยมัธยม” 

คงไม่ใช่มหาวิทยาลัย ไม่ใช่อนุบาล ไม่ใช่ประถม เป็นเพื่อนที่เข้ามาในวันที่เราพอมีกำลัง กำลังในเรื่องของแรงกาย เพราะถ้าเด็กไปเลยเราคงเล่นมันไม่ได้หรอก พี่ว่ามันคงเป็นเพื่อนมัธยมที่เคยผ่านชีวิตในวัยเด็กมาด้วยกัน สนุกด้วยกัน ในการตามหาอะไรบางอย่าง และคงเป็นเพื่อนที่ไม่ต้องมีกำแพง สามารถด่ามันว่า “ไอ้เหี้ย!” มันคือเพื่อนมัธยมซึ่งมันมีความผูกพันในช่วงวัยรุ่นของเรา เพื่อนที่เคยทำเรื่องไร้สาระกัน มีความสุขกัน บันเทิงด้วยกัน

UNLOCKMEN : จนถึงวันนี้รถ Mustang ให้อะไรหมอโดมบ้าง

มันให้เพื่อน ให้มิตรภาพ ให้เงินทองด้วย ให้เอกลักษณ์ ให้ภาพจำเวลาที่เราขับมันไปไหนต่อไหน เหมือนเราอยู่ในจังหวัดนี้เราออกไปที่อื่นเขาก็จะรู้ว่ามันเป็นเรา มันจะมีภาพจำบางอย่าง และ Mustang มันให้ ‘สิ่งสุดท้ายที่เราอยากทำ’ ทำให้เราไปคิดต่อว่า วันหนึ่งถ้าขับมันไม่ไหว มันจะไปอยู่ตรงไหน สสารในโลกนี้ มันจะไปอยู่ตรงไหน 

ซึ่งพี่ก็เคยคิดด้วยนะ “ถ้าวันหนึ่งพี่ขับไม่ไหวพี่จะขายมันไหม” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยตอบเลย ซึ่งในอาชีพที่พี่เรียนมาเป็นสัตวแพทย์ พี่ก็เลี้ยงหมาจรจัด รักสิ่งมีชีวิตที่มันอยู่เป็นเพื่อนโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรกับเรา ถ้าของที่พี่รักที่สุดมันจะถูกแลกกับสิ่งที่พี่รักที่สุดในวันที่พี่ขับมันไม่ไหว ดูแลมันไม่ได้อีกแล้ว พี่โอเคเลย พี่อาจเอาคันนี้ขับเข้าไปในบริษัทอาหารหมาสักแห่ง แล้วตีมูลค่ามาว่ามันได้ราคาเท่าไร แล้วเอารถพี่ตามมูลค่านั้นขอแลกเป็นอาหารหมาทั้งหมดเลย แล้วเอาอาหารมาให้หมาจรจัด ให้มูลนิธิ ให้หมามันได้กิน ให้มันมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้ อาจเป็นมุมเท่มุมหนึ่งเลยที่อยากทำกับรถที่เรารักที่สุด : )


ถ้าบทสัมภาษณ์นี้ยังไม่จุใจล่ะก็ UNLOCKMEN ได้ทำคอนเทนต์เจาะลึกรายละเอียดม้าป่าของหมอโดม Ford Mustang (1966) Convertible สามารถติดตามต่อได้ที่ลิงก์นี้เลย https://www.unlockmen.com/ford-mustang-1966-1st-generation-convertible-dogtor-garage/

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line