MUSIC

UNLOCKMEN PLAYLIST : 10 เพลงฮิตแห่งยุคอีโม ที่ฟังแล้วอยากหยิบอายไลน์เนอร์มาเขียนขอบตาอีกซักครั้ง

By: JEDDY July 22, 2022

“อีโม” คือกระแสดนตรีในช่วงกลางยุค 2000’s ที่ฮิตกันไปทั่วโลกไม่เว้นแม้แต่บ้านเรา เด็กวัยรุ่นมากมายลุกขึ้นมาทำผมปัดเป๋, ย้อมสีจัดจ้าน, ทาขอบตาดำ, เสื้อและกางเกงรัดแน่น, เข็มขัดหมุดหนาม รวมไปถึงการเจาะตามร่างกาย กลายเป็นแฟชั่นที่สร้างภาพจำให้กับยุคนั้น

เดิมทีดนตรีอีโมมีรากเหง้ามาตั้งแต่ยุค 80’s แล้ว มันเติบโตมาจากวงการฮาร์ดคอร์พังก์ สไตล์การเล่นจะไม่ได้ดิบ ๆ แต่จะมีการสอดแทรกเมโลดี้และการร้องที่เน้นอารมณ์ หรือที่เรียกว่า “อีโมชันนัล”  แต่ในยุคก่อนส่วนมากจะเรียกดนตรีแนวนี้ว่า “โพสต์ฮาร์ดคอร์” ซะมากกว่า ก่อนจะถูกบรรดาค่ายเพลงยักษ์ใหญ่นำคำว่า “อีโม”มาทำการตลาดจนประสบความสำเร็จในการทำให้ดนตรีแนวนี้กลายเป็นเมนสตรีมในที่สุด อีกทั้งยังผลิตวงดนตรีเจ๋ง ๆ ออกมาเพียบ จนเราต้องจัดเพลย์ลิสต์ 10 เพลงสุดฮิตยุคอีโมเอามาฝากทุกคนกันครับ


“HELENA”

MY CHEMICAL ROMANCE

บอกตรง ๆ ว่าเลือกอยากจริง ๆ สำหรับเพลงของ My Chemical Romance แต่ที่ต้องเลือกเพลง “Helena” เพราะมันคือผลงานสร้างชื่อให้กับทางวงในระดับเมนสตรีม

เพลงนี้บรรจุอยู่ในอัลบั้ม “Three Cheers Sweet For Revenge” ที่วางจำหน่ายในปี 2004 สิ่งที่ทำให้เพลงนี้ได้รับความนิยมนอกจากตัวดนตรีก็คือตัว MV นั่นเอง วงถูกสไตล์ลิสต์จับมาแต่งตัวด้วยชุดสูทรสีดำ มีการแต่งหน้าสไตล์ออกไปทางกอธิก อีกทั้งซีนเต้นรำในโบสถ์ของนักแสดงยังทำออกมาได้สวยงามตราตรึงใจเป็นอย่างมาก


“BURIED MYSELF ALIVE”

THE USED

เป็นวงที่มีจุดพีคสูงสุดในช่วงกระแสดนตรีอีโมได้รับความนิยม โดยเฉพาะอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ออกวางจำหน่ายในปี 2002 แต่กว่ามันจะได้รับความสนใจก็ตอนที่เพลง “Buried Myself Alive” ถูกปล่อยออกมาในเดือนมกราคม ปี 2003 บทเพลงนี้มันลงตัวทั้งเรื่องของเมโลดี้ที่มาและอารมณ์ที่ถูกถ่ายทอดออกมา แถมยังไม่ทิ้งความหนักหน่วง จึงไม่แปลกที่มันจะมัดใจชาวอีโมได้ไม่ยากเย็น


“SUGAR, WE’RE GOIN DOWN”

FALL OUT BOY

ใครที่มาฟังวง Fall Out Boy ยุคหลังคงจะแปลกใจว่าเอาอะไรมาอีโม แต่ถ้าหากย้อนไปในช่วงยุคแรก คุณจะพบว่าซาวด์ของพวกเขาคือ “อีโม/ป๊อปพังก์” อย่างชัดเจน และก็เป็นเพลง “Sugar, We’re Goin Down” ผลงานจากอัลบั้ม “From Under the Cork Tree” (2005)  ที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเขา

อีกหนึ่งเสน่ห์ของวงนี้คือเสียงร้องของ Patrick Stumph ที่มีเทคนิคการร้องแบบอาร์แอนด์บีที่ไพเราะและไหลลื่นเอามาก ๆ พอมันถูกมาผสมกับดนตรีร็อกจังหวะสาด ๆ แบบในเพลงนี้ก็ทำให้เกิดส่วนผสมทางเคมีที่ลงตัว


“ROSES FOR THE DEAD”

FUNERAL FOR A FRIEND

วงอีโม/โพสต์ฮาร์ดคอร์ จากประเทศเวลส์ มีจุดเด่นคือการที่นำริฟฟ์กีตาร์สไตล์นิวเวฟ ออฟ บริติช เฮฟวี่ เมทัล (แบบเดียวกับ Iron Maiden และ Judas Priest) มาใส่ไว้ในบทเพลงจนทำให้เกิดเอกลักษณ์ใหม่ขึ้นมา และกลายเป็นภาพจำของแฟนเพลงไปในที่สุด ส่วนเพลง “Roses For The Dead” อยู่ในอัลบั้มที่ 2 ที่มีชื่อว่า “Hours” (2005) บทเพลงถูกเรียบเรียงออกมาได้อย่างละเมียดละไม บาลานซ์ความหนักและความเพราะได้อย่างมีสมดุล


“UNTIL THE DAY I DIE”

STORY OF THE YEAR

เป็นวงที่แจ้งเกิดตั้งแต่เดบิวต์อัลบั้ม “Page Avenue” (2003) ซึ่งเป็นผลงานชุดแรกของ Story Of The Year สามารถทำยอดขายเฉพาะในอเมริกาได้มากถึง 1,000,000 ก็อปปี้ ส่วนเพลงที่เป็นตัวชูโรงคงหนีไม่พ้น “Until The Day I Die” มันถูกดีไซน์ไว้ทำมาเพื่อเป็นเพลงขายโดยเฉพาะ ทั้งท่วงทำนองที่ติดหูและเนื้อหาที่พูดถึงความรักหนุ่มสาว  องค์ประกอบครบจบด้วยความฮิตบนอันดับ 12 บิลบอร์ดอัลเทอร์เนทีฟชาร์ต แล้วอีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือท่าทางสุดผาดโผนของมือกีตาร์และมือเบส ที่มีทั้งท่ากระโดดหมุนตัวเตะและเหวี่ยงควงกีตาร์ ด้วยความเท่ขนาดนี้มันก็ทำให้นักดนตรีในบ้านเราเลียนแบบท่ากันเต็มไปหมด


“I WRITE SINS NOT TRAGEDIES”

PANIC! AT THE DISCO

Panic! At The Disco เป็นวงที่ออกแบบเพลงได้น่าฟังมาก เพราะพวกเขานำสไตล์ดนตรี Baroque Pop มาผสมกับดนตรีอีโม/ร็อก ได้อย่างน่าฟัง มันช่วยเพิ่มรายละเอียดดนตรีที่ให้อารมณ์เหมือนคุณกำลังท่องไปในโลกของนิทาน โดยเฉพาะกับเพลง I Write Sins Not Tragedies” เป็นคำตอบที่ชัดเจนและเห็นภาพมากที่สุด ปัจจุบันเพลงนี้มียอดวิวพุ่งไปถึง 330 ล้านวิวแล้ว!


“SEVEN YEARS”

SAOSIN

“Seven Years” คือเพลงที่อยู่ใน Translating the Name อีพีสุดคลาสสิคของ Saosin วงสครีมโม/โพสต์ฮาร์ดคอร์ จากออเรนจ์ เคาน์ตี รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ดนตรีเต็มไปด้วยความดุเดือดในบรรยากาศของอารมณ์สุดอลหม่าน มันมีทั้งความอ่อนหวานและความก้าวร้าวที่ถูกแบ่งไปตามจังหวะของเพลง จุดเด่นของเพลงนี้คือเสียงร้องของ Anthony Green ที่โหนคีย์สูงมากราวกับเสียงผู้หญิงเลยทีเดียว


“WHAT IT IS TO BURN”

FINCH

She Burns! ขึ้นต้นประโยคนี้มาเด็กอีโมหันควับแน่นอน เพราะมันคือท่อนสครีมช่วงเริ่มต้นเพลง “What It Is To Burn” ของวง Finch อีกหนึ่งผลงานสุดอมตะแห่งยุคอีโมที่ต้องมีติดไว้ในทุก ๆ เพลย์ลิสต์ พวกเขาถือเป็นวงแรก ๆ ในช่วงเริ่มก่อกระแสอีโม เพราะผลงานชุดนี้ออกมาตั้งแต่ปี 2002 ตรงกับช่วงที่นูเมทัลกำลังค่อย ๆ ได้รับความนิยมลดลงไป ด้วยเหตุนี้ทำให้วง Finch เคยถูกเหมาว่าเป็นวงนูเมทัลซะด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวก็ทำให้วงหัวเสียเป็นอย่างมาก


“THE MIDDLE”

JIMMY EAT WORLD

พวกเขาคือวงที่สร้างอิทธิพลให้กับวงอีโมยุค 2000’s เป็นอย่างมาก เพราะ Jimmy Eat World มีผลงานอัลบั้มแรกตั้งแต่ปี 1994 ก่อนจะมาประสบความสำเร็จกับอัลบั้ม Bleed American (2001) โดยเฉพาะกับเพลง “The Middle” ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากบรรดาแฟนเพลงจนถึงขนาดติดชาร์ตอันดับ 5 บนบิลบอร์ดชาร์ต 100 เมโลดี้เพลงนี้มันอร่อยหูมาก ๆ ใครที่ได้ลิ้มลองต้องติดใจทุกคน


“MISERY BUSINESS”

PARAMORE

ปิดท้ายกันด้วยวงที่มีสุภาพสตรีทำหน้าที่นักร้องนำนามว่า “Hayley Williams” แห่งวง Paramore เธอคือไอคอนของสาว ๆ ในยุคอีโม และได้สร้างอิทธิพลด้านแฟชั่นไว้ด้วยเช่นกัน ส่วนเพลงที่เราเลือกมาคือ “Misery Business” จากอัลบั้ม Riot! ปี 2007  แม้เพลงจะถูกปล่อยมาช่วงปลายยุคอีโมแล้ว แต่ความจัดจ้านของดนตรีก็มีพลังที่รุนแรงจนทำให้ในปัจจุบันสามารถทำยอดขายรวมกันทุกช่องทางได้มากถึง 6,000,000 ยูนิต


จริง ๆ ยังมีอีกหลายวงที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Underoath, Taking Back Sunday, Silverstein หรือ Escape The Fate เป็นต้น แต่ด้วยคอนเซปต์ทำให้เราจำใจต้องเลือกเพียงแค่ 10 เพลงเท่านั้น ก็หวังว่าเพลย์ลิสต์นี้จะทำให้ทุกคนย้อนนึกถึงความสนุกในยุคอีโมกันนะครับ

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line