Life

READING BODY LANGUAGE: แค่รู้ “ภาษากาย” ท่าทางของคู่สนทนาจะบอกคุณว่าเขากำลังคิดอะไรกับคุณอยู่กันแน่!

By: HYENA March 1, 2020

การสื่อสารเป็นสิ่งที่คำคัญต่อการใช้ชีวิตในสังคม แต่อาจจะด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารให้ง่ายขึ้น จากการสื่อสารในสมัยก่อนที่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากันเท่านั้น กลายเป็นโทรศัพท์ที่ได้ยินแต่เสียง จนทุกวันนี้เราสื่อสารกันผ่านตัวอักษรเท่านั้น

แม้จะบอกว่า เมื่อก่อนเราก็ใช้ตัวอักษรในการสื่อสารทางจดหมายเหมือนกัน แต่ความแตกต่างระหว่างลายมือ กับการพิมพ์นั้น มีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนกันซ่อนอยู่ นั่นคืออารมณ์ของผู้เขียน เราอาจจะสังเกตลายมือของผู้เขียนได้ว่า เขารีบร้อน โกรธ หรือรู้สึกอะไรอยู่ได้

แต่การพิมพ์ข้อความผ่านโทรศัพท์อย่างปัจจุบันไม่สามารถจับต้องอะไรได้เลย ดังนั้น มันคงจะเป็นเรื่องยากถ้าหากเราจะรับรู้ถึงความรู้สึกใครสักคนอย่างแท้จริงผ่านการสื่อสารในสมัยนี้ นอกจากการเจอตัวเป็น ๆ ที่เราอาจจะพอเข้าใจถึงเบื้องลึกของบุคคลนั้น ๆ ได้ ด้วยวิธีการสังเกตภาษากาย

วันนี้เราจึงจะมาแนะนำวิธีการอ่านภาษากายที่สามารถบอกคุณได้ว่า คนที่คุณกำลังสื่อสารด้วยกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่มาให้ได้เรียนรู้กัน

The Body Language

ว่ากันว่าภาษากายมีความเฉพาะเจาะจงที่ชัดเจนต่อความรู้สึกของคนเรามากที่สุด ดังนั้น หากใครที่รับรู้การสื่อสารทางภาษากายได้ ก็เท่ากับว่าคุณสามารถอ่าน และรู้ถึงเบื้องลึกข้างในจิตใจคู่สนทนาได้ด้วย

หากคุณรู้ภาษากายคุณจะได้ความจริงจากผู้ที่สื่อสารกับคุณอยู่เพิ่มมากขึ้น จากเดิมจะมีโอกาสเพียง 10% เท่านั้น ที่คุณจะสามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างของคู่สนทนา เช่นอาจจะหลุดพูดออกมาเอง พูดแล้วฟังดูไม่น่าเป็นไปได้อย่างแน่นอน หรือ ที่เราเรียกว่าไม่เนียน

ส่วนการสังเกตจากน้ำเสียง และความเร็วในการพูดนั้น สามารถจับพิรุธ และความรู้สึกจริง ๆ ได้ 40% ซึ่งก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นักจับโกหก หรือคนที่เรียนจิตวิทยามาใช้สังเกตความผิดปกติในบุคคลต้องสงสัย

ส่วนสิ่งที่จะบอกความจริงที่ถูกซ่อนไว้ภายใต้คู่สนทนาได้มากที่สุด ถึง 50% นั้น คือ ภาษากายของพวกเรานั่นเอง ทีนี้รู้หรือยังว่าถ้าคุณรู้ภาษากาย และอ่านมันได้อย่างแม่นยำ คุณจะมีความสามารถในการอ่านใจคน โน้มน้าวในการเจรจาธุรกิจ หรือป้องกันตัวจากการถูกคนอื่นหลอกลวงได้อีกด้วย ถือเป็นความรู้ที่มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งกับชีวิตมากทีเดียว

 

Head movements

การเคลื่อนไหวของศีรษะ อาจจะส่งสัญญาณอะไรได้มากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความไม่มั่นใจ ความเขินอาย ความกลัว หรือ แม้กระทั่งความไม่โปร่งใสในจิตใจคนนั้น ๆ ทีนี้เรามาดูกันเลยว่า การเคลื่อนไหวของศีรษะแต่ละแบบนั้น มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง?

  • การยกมือขึ้นมาสัมผัสกับใบหู อาจจะเป็นการ แคะแกะเกา หรือดึงหูก็ตามนั้น มีความเป็นไปได้ว่า คนดังกล่าวกำลังตกอยู่ในความรู้สึก ไม่แน่ใจ
  • รอยยิ้ม ดูแล้วอาจจะทำให้รู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคุณนั้น เป็นคนที่ Nice เข้าถึงได้ง่าย แต่รอยยิ้มที่จริงใจนั้น สังเกตได้ที่ดวงตา ซึ่งต่างจากยิ้มอย่างเสแสร้งที่จะพยายามใช้ริมฝีปากฉีกยิ้มจนดูแข็งทื่อเท่านั้น
  • การเอียงศีรษะขณะพูดคุย เป็นการแสดงออกว่า บุคคลดังกล่าวกำลังให้ความสนใจอะไรบางอย่างที่คุณพูดออกไปเมื่อสักครู่ และเก็บมันไปคิดอยู่
  • การเอียงศีรษะที่มากเกินปกติ พร้อมหลับตาในบางครั้ง สามารถบ่งบอกได้ว่าคนนั้นกำลังรู้สึกเห็นอกเห็นใจ หรือสงสาร
  • การหลับตา และขมวดคิ้วไปด้วยในขณะเดียวกันนั้น จะเกิดขึ้นกับคนเราก็ต่อเมื่อ กำลังประเมินผลเสีย หรือคิดถึงความเสียหายในเชิงลบอยู่
  • การพยักหน้าไปด้วยเล็กน้อยขณะสนทนา เป็นการแสดงออกว่าเห็นด้วย และมีความรู้สึกในเชิงบวกเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังสนทนากันอยู่
  • การพยักหน้าหลาย ๆ ครั้ง ที่มีความเร็ว และรุนแรงมากเกินปกติคนธรรมดาทำนั้น บ่งบอกได้ว่า คนคนนั้นไม่ได้สนใจอยากจะฟังในสิ่งที่คุณพูดอีกต่อไป และอยากให้บทสนทนาจบไปเร็ว ๆ เพียงแต่เป็นการรักษามารยาทเพราะรู้สึกว่าไม่อยากให้ดูหยาบคาย
  • การเชิดปลายคางขึ้น พร้อมกับหันหน้าไปหาใครสักคนหนึ่ง นั่นเป็นอาการของความรู้สึกแอนตี้ไม่เป็นมิตร และรู้สึกไม่พอใจ
  • การนำมือขึ้นมาลูบจมูกในระหว่างการสนทนา มีความหมายว่า คนดังกล่าวกำลังเกิดความสงสัยในสิ่งที่ได้ยิน หรือรู้สึกต่อต้านสิ่งเหล่านั้นที่เขาเพิ่งได้รับฟังมันมาเมื่อสักครู่
  • การยกมือขึ้นมาสัมผัสบริเวณแก้มข้างใดข้างหนึ่ง สามารถบ่งบอกได้ว่า บุคคลดังกล่าว กำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งการขบคิด ทบทวน และหาเหตุผล
  • การยกมือขึ้นมาจับที่บริเวณปลายคางนั้น เป็นสิ่งที่จะบอกให้คุณรู้ได้ว่า มันคือ การแสดงออกของคนที่กำลังทำการตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่

 

Upper body
  • การยกไหล่ขึ้น เป็นการแสดงออกของคนที่กำลังหงุดหงิด ไม่พอใจ รวมไปถึงความรู้สึกขุ่นเคืองอะไรบางอย่าง หรืออาจจะอยากให้คนอื่น ๆ เห็นถึงพลัง และความกล้าหาญของตัวเองก็ได้เช่นกัน
  • การปล่อยตัวตามสบาย ในขณะที่แขนเปิดอ้ากว้างออกจากบริเวณลำตัวนั้นหมายถึงความรู้สึกเต็มใจที่จะพูดคุย รับฟัง และสื่อสารอย่างเปิดอก
  • การกอดอกนั้นเป็นลักษะทางกายภาพของคนที่รู้สึกปิดกั้นอะไรบางอย่างอยู่ มันจึงบ่งบอกได้ว่า เมื่อคุณกำลังสนทนากับคนที่กอดอกในตอนที่คุณพูดนั้น หมายถึงว่า พวกเขากำลังปิดกั้น ไม่รับฟัง และไม่พอใจในสิ่งที่คุณกำลังพูด
  • การยกมือขึ้นมาจับบริเวณหลังคอ หรือท้ายทอยนั้น เป็นท่าทางของคนที่เริ่มรู้สึกสนใจสิ่งที่กำลังได้ยิน หรือสนทนาอยู่ในขณะนั้น
  • การชี้นิ้ว เป็นสัญญาณของความไม่พอใจขั้นสุด มันหมายถึงการรุกราน ความอหังการ และต้องการให้อีกฝั่งรู้ถึงพลังอำนาจของตัวเอง
  • การยกมือขึ้นมาสัมผัสบริเวณด้านหน้าของลำคอ สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า บุคคลดังกล่าวกำลังมีความสนใจ หรือมีความคิดเห็นที่เป็นกังวลต่อสิ่งที่คู่สนทนาได้พูดให้เขาฟังไปเมื่อสักครู่
  • การยกมือขึ้น หรือ การปล่อยแขนเป็นแนวดิ่งตามปกตินั้น แสดงถึงความรู้สึกปกติ รวมไปถึงความรู้สึกในเชิงบวก
  • การนำปลายนิ้วมาแตะกัน หรือประสานมือเข้าด้วยกัน มักจะแสดงให้เห็นว่าบุคคลดังกล่าวกำลังคิด และประเมินหาผลลัพธ์ในเชิงบวกอยู่
  • การแบมือ และผายมือออกไปทางด้านข้าง คือ การแสดงออกถึงความรู้สึกเปิดกว้าง เปิดรับ พร้อมที่จะให้คนอื่น ๆ แสดงความคิดเห็น แต่ถ้าหากเปิดกว้างมาก รวดเร็ว และรุนแรง อาจจะหมายความว่า บุคคลดังกล่าวกำลังท้าทาย และอยากเห็นการกระทำอะไรบางอย่างจากคุณในขณะที่กำลังโกรธอยู่ก็ได้เช่นกัน

 

Lower body
  • การแอ่นสะโพก หรือเอวไปข้างหน้า พร้อมกลับเอนหลังไปที่ด้านหลัง สามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกมีประสิทธิภาพในตัวเองได้ด้วย
  • การยืนกางขากว้างออกจากกัน เมื่อคนเราแยกเท้าออกจากกันมาก ๆ ในขณะยืนนั้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นตอนที่ต้องการความมั่นคง หรือมีพลังที่แข็งแกร่ง และความโดดเด่น ดังนั้นคนที่ยืนกางขากว้างออก จึงอาจจะกำลังรู้สึกว่า ต้องการความโดดเด่น หรือต้องการพลังอะไรบางอย่างอยู่
  • การนั่งอ้าขาในลักษะปล่อยตัวตามสบาย เป็นลักษณะท่าทางของคนที่กำลังรู้สึกปลอดภัยในสิ่งแวดล้อมรอบตัว อีกทั้งยังรู้สึกผ่อนคลายไร้ความกังวลอีกด้วย
  • การนั่งเอาขาไขว่ห้างกันนั้น สามารถแสดงออกได้ 2 ความรู้สึกคือ รู้สึกผ่อนคลาย กับรู้สึกปกป้องตัวเอง หรือ ปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ แต่คุณสามารถสังเกตได้จากความแน่น เกร็ง ของลักษะขา ซึ่งถ้าหากว่า กำลังรู้สึกผ่อนคลายอยู่ จะมีลักษะเป็นการนั่งไขว่ห้างที่ดูหลวม ๆ แต่ถ้ากังวล รู้สึกต้องการปกป้องตัวเอง หรือรู้สึกถูกบีบคั้น ลักษณะการนั่งก็จะดูรัดกุม และหนีบแน่นมากขึ้น
  • การนั่งขัดสมาธิ เป็นท่านั่งที่ว่ากันว่าทรงพลังมากที่สุด ดังนั้น คนที่กำลังนั่งท่าขัดสมาธิส่วนใหญ่ จึงรู้สึกว่า มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมอยู่ในตัว รู้สึกตัวเองมีพลังที่จะสามารถทำอะไรก็ได้ให้สำเร็จ
  • การนั่งชันเข่า หรือนั่งทับอยู่บนขาตัวเองนั้น เป็นการแสดงออกถึงความรู้สึกเบื่อหน่าย สูญเสีย และหมายถึงกำลังจะหมดความอดทน

 

Eyes
  • การลดสายตามองต่ำ บ่งบอกความรู้สึกของบุคคลดังกล่าวได้ว่า กำลังรู้สึกกลัวความผิด หรือกำลังรู้สึกปกปิดสิ่งที่ไม่ดีอะไรบางอย่างอยู่
  • การขมวดคิ้ว พร้อมกับเพ่งมองไปที่อะไรบางอย่าง นั่นหมายถึง การพยายามจะทำความเข้าใจในสิ่งที่กำลังได้ฟัง หรือสิ่งที่เกิดขึ่้น
  • เมื่อคุณพลาดการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ บางอย่างที่อยู่ไม่ไกลจากตัวคุณอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือที่เราเรียกว่า เหม่อลอยนั้น แสดงให้เรารู้ได้ว่า ความรู้สึกไม่มั่นใจ และคิดวิตกกังวล กำลังเล่นงานบุคคลดังกล่าวอยู่
  • การกระพริบตาบ่อย ๆ นั้นหมายถึง มีการคิดประเมินผลประไรบางอยู่ในสมอง โดยเฉพาะคนที่ทำความผิด และพยายามจะโกหกปิดบังนั้น เวลาลาตอบคำถาม หรือเล่าอะไรให้ฟัง ตาจะกระพริบบ่อย หรืออาจจะปิดตาไปในขณะพูด เพราะต้องประมวลผลไปด้วยนั่นเอง
  • การมองตรงไปที่สายตาของอีกฝ่าย แสดงให้เห็นว่า คนดังกล่าวมีความมั่นใจในตัวเองแบบล้นเหลือ และเชื่อว่าตนเองอยู่เหนือกว่าอีกฝั่งอยู่หลายช่วงตัว
  • การละสายตาจากคู่สนทนาอย่างรวดเร็ว หรือมองข้ามคู่สนทนาไปนั้น หมายถึง บุคคลดังกล่าวอาจจะเกิดความรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดเห็นที่เพิ่งได้รับฟังมา และรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ได้ยิน
  • การจ้องมองใครสักคนอย่างไม่กระพริบตา ด้วยสายตาที่แข็งกระด้าง อย่างเช่นในเวลาที่เราโกรธใครสักคนนั้น เป็นการแสดงออกให้อีกฝ่ายหนึ่งว่า ควรจะลดความโดดเด่นของตัวเองลงไปได้แล้ว
  • การชำเลืองตาขึ้นด้านบนทางด้านซ้าย และขวา หมายความว่า บุคคลดังกล่าวนั้น กำลังคิด หรือนึกถึงความทรงจำในครั้งอดีตอยู่
  • การมองขึ้นไปด้านบน เป็นการแสดงออกถึงคนที่กำลังจัดเรียงความคิด หรือมีไอเดียอะไรบางอยู่อยู่ในหัวตอนนั้น
  • การมองคนอื่นด้วยสายตาเย็นชา และละสายตาไปในขณะที่อีกฝ่ายยังคงมองตาเราอยู่นั้น หมายถึงการแสดงว่าเราอยู่เหนือกว่า รู้สึกห่างชั้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่า สายตาดูถูกนั่นเอง

 

ทั้งหมดนี้เป็นภาษากายที่ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนบนร่างกายของเรา ซึ่งผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่า แม่นยำเกินกว่า 50% เลยทีเดียว ดังนั้น หากใครที่ต้องการความจริงใจ หรือไม่อยากถูกใครหลอก รวมไปถึงคนที่จะนำเอาการสังเกตเหล่านี้ไปพัฒนาให้เป็นประโยชน์ในการเจรจาธุรกิจ ก็สามารถนำเอาไปใช้ได้ รับรองว่า คุณจะเข้าใจคนอื่น ๆ ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

SOURCE

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line