Life

GARAGE: “JIGSAW” แรปเปอร์ผู้เชื่อว่าเพลงเปลี่ยนชีวิตคนได้เพราะฮิปฮอปคือความจริง

By: PSYCAT July 22, 2019

คุณมีความฝันไหม? เราเชื่อว่าในหนึ่งชีวิตไม่สั้นไม่ยาวของเราแต่ละคนล้วนมีความฝัน บางฝันอาจใหญ่ บางฝันอาจเล็ก บางฝันไกลเกินเอื้อม แต่บางฝันใกล้แสนใกล้ขอเพียงแค่ลงมือทำ แล้วสิ่งที่เราฝันถึงนั้นเป็นจริงไปแล้วกี่อย่าง? สามอย่าง สองอย่าง หนึ่งอย่าง หรือต่อให้คำตอบคือยังทำความฝันให้เป็นจริงไม่ได้สักฝันก็คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามใหม่เป็น วันนี้คุณลงมือทำตามความฝันไปแล้วกี่อย่าง? แต่คำตอบคือว่างเปล่า ไม่เคยลงมือทำ เราอยากชวนคุณมารู้จักชายหนุ่มคนหนึ่งไปด้วยกัน

“สำหรับผมมันมีแค่สองอย่างทำหรือไม่ทำ ผมไม่ได้คิดว่ามันจะผ่านไปหรืออะไร ถ้าเราได้ทำแล้ว เราไม่รู้ว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ขอให้ได้ทำ ลงมือทำไว้ก่อน อันนี้ผมว่ามันสำคัญกว่า” 

นี่เป็นประโยคสั้น ๆ ได้ใจความจากปาก JIGSAW หรือ จีนชัยกำพล จันทรักษ์ ที่เราจำขึ้นใจ หลายคนอาจจำเขาได้ในฐานะแรปเปอร์ฝีมือแพรวพราวผู้ผ่านเข้าไปถึงรอบ 3 คนสุดท้ายของรายการ Show Me The Money Thailand รายการเฟ้นหาสุดยอดแรปเปอร์ของเมืองไทย นอกจากนั้นเขายังมีบทบาทเป็น Hair Stylist อาชีพที่เขาก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

ลึกลงไปจากภาพฝันที่ใครหลายคนเห็นอยู่ตอนนี้ เบื้องหลังเขาคือชายหนุ่มที่หลงใหลเพลงฮิปฮอปตั้งแต่ยังเด็ก ฝันอยากเป็นนักร้องที่มีคอนเสิร์ตของตัวเอง เขาเลือกกระโจนลงไปหาสิ่งที่ฝัน ลงมือทำเพลง แต่หัดแรปครั้งแรกเหมือนคนท่องอาขยาน ขอฟีทฯ เพลงกับใครก็มีแต่คนปฏิเสธ

ลึกลงไปจากภาพฝันที่ใครหลายคนเห็นอยู่ตอนนี้ เบื้องหลังเขาเคยทุกข์ทรมานกับการตัน สร้างสรรค์ทรงผมใหม่ ๆ ไม่ได้ เคยตัดผม กลับบ้าน ตัดผม กลับบ้าน จนต้องเผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้าที่กระชากเขาไปไต่อยู่บนเส้นระหว่างความเป็นกับความตาย

คุณมีความฝันไหม? JIGSAW มีและตอนนี้ความฝันเขางอกงามเป็นจริง ถ้าถามเขาต่อว่าสิ่งที่เขาฝันถึงนั้นเป็นจริงไปแล้วกี่อย่าง? จากเป็นสิบเป็นร้อยฝัน ตอนนี้มันอาจสำเร็จแค่สอง แต่ถ้าถามเขาว่าวันนี้เขาลงมือทำตามความฝันไปแล้วกี่อย่าง? ชีวิตเขามีแค่ทำกับไม่ทำ และใช่ ถ้ามันคือความฝันของเขา บางครั้งพลาด บางครั้งพลัดตกไปยังหุบเหวที่มืดดำที่สุด แต่เขาไม่เคยหยุดปีน

การทำ 2 อย่างไปพร้อม ๆ กัน ทั้งการทำเพลงและการทำผม (Hair Stylist) ในหนึ่งวันแบ่งเวลาอย่างไร ?

ผมต้องแยกว่าเป็นงานผมหรือว่างานเพลง ถ้าสมมติงานผม ผมจะเข้าไปรับลูกค้าตามที่เขา Booking ไว้ ส่วนถ้าเป็นงานเพลงผมตื่นมาก็จะเข้าสตูฯ ตั้งแต่เที่ยงเลย แล้วก็ทำเพลงจนกว่าจะเสร็จ ขึ้นโครงบีท ชีวิตก็มีอยู่แค่นั้น ทำผมหรือว่าทำเพลง

การทำผมกับทำเพลงเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?

ผมมองว่ามันคืองานศิลปะเหมือนกัน งานที่ต้องใช้ความคิดเหมือนกัน งานทำผมมันก็เป็นงานอาร์ต ต้องดีไซน์ว่าจะตัดให้ลูกค้าแบบไหน เราต้องใช้ความคิดว่าจะดีไซน์ทรงผมอย่างไร แนวเพลงก็เหมือนกัน เราต้องคิดรูปแบบเพลง จะทำแบบไหน ทำออกมาในลักษณะยังไง ให้คนฟังได้รับอะไร 

ทุก ๆ วันคือการทำผมและทำเพลง พอทำซ้ำ ๆ เคยรู้สึกตันไหม แล้วทำยังไงถึงปลดล็อกจากจุดนั้น ?

เรื่องงานทำผมก่อน ผมทำเพลงมาตั้งแต่เด็ก หยุดไปช่วงนึงมาตัดผมแบบจริงจัง แต่ที่มันตันคือตันเรื่องทรงผม ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่ไทย แล้วก็ยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ การเรียนที่ไทยเขาก็สอนดี ก็สอนเป็น Pattern ดีอ่ะ แต่มันไม่สามารถต่อยอดให้ผมได้ว่าแล้วผมจะพัฒนาไปอย่างอื่นได้ยังไง ผมรู้แค่ว่าแบบต้องตัดแบบนี้ แล้วจะได้ทรงนี้ 

จนกระทั่งผมได้ไปเรียนที่อังกฤษ เรียนการออกแบบทรงผม เป็นการเรียนที่ปลดล็อกผม เพราะเขาสอนการตัดที่ให้เราคำนวณเองว่าตัดอย่างนี้แล้วได้ผลลัพธ์อะไร ผมว่าอันนี้คือจุดสำคัญ

ส่วนงานเพลง ถามว่ามีตันไหม ผมว่ามันมันยังมีอิสระมากกว่า เราอยากจะพูดอะไรก็พูด อยากร้องอะไรก็ร้อง แต่คนจะฟังหรือเปล่า มันก็เป็นข้อบังคับอีกแบบ ต้องเจาะกลุ่มให้ถูก 

ถ้าจุดปลดล็อกการทำผมคือการได้ไปเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ที่อังกฤษ จุดปลดล็อกการทำเพลงคือจุดไหน ?

ต้องเริ่มตั้งแต่ว่าผมเข้ามาฝึกทำเพลงได้ยังไง ตอนแรกที่เริ่มทำเพลง ผมเป็นแค่เด็กคนนึง ทำเพลงเหมือนคนอยากทำเพลงทั่วไป ผมเป็นเด็กนครศรีธรรมราช ผมมีโอกาสเข้ามาเรียนโรงเรียนทิวไผ่งามที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ และมีคนหลายกลุ่มมาอยู่ตรงนั้น ผมเลยได้เจอเพื่อนหลายแนว จนกระทั่งเจอเพื่อนฟังฮิปฮอปอยู่

ผมเลยเข้าไปศึกษาดู เพลงอะไรมันจัง ทำไมมันหยาบ มีแต่คำหยาบคาย แต่ฟังแล้วมันดีจัง พอฟังไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกอยากเป็นอย่างนั้น เป็นความฝันสมัยเด็กที่อยากเป็นแรปเปอร์ อยากไปเล่นคอนเสิร์ต พอเริ่มเขียนเพลงมันก็เริ่มยากขึ้น เขียนครั้งแรกเรารู้สึกว่ามันเหมือนคนท่องอาขยาน แรปไม่เป็น แต่ก็ใช้เวลาฝึกไปเรื่อย ๆ ทำเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่มันยังไม่ปลดล็อกคือเราไม่มีคนฟัง ไม่มีสื่อที่จะปล่อยผลงานเรา ยุคนั้นไม่มีใคร มีแค่ YouTube 

ยุคนั้นผมปล่อยเพลงลง YouTube ไป คนฟังเพลงผมเมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ประมาณห้าหมื่น Views ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถือเป็นเพลงเดียวที่ Success ณ ตอนนั้น ดังนั้นสิ่งที่ปลดล็อกเรื่องการทำเพลงคือรายการที่ผมไปแข่งขัน (Show Me The Money Thailand) ที่ทำให้ผมมีคนฟังเยอะขึ้น 

เราคิดว่าเราไปถึงจุดที่เราเคยฝันตอนเด็ก ๆ แล้วหรือยัง ?

ณ ตอนนี้ผมก็ไปถึงที่ผมมองไว้แล้วนะครับ มีไปเล่นคอนเสิร์ตบ้าง เป็นอะไรที่ตื่นเต้นดี แต่ถามว่ามันพอหรือยัง? ก็ยังไม่พอนะครับ ยังมีความต้องการอยู่เรื่อย ๆ ยังอยากจะทำต่อ แต่ถามว่าย้อนไป ณ วันนั้น ภาพผมที่อยากจะทำตรงนี้ ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะสำเร็จ เพราะมีช่วงที่ผมทิ้งเพลงแล้ว ผมไม่เอาแล้ว เพราะผมมองว่ามันไปไม่รอด ผมหันมาตัดผมเหมือนเดิม ไปหาอย่างอื่นทำ ผมมองว่าเพลงไม่น่าจะเวิร์กแล้ว

อะไรทำให้กลับมาทำเพลง หลังจากที่คิดว่าพอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ?

ยังมีเพื่อนที่คอยดึงกลับมา คอยบอกเราว่า เฮ้ย ทำเพลงดิ แต่ว่าระยะนั้นก็ทำเพลงสองเพลง ปีนึงได้เพลงนึงผมก็พอแล้ว ผมไม่ได้มองว่าเพลงมันจะเป็นธุรกิจที่ผมจะใช้เลี้ยงปากท้องตัวเองได้ มองว่าคงไปไม่รอดหรอก เพราะผมก็มานั่งพิจารณาตัวเองนะว่าเราเขียนเพลงไม่เข้าถึงคน หลัง ๆ ก็พยายามปรับตัวเองนะว่าคนเขาต้องการฟังอะไร คนเขาฟังแบบไหน คือถ้าพยายามเป็นตัวเองมากเกินไป บางทีคนก็อาจจะไม่เข้าใจก็ได้

อะไรคือหัวใจสำคัญของการเป็นแรปเปอร์ ?

ตอนนี้ผมก็ไม่ได้มองว่าผมเป็นแรปเปอร์นะ ผมมองแค่ว่าผมเป็นคนทำเพลง แค่เป็นคนหนึ่งที่ชอบเสียงดนตรี แต่ว่าไม่ได้ไปกำหนดหรอกว่าสิ่งที่ผมทำมันคือฮิปฮอปที่ชัดเจนหรือว่ามันคือแนวเพลงที่มันใช่หรือเปล่า ผมมองแค่ผมเป็นคนทำเพลง ผมไม่ได้ทำแค่แนวเดียว ทุกวันผมฟังเพลงหลายแนวอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมได้จากฮิปฮอปคือ ผมแรปได้ ผมศึกษาวัฒนธรรมของเขา เรื่องราวของเขา

ผมชอบฮิปฮอปตรงที่มันคือความจริง เขาพูดความจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เพลงฮิปฮอปสำหรับผม คือเพลงที่เปลี่ยนความคิดคนได้ มันมีอิทธิพลบางอย่าง เพลงฮิปฮอปสามารถทำให้คนมีสงครามกันได้เลย มันคือความจริง

“เพลงฮิปฮอปสำหรับผม คือเพลงที่เปลี่ยนความคิดคนได้ มันมีอิทธิพลบางอย่าง เพลงฮิปฮอปสามารถทำให้คนมีสงครามกันได้เลย มันคือความจริง”

การทำสิ่งที่รักทั้งสองอย่างควบคู่กันไปทำให้เจออุปสรรคเรื่องการจัดการเวลาบ้างไหม ?

ต้องบอกก่อนว่าเมื่อก่อนผมเคยทำผมแค่อย่างเดียว จนผมเป็นซึมเศร้า เพราะชีวิตมันวนลูปอยู่แค่ทำผม ๆ ๆ กลับบ้าน  ๆ ๆ แล้วกลับไปทำผม แต่ตอนนี้ผมเป็นฟรีแลนซ์ในการทำผมและได้กลับมาทำเพลง ผมรู้สึกว่าไอ้โรคนั้นมันหายไป ผมไม่ได้มีเงินเดือนเยอะเหมือนเมื่อก่อน แต่ผมมีเวลาให้กับตัวเอง ผมว่าอันนี้มันสำคัญสำหรับผม ซึ่งทำให้อาการผมดีขึ้น ผมมีความสุข มีแรงอยากจะทำอะไรต่อในทุก ๆ วัน 

กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราเคยผ่านจุดที่แย่หรือชวนท้อมาบ้างไหม วันไหนคือวันที่แย่ที่สุดในชีวิต ?

ยืนอยู่ตรงระเบียง อยากกระโดดลงไปข้างล่าง นั่นคือแย่ที่สุดแล้ว โทรไปหาแม่ร้องไห้ แล้วก็นั่งคิดเรื่องชีวิตตัวเองคือมีทุกอย่างแต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคือไม่มีความสุข

“แล้วก็นั่งคิดเรื่องชีวิตตัวเองคือมีทุกอย่างแต่สิ่งเดียวที่ไม่มีคือไม่มีความสุข”

อันนั้นคือแย่มาก ตอนนั้นผมก็หาหมออยู่ กินยาประจำ แต่ว่าผมจำคำที่แม่พูดได้ ทุกวันนี้แม่ไม่ได้อยู่เพื่อใคร แม่อยู่เพื่อลูก คำนั้นทำให้ผมฮึดขึ้นมา แต่โมเมนต์นั้นผมก็ร้องไห้บอกแม่ว่า ผมไม่ไหวแล้ว มันทรมานมาก แต่ก็ผ่านมาได้ 

ความคิดฆ่าตัวตายของผมมีบ่อย  แต่พอมี จะพยายามคิดบวกให้มากขึ้น ทั้ง ๆ ที่โรคนี้มันพยายามจะฉุดเราดาวน์ลงไปเรื่อย ๆ  แต่ผมก็พยายามสู้กับมัน พยายามคิดว่ามันเป็นแค่โรค โรคทุกอย่างมันต้องรักษาหายในความคิดของผมนะ มันต้องมีทางรักษา มันมาแล้วมันก็ไป ก็พยายามคิดบวกไว้ พยายามดึงตัวเองกลับมา

การที่เราพยายามจนดึงตัวเองออกมาจากช่วงที่แย่ที่สุดได้ ทำให้เรามองเรื่อง ‘ความพยายาม’เปลี่ยนไปไหม ?

สำหรับผมมันมีแค่สองอย่าง ทำหรือไม่ทำ ผมไม่ได้คิดว่ามันจะผ่านไปหรืออะไร ถ้าเราได้ทำแล้ว เราไม่รู้ว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ขอให้ได้ทำ ลงมือทำไว้ก่อน อันนี้ผมว่ามันสำคัญกว่า 

มันมีคนพยายามหลายแบบ บางคน ต้องถามว่าพยายามอะไร? อยากสำเร็จเรื่องไหน? ถ้าคุณพยายามจะรวย แต่ทำไม่ถูกเวลา  มันก็ไม่รวยสักที แต่อย่างผม ผมมีเป้าหมายคือผมแค่อยากทำความฝันผมซึ่งคือทำเพลงกับตัดผม ผมก็ทำมันอยู่อย่างนั้น

ผมโชคดีตรงที่แม่คอยซัพพอร์ต สมัยเด็ก ๆ เขาหาอุปกรณ์ให้ทำ บางคนไม่มีทุนด้านการทำเพลงนะ ผมก็รวมกลุ่มเพื่อนสมัยเด็ก ๆ มาทำเพลงกันบ้านผม ผมก็ไม่รู้หรอกว่าวันนั้นกับวันนี้มันต่างกันมาก ทุกวันนี้รุ่นน้องผมยังมาพูดเลยว่าพี่ พี่แม่งมาไกลมากเลย ผมไม่ได้คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ 

ผมคงไม่ตอบว่าถ้าคุณพยายาม คุณจะได้แน่ ผมว่าตอบแบบนั้นมันขายฝันไป (หัวเราะ) แต่ผมบอกว่าถ้าเรา Expert อะไรก็แล้วแต่ คุณต้องพยายามอย่างน้อย 10,000 ชั่วโมง คุณต้องใช้เวลาอยู่กับสิ่งนั้น อยู่กับมันทำมันทุกวัน จนคุณรู้ว่ามันคืออะไร

“ถ้าเรา Expert อะไรก็แล้วแต่ คุณต้องพยายามอย่างน้อย 10,000 ชั่วโมง คุณต้องใช้เวลาอยู่กับสิ่งนั้น อยู่กับมันทำมันทุกวัน จนคุณรู้ว่ามันคืออะไร”

เหมือนเราพยายามทำอะไรสักอย่าง สักวันมีคนเห็นเราว่าเรายังทำอยู่แล้วสักวันจะมีคนเข้ามาหาเราเอง เมื่อก่อนเวลาผมไปขอคนอื่นฟีทฯ (Featuring) เพลงไม่มีใครอยากทำกับผม แต่วันนี้ทำงานตัวเองยังไม่เสร็จเลย มีคนมาขอฟีทฯ ด้วย มันเป็นเรื่องที่ดีและผมไม่ปฏิเสธคนอื่นเหมือนที่ผมเคยโดนปฏิเสธ ขอแค่ผมได้ทำ

ถ้าพยายามแล้วท้อ เราทำยังไงกับมันต่อ ?

ถ้าผมท้อผมใช้มันเป็นพลังมาลงกับเพลง แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมฮึดสู้ ทุกอย่างผมระบายมันลงไปในเพลง แล้วให้คนฟังดีกว่า บางคนอาจจะเข้าใจก็ได้ เพราะเขาอยู่ในโมเมนต์เดียวกับเรา 

ในฐานะที่เป็นคนทำเพลงฮิปฮอปซึ่งมักถูกมองว่าต้องเกี่ยวโยงกับยาเสพติดอยู่เสมอ มีวิธีจัดการยังไง

ผมก็โดนมองอย่างนั้นตลอด ผมก็โดนเรียกทุกด่าน แต่ว่าไม่เคยเจออะไร เพราะผมเป็นคนที่ไม่ใช้ของมึนเมา มันเป็นภาพลักษณ์แบบนี้มานานแล้ว ถามว่าคนใช้สารเสพติดมีมั้ย มันก็มี มันอยู่ที่ตัวเรามากกว่าว่าเราเลือกจะเสพศิลปินทางไหน อย่างที่อเมริกา เขาก็ดูด Weed ปกติมาก อย่างตัวผมไม่ได้เลือกใช้สิ่งนั้น 

เพลงมีอิทธิพลกับเราอย่างไรบ้าง ?

“เพลงมันไม่ได้เปลี่ยนแค่ชีวิตคนอื่น มันเปลี่ยนชีวิตผม”

เพลงมันไม่ได้เปลี่ยนแค่ชีวิตคนอื่น มันเปลี่ยนชีวิตผม ชีวิตเพื่อนผม ณ วันนั้นที่เรามีกันอยู่หลายคน ตอนนี้เหลือแค่สองคนที่ยังทำเพลงอยู่ แต่มันเปลี่ยนชีวิตผมกับเขาให้มีงาน มีทางเลือกที่จะก้าวต่อไป ผมเทียบว่าทุกวันนี้มีเพลงหลายแบบมาก ส่วนตัวผม ผมชอบเพลงที่ฟังแล้วมีแรงฮึดที่จะทำอะไรต่อ แต่มีโอกาสน้อยที่จะได้เขียนเพลงให้กำลังใจคน มันใช้ความคิดค่อนข้างเยอะ และที่ผมเจอกับตัวคือการที่มีน้องคนนึงเลิกเล่นยาได้เพราะเพลงผม ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก

มีคนมาบอกว่า “ผมเลิกยาได้เพราะเพลงพี่เลย”

มีคนมาบอกว่า “ผมเลิกยาได้เพราะเพลงพี่เลย” ตอนนั้นเป็นเพลงที่ผมแต่งในรายการ Show Me The Money ถ้าถามว่าทำไมผมยังทำเพลง? เพราะผมได้รับคำพวกนี้จากคนฟัง มันทำให้ผมมีกำลังใจที่จะทำเพลงต่อ ทั้ง ๆ ที่รายได้ก็ไม่ได้ อะไรขนาดนั้น แต่คำพูดพวกนี้ทำให้ผมมีความสุขยิ่งกว่าเม็ดเงิน บางครั้งผมรู้สึกว่า เออ ไม่เอาแล้วว่ะ แต่ผมรู้ว่ามีคนรอฟังอยู่ มันยากที่จะหยุด

อย่างผมไม่เคยคิดนะว่ามนุษย์สักคนจะเลิกยาเสพติดได้เพราะเพลงผม มันมีความหมายขนาดนั้นเลยหรอ? ตอนนั้นผมคิดว่าแค่อยากเล่าประวัติตัวเอง แต่มันทำให้เขาคิดได้ และหันมาเปลี่ยนตัวเองเพื่อทำอะไรบางอย่าง ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ดี

บทสนทนาจบลง เราอดคิดถึงความฝันและการลงมือทำของตัวเองไม่ได้ ที่เราเฝ้าบอกตัวเองว่าความฝันไม่เคยเป็นจริง นั่นเพราะเราลงมือทำแล้วมันไม่สำเร็จ หรือเพราะเรากลัวเกินกว่าจะลงมือทำมันกันแน่? แต่การได้คุยกับเขาทำให้ไฟบางอย่างในตัวเราสว่างขึ้นอีกครั้ง และเพลงที่เกิดจากทุกอณูความตั้งใจของเขา เราก็ฟังด้วยความรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะมันไม่ใช่แค่เพลง แต่มันคือชีวิตของเขาที่ผ่านการปีนป่าย ผ่านการลงมือทำอย่างที่อะไรก็หยุดไม่ได้

แล้วคุณล่ะ คุณมีความฝันไหม? เราเชื่อว่าคุณมีคำตอบอยู่ในใจ ความฝันจะสำเร็จไหม? เราเชื่อว่าคุณยังตอบไม่ได้ ณ วินาทีนี้ แต่เพราะชีวิตเป็นอย่างที่ JIGSAW หรือ จีนชัยกำพล จันทรักษ์ พูดไว้ ชีวิตมีแค่ทำกับไม่ทำ ล้มอีกกี่ครั้งก็ได้ แต่ยังพร้อมจะ UNLOCK ความกลัวในใจลุกขึ้นไปต่อหรือเปล่า? คำตอบอยู่ที่ตัวคุณ …

“ถ้าใครอยากหาตัวเองให้เจอ ทำไปเถอะครับ ชีวิตนี้มีแค่ครั้งเดียว จริง ๆ ผมก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปได้ ตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันจะนำผมมาสู่ตอนนี้ แต่ทั้งหมดมันมีแค่ทำหรือไม่ทำ”

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line