ปัจจุบันนี้เรากำลังเข้าสู่ยุคการใช้รถยนต์ EV หรือรถพลังงานไฟฟ้ากันทั่วโลก สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สืบเนื่องมาจากการลดมลภาวะที่เป็นภัยต่อโลก รวมไปถึงค่าน้ำมันที่แสนแพง เติมแต่ละทีก็ต้องเหงื่อตก เพราะเงินในบัญชีกระเด็นหายไปจำนวนไม่น้อย ทำให้ทุกวันนี้เราได้เห็นแบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ ผลิตรถไฟฟ้าออกมาตอบโจทย์ดังกล่าวกันถ้วนหน้า ซึ่งส่วนมากก็คือโมเดลตัวใหม่ทั้งนั้น โอเค หากคุณเป็นคนขับรถยนต์เพื่อใช้งานตามปกติก็คงเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน แต่ถ้าคุณเป็นผู้นิยมชมชอบรถวินเทจด้วย แถมให้ความสนใจระบบ EV ด้วยจะทำอย่างไร? ปัญหาดังกล่าวมีทางออกแน่นอน โดยเฉพาะสายรถ Volkswagen สุดคลาสสิค ที่วันนี้สามารถทำให้มันกลายเป็นรถพลังงานไฟฟ้าได้แล้วด้วยฝีมือคนไทยโดย B.P. GARAGE มาทำความรู้จักความสุดยอดกับคุณต้น เจ้าของอู่แห่งนี้กันครับ เติบโตมาพร้อม VOLKSWAGEN B.P. GARAGE ย่านพุทธมณฑลสาย 4 คืออู่ที่ดูแลเซอร์วิสให้กับรถ Volkswagen ที่ดูแลโดยคุณต้น ก่อตั้งมานานกว่า 20 ปี แต่ความผูกพันธ์กับความคลาสสิคของรถยนต์แบรนด์นี้มันเริ่มต้นมาตั้งแต่วัยเด็ก “Volkswagen มันเป็นรถที่ทำแล้วมีความเป็นสไตล์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งเติมแต่ง ด้วยความเป็นตัวของตัวเอง ทำให้มันไม่เหมือนใคร แต่อาจจะดีกว่าใครแบบนี้ แล้วมันเป็นรถที่ Maintenance น้อยนะ เพราะส่วนหลัก ๆ คือเครื่องยนต์ที่ไม่ต้องดูแลอะไรมาก เป็นรถที่ใช้งานได้จริง ๆ แต่พอเวลาผ่าน ยุคมันเปลี่ยน
UrboyTJ คือหนึ่งในแรปเปอร์มากความสามารถแห่งยุค ด้วยสไตล์การร้องที่เป็นเอกลักษณ์ บุคลิกทะเล้นมาดกวน และการแต่งตัวที่โคตรเฟี้ยว ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ใครไม่ใช่สาวกเพลงฮิปฮอปก็ต้องรู้จักเขาจากที่ไหนสักที่อย่างแน่นอน ณ วันนี้ UrboyTJ ได้ปล่อยอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของตัวเองออกมา และเรียกกระแสฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะทุกบทเพลงในนั้นมีครบรสหลากอารมณ์ เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่คุ้นเคย และมีความลึกซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งกว่าจะทำอัลบั้มนี้จนสมบูรณ์ได้ เขาต้องใช้เวลาสั่งสมในวงการดนตรีมามากกว่า 10 ปี จนตกผลึกมาเป็น ‘Selfmade’ อัลบั้มที่บ่งบอกตัวตนที่แท้จริงของ UrboyTJ ถึงการเป็นคนที่ไม่อยากเป็น การมีอยู่ของตัวตนที่เมคขึ้นมา หรือความคาดหวังจากคนอื่น ที่ทำให้คน ๆ หนึ่งสูญเสียตัวตนไป คอลัมน์ Garage ประจำสัปดาห์นี้ เราจะพาทุกคนไปพบกับ UrboyTJ หรือ จิรายุทธ ผโลประการ กับเบื้องลึกเบื้องหลัง และจุดเริ่มต้นสู่การปล่อยอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกของตัวเอง เราสนใจเพลงแนวนี้ก่อนจะเข้ามากามิกาเซ่หรือเปล่า แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ UrboyTJ หันมาฟังเพลง Hip Hop “จริง ๆ ผมฟังฮิปฮอปมาตั้งแต่เด็กมาก ๆ แล้วครับ ตั้งแต่ประถมได้ เพราะตอนเด็กผมมีญาติที่อยู่ฝรั่งเศส เวลาเขาบินกลับมาไทย เขาจะพกวอล์กแมนมาตัวนึง ตอนนั้นในเครื่องใส่เพลงของ
หากย้อนกลับไปค้นความทรงจำของผู้คนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน หลายคนน่าจะเจอเศษเสี้ยวของความทรงจำเดียวกันกับเรา ความทรงจำที่มีถึงเรื่องราวของดาวดวงหนึ่งที่เจิดจรัสสุด ๆ บนวงการบันเทิงไทย เรียกว่าระดับปรากฏการณ์ก็คงดูไม่เกินจริงนัก เขาเป็นเด็กหนุ่มตาหล่อเหลา คารมดี ขี้เล่น เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่หาตัวจับได้ยาก ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าคนที่เติบโตขึ้นมาในช่วงยุค 90 คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อว่า ‘เจ มณฑล จิรา’ ก่อนที่เขาจะหายหน้าไปจากแสงไฟสปอตไลต์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จะเหลือไว้ก็เพียงข่าวคราวผลงานด้านการทำเพลงในฐานะคนเบื้องหลังให้กับภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ด รวมถึงศิลปินดังมากหน้าหลายตาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมงานเพลง Side Project เล็ก ๆ ที่ทำร่วมกับเพื่อนฝูงให้กลุ่มคนที่ยังติดตามผลงานของเขาอยู่ได้หายคิดถึงกันบ้าง และในวันนี้เมื่อเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจกลับมาเป็นคนเบื้องหน้าอีกครั้ง เราจึงไม่พลาดที่จะชวน ‘เจ มณฑล จิรา’ มาพูดคุยถึงชีวิตของเขาในหลายแง่มุมซึ่งหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้ถาม นับตั้งแต่ที่เขาเลือกหายไปจากงานเบื้องหน้าในวงการบันเทิง จนกระทั่งการกลับมาพร้อม ‘ด้วยความเคารพ’ ผลงานอัลบั้มเดี่ยวภาคภาษาไทยในรอบ 24 ปีของเขา อะไรที่ทำให้เขาปลีกตัวจากงานบันเทิงที่กำลังรุ่ง อะไรที่ทำให้เขาหันไปทุ่มเทกับงานเพลง และอะไรที่ทำให้ชายวัย 41 ย่าง 42 ปี (ที่ยังคงหล่อเหลาดูดีเกินอายุ) นั้นกลับมามุ่งมั่นสร้างผลงานเดี่ยวของตัวเองอีกครั้ง ขอเชิญชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบคำตอบพร้อม ๆ กันในคอลัมน์
สำหรับชาวร็อกที่เติบโตมาในยุคอินดี้เฟื่องฟู เราเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ MAD PACK IT เจ้าของเพลงดังในอดีตอย่าง ‘รักในสันดาน’ ‘อยู่เพื่อตัวเอง’ ‘เลิก’ ‘กวนตีน’ และ ‘คำให้การ’ ด้วยเนื้อหาที่ตรงไปตรงมา ภาษาที่โดนใจ รวมถุงเสียงร้อง เสียงดนตรีที่จัดจ้านทำให้พวกเขาสร้างฐานแฟนเพลงได้ไม่ใช่น้อย โดยผลงานสตูดิโออัลบั้ม 2 ชุด, E.P. อัลบั้มอีก 1 ชุด รวมถึง ‘MAD PACK IT X-TREAM CONCERT’ คอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของพวกเขาซึ่งจัดขึ้นในปี 2547 คือสิ่งการันตีความนิยม และความเหนียวแน่นของกลุ่มแฟน ๆ MPI เป็นอย่างดี จนเมื่อเวลาผ่าน ยุคสมัยเปลี่ยน เรื่องราวความสำเร็จเหล่านี้จึงได้กลายสภาพเป็นความทรงจำดี ๆ ยุคอินดี้ ไปพร้อม ๆ กับชื่อเสียงของพวกเขาที่ค่อย ๆ จางหายไปจากวงการเพลงในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา จะมีก็เพียงผลงานซิงเกิ้ลใหม่ออกมาให้ได้ฟังกันเฉลี่ยปีละครั้ง แต่ถึงกระนั้นบทเพลงเก่า ๆ ของพวกเขาก็ยังคงถูกเปิดอยู่จนถึงปัจจุบัน อีกทั้งเรื่องราวของพวกเขาก็ยังคงถูกพูดถึงในกลุ่มแฟน ๆ
GARAGE สัปดาห์นี้ขอพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบกับ Lomosonic กลุ่มคนดนตรีตัวจริง ที่ผ่านการเดินทางมายาวนานกว่า 15 ปีตั้งแต่ก่อตั้งวง หรือ 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ได้ออกอัลบั้มชุดแรก กับเรื่องราวที่มีทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม หยาดเหงื่อ และความผิดหวัง ซึ่งบทสนทนาในวันนี้คือการพูดคุยย้อนไปตั้งแต่วันแรกของทุกคนก่อนจะได้มารวมกลุ่ม ฟอร์มทีม ร่วมฝ่าฟันความฝันบนเส้นทางดนตรีไปด้วยกัน ถือเป็นการคุ้ยกล่องความทรงจำตลอดหลายปีในนาม Lomosonic ของ ‘บอย-อริย์ธัช พลตาล’, ‘ป้อม-ฉัตรชัย งามสิริมงคลชัย’, ‘ ปิติ-ปิติ เอสตราลาโด สหพงศ์ เดน โดมินิค’ และ ‘ออตโต้-ชาญเดช จันทร์จำเริญ’ ที่เรื่องราวทั้งหลายของพวกเขาได้ตกผลึกจนกลายมาเป็นประสบการณ์และผลงานดนตรีที่บ่งบอกตัวตนของพวกเขา ณ ปัจจุบัน จุดเริ่มต้น บอย: สิ่งที่ทำให้เริ่มมาเล่นดนตรีได้ รู้สึกว่าร้องเพลงมาตั้งแต่จำความได้ เราถูกปลูกฝังมาว่าการร้องเพลงมันเป็นการสร้างความบันเทิงให้คนอื่น แต่ว่ามันก็จะมีความขี้อาย หรือว่าเวลาผู้ใหญ่เขาถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าคำตอบที่มันทำให้ผู้ใหญ่พึงพอใจ คือ การเป็นหมอ การเป็นทหาร การเป็นอะไรที่เขาให้คำนิยามเกี่ยวข้องกับความมั่นคง แต่จริง ๆ แล้ว ผมอยากเป็นนักร้องมาตลอด เพราะดู ไมเคิล
หากเอ่ยชื่อ ‘โอ๊ค Big Ass’ และ ‘สมเมย์ Labanoon’ เชื่อว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะพวกเขาทั้งคู่คือมือเบส และมือกลองที่เป็นหนึ่งในสมาชิกวงร็อกเบอร์ต้น ๆ ของเมืองไทย ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสั่งสมชื่อเสียงผ่านเพลงฮิตมาแล้วมากมาย แต่ GARAGE สัปดาห์นี้ เราไม่ได้พาชาว UNLOCKMEN ไปเจาะลึกถึงเส้นทางความสำเร็จที่ผ่านมาของพวกเขา แต่เราจะพาทุกคนไปพบกับเรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของทั้งคู่ กับ VOM Records ค่ายเพลงเล็ก ๆ ที่พวกเขาทุ่มเททั้งแรงกาย และใช้หัวจิตหัวใจปลุกปั้นขึ้นมา เพื่อเป้าหมายในเปิดโอกาสทางดนตรีให้ใครก็ตามที่มีดี และมีไฟฝันอันแรงกล้าอยู่ในตัว ได้ใช้พื้นที่นี้ปล่อยของออกไปสู่คนฟังให้ได้มากที่สุดโดยพี่โอ๊ค และ พี่สมเมย์ได้เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าย้อนไปยังชีวิตวัยเด็กซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมดทั้งมวลที่พาให้ทั้งคู่ก้าวสู่วิถีคนดนตรี พี่โอ๊ค: ตอนเด็ก ๆ เริ่มจากที่บ้านชอบฟังเพลง ที่บ้านจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอะไรแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะเปิดพวกเพลงสากลด้วย เพลงไทยด้วย ยุคนั้นก็จะได้ยินเพลงเอลวิส เพลงโฟล์ค อะไรพวกนี้ พอโตขึ้นมาหน่อย พี่ชายเค้าก็จะฟังเพลง ก็จะเปิดพวกฮาร์ดร็อคยุค 70 ยุค 80 เราก็ได้ฟัง ซึมซับมาเรื่อย ๆ ก็เลยชอบฟังเพลง บวกกับพี่ชายเป็นนักดนตรีด้วย พอเขาเริ่มเล่นดนตรีเราก็ดูเขาก็
หลายคนคงรู้จัก ‘เอ้-กุลจิรา’ หรือ ‘เอ้-The Voice’ ในฐานะสาวน้อยเสียงดีมีเอกลักษณ์จากเวทีประกวด The Voice Season 3 แม้จะผ่านเวลามาแล้วกว่า 6 ปี ชื่อนี้ก็ยังคงเป็นที่จดจำแทบทุกพื้นที่สื่อที่เธอปรากฎตัว แต่ถ้าพูดถึง ‘เอ้-Beagle Hug’ เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่านี่คืออีกสเต็ปการเดินทางบนถนนสายดนตรีที่ตอกย้ำอาชีพศิลปินของเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น กับงานเพลงแนว Experimental Pop และ Trip Hop ที่ เอ้, แบงค์, โบ๊ท และปอม เหล่าพี่น้องสหายดนตรีร่วมกันสร้างสรรค์ในนาม Beagle Hug และ GARAGE สัปดาห์นี้จะพาชาว UNLOCKMEN ไปรู้จักเรื่องราวของเขาและเธอให้มากขึ้น แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องราวของ Beagle Hug เราขอพาทุกท่านย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ ‘เอ้’ สุภาพสตรีเพียงคนเดียวของวง กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางดนตรี, การเข้ามาของชื่อเสียง ไปจนถึงการเริ่มต้นสร้างสรรค์ผลที่เป็นตัวเองจริง ๆ ในนามวง Beagle Hug “เราชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็ก ๆ เติบโตมากับเพลงเก่า ๆ เพลง Oldies
ต้องบอกว่า ’10 ปี’ คือระยะเวลาไม่ใช่น้อย ๆ กับการที่วงดนตรีสักวงจะยืนหยัดสร้างผลงาน ผ่านเรื่องราวมากมาย จนได้มีโอกาสปักหมุดไมล์ 10 ปีเอาไว้ในหน้าสมุดบันทึกวงการเพลงไทย ยิ่งเป็นวงอย่าง The Yers วงดนตรีที่ยอมรับแต่โดยดีว่า ด้วยแนวเพลง และวิธีนำเสนอของวง เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำให้อาชีพศิลปินนั้นกลายเป็นอาชีพหลักอาชีพเดียวที่สามารถหล่อเลี้ยงสมาชิกทุกคนได้ แล้วอะไรคือแรงผลักสำคัญที่ทำให้วงยังคงเดินหน้าต่อไป และคำถามนี้ที่เราเอง และเชื่อว่าอีกหลายคนกำลังสงสัย คงไม่มีใครให้คำตอบได้ดีไปกว่า อู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ (Vocal & Guitar), ต่อ-พนิต มนทการติวงค์ (Guitar), โบ๊ท-นิธิศ วารายานนท์ (Bass) และ บูม-ถิรรัฐ ภู่ม่วง (Drum) สมาชิกปัจจุบันของ The Yers ซึ่งพวกเขาจะมาเล่าเรื่องราวของวงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา และอัพเดทความเป็นไปของ The Yers หลังผ่านหลักไมล์ที่ 10 ให้ทุกคนได้อ่านกันในคอลัมน์ GARAGE ส่งท้ายเดือนเมษายนนี้ จุดเริ่มต้น อู๋: แรกเริ่มเลยเป็นการรวมวงของเพื่อนสมัยประถมของผมมีแค่ 3
มีใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า บทเพลงไพเราะช่วยทำให้บรรยากาศในแต่ละสถานการณ์ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้งเพราะพวกเราก็เป็นคอดนตรี บางคนชอบฟังเพลงในกระแส บางคนชอบฟังเพลงนอกกระแส บางคนชอบฟังเพลงสากลไปจนถึงเพลงของไอดอลเคป๊อป พวกเรามักสลับกันเปิดเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศในออฟฟิศ และหลายครั้งหลายคราวที่เลือกฟังเพลงของวงดนตรีวงหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง วงที่ว่าก็คือ eletric.neon.lamp เราได้ฟังเพลงของ eletric.neon.lamp มาประมาณหนึ่ง และในที่สุดก็มีโอกาสร่วมวงสร้างบทสนทนากับสมาชิกในวงทั้ง เจน (ร้องนำ) แทน (กีตาร์) อุน (กีตาร์) เต้ (เบส) และแป๊ก (กลอง) เราพบว่า eletric.neon.lamp คือวงดนตรีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ วิธีการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มุกตลกกวน ๆ อย่าง “ถ้าเทียบกับหมา eletric.neon.lamp ก็แก่มากแล้ว” และถ่ายทอดเรื่องราวอย่างจริงใจว่ากว่า 14 ปี พวกเขาพบเจออะไรบ้างระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟแห่งความฝัน การเดินทางจากเชียงใหม่สู่ใจกลางของวงการเพลงไทย วงดนตรีนามว่า eletric.neon.lamp ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนที่หลงรักเสียงเพลงและอยากสร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีในสไตล์ของตัวเอง เริ่มจากพ.ศ. 2549 ที่พยายามค้นหาตัวเอง ลองผิดลองถูก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนวันนี้นานถึง 14 ปี ระยะเวลานานขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ UNLOCKMEN
เท่าที่พอจำความได้มีวงดนตรีเพียงไม่กี่วงที่ถูกบรรจุในความทรงจำวัยเด็กของเรา และยังแน่วแน่ทำเพลงใหม่อย่างไม่เคยหมดมุขหรือเหน็ดเหนื่อยจนถึงปัจจุบัน แล้วคงพูดได้เต็มปากว่า ‘Scrubb’ (สครับ) เป็นหนึ่งในไม่กี่วงนั้น Scrubb คือวงดนตรีป๊อปร็อกอายุ 20 ปี ของ บอล – ต่อพงศ์ จันทบุบผา และ เมื่อย – ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ คู่หูต่างชั้นปีจากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน พวกเขาสร้างสรรค์ดนตรีหลากสไตล์ กลั่นกรองคำร้องและท่วงทำนองที่บางครั้งก็อบอุ่นฟังสบาย แต่บางทีก็ลึกซึ้งราวกับพาเราดำดิ่งไปสัมผัสอารมณ์โคตรเศร้าที่เป็นหนึ่งส่วนของความสัมพันธ์ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่โตมากับเพลงเธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ ฟังเพลงกลัวและผ่านไปแล้วตอนเศร้าหม่น เปิดเพลงใกล้และรอยยิ้มฟังเพลิน ๆ ตอนแอบชอบใครสักคน หรือเคยใช้เพลงคู่กัน คนนี้ และเข้ากันดีมอบให้แฟนคนใดคนหนึ่ง เราอยากให้คุณรู้จักและหลงรัก Scrubb อีกครั้ง ผ่านบทสนทนาของสองหนุ่มต่างสไตล์ที่โลดแล่นบนเส้นทางดนตรีมา 20 ปี ซึ่งสิ่งที่เหมือนกันและยังทำมาจนถึงทุกวันนี้คือ ‘การทำเพลง’ หลายคน ‘ยังอยากรู้’ ว่าจุดเริ่มต้นของ Scrubb เกิดขึ้นตอนไหน? เมื่อย: เราเจอกันในมหาวิทยาลัยศิลปากร อยู่ในชมรมดนตรีเหมือนกัน จนวันนึงอยากมีเพลงเป็นของตัวเอง เลยพยายามไปเสนอค่าย แต่ก็ไม่มีใครเอา (หัวเราะ) ก็เลยลองทำเพลงใต้ดินกันเอง มีเครื่องอัดสี่แทร็ก