Life

GARAGE: ‘ด้วยความเคารพ’ อัลบั้มเดี่ยวภาษาไทยของ ‘เจ-มณฑล จิรา’ ที่ใช้เวลาเคี่ยวกรำกว่า 24 ปี

By: NTman October 29, 2020

หากย้อนกลับไปค้นความทรงจำของผู้คนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน หลายคนน่าจะเจอเศษเสี้ยวของความทรงจำเดียวกันกับเรา ความทรงจำที่มีถึงเรื่องราวของดาวดวงหนึ่งที่เจิดจรัสสุด ๆ บนวงการบันเทิงไทย เรียกว่าระดับปรากฏการณ์ก็คงดูไม่เกินจริงนัก เขาเป็นเด็กหนุ่มตาหล่อเหลา คารมดี ขี้เล่น เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่หาตัวจับได้ยาก ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าคนที่เติบโตขึ้นมาในช่วงยุค 90 คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อว่า ‘เจ มณฑล จิรา’ ก่อนที่เขาจะหายหน้าไปจากแสงไฟสปอตไลต์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

จะเหลือไว้ก็เพียงข่าวคราวผลงานด้านการทำเพลงในฐานะคนเบื้องหลังให้กับภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ด รวมถึงศิลปินดังมากหน้าหลายตาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมงานเพลง Side Project เล็ก ๆ ที่ทำร่วมกับเพื่อนฝูงให้กลุ่มคนที่ยังติดตามผลงานของเขาอยู่ได้หายคิดถึงกันบ้าง

 

 

และในวันนี้เมื่อเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจกลับมาเป็นคนเบื้องหน้าอีกครั้ง เราจึงไม่พลาดที่จะชวน ‘เจ มณฑล จิรา’ มาพูดคุยถึงชีวิตของเขาในหลายแง่มุมซึ่งหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้ถาม นับตั้งแต่ที่เขาเลือกหายไปจากงานเบื้องหน้าในวงการบันเทิง จนกระทั่งการกลับมาพร้อม ‘ด้วยความเคารพ’ ผลงานอัลบั้มเดี่ยวภาคภาษาไทยในรอบ 24 ปีของเขา

อะไรที่ทำให้เขาปลีกตัวจากงานบันเทิงที่กำลังรุ่ง อะไรที่ทำให้เขาหันไปทุ่มเทกับงานเพลง และอะไรที่ทำให้ชายวัย 41 ย่าง 42 ปี (ที่ยังคงหล่อเหลาดูดีเกินอายุ) นั้นกลับมามุ่งมั่นสร้างผลงานเดี่ยวของตัวเองอีกครั้ง ขอเชิญชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบคำตอบพร้อม ๆ กันในคอลัมน์  GARAGE ประจำสัปดาห์นี้


สาเหตุที่ปลีกตัวจากการเป็นคนเบื้องหน้า?

คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตที่สุด เวลาคนเจอหน้า ‘เจ มณฑล’ ปรากฏบนสื่อที่ไหนสักแห่ง เพราะอย่างที่เรารู้กันว่า เขาคือไอดอลคนดังในยุค 90 ที่กำลังมาแรงสุด ๆ แต่กลับเลือกหันหลังให้กับวงการแล้วปลีกตัวหายไปจากแสงสีในตอนนั้น ซึ่งความจริงแล้วผู้ชายคนนี้ไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน

 

 

แค่ช่วงเวลานั้นมันถึงเวลาที่ต้องไปเรียนต่อ ก็เลยย้ายประเทศไปเรียนที่แคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระหว่างนั้นก็มีบินกลับมาที่ไทยบ้างในช่วงปิดเทอม มีรับงานถ่ายแบบ งานโฆษณา และงานแสดงบ้าง จนเรียนจบ ก็มีโอกาสได้กลับมาไทยเพื่อทำงานเบื้องหลังอยู่ตลอด แต่หลายคนที่ชินกับภาพจำเก่า ๆ มักจะคิดว่าเขาหายไป ซึ่งในมุมมองของคุณเจมองว่า เรายังอยู่ตรงนี้เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่แค่เปลี่ยนโฟกัสของงานเท่านั้น โดยรูปแบบงานเบื้องหน้ามันอาจจะไม่ยั่งยืน อยู่ไม่นานก็หายไป เลยตัดสินใจไปเน้นในอีกทางที่น่าสนใจกว่าอย่างการทำงานเบื้องหลังนั่นเอง

“ก่อนหน้านั้นเราวางแผนไว้หมดแล้วว่าจะทำอะไรบ้าง ถึงเวลานี้เราจะทำอะไรต่อ เราก็แค่เดินตามแผนที่วางไว้ แต่หลายคนบอกว่าเราหายไป จริง ๆ แล้วเราก็ทำงานอยู่ตรงนี้แหละ แค่เปลี่ยนไปทำเบื้องหลังเท่านั้นเอง” คุณเจคลายข้อสงสัยนี้ให้กับเราและอีกหลาย ๆ คนได้อย่างชัดเจน


ดนตรีคือคำตอบ

นอกจากบทบาททางด้านการแสดงแล้ว หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ ‘เจ มณฑล’ ในฐานะนักร้องด้วยเช่นกัน โดยเขาได้เล่าย้อนกลับไปสมัยเพิ่งเริ่มรู้จักดนตรีใหม่ ๆ ด้วยความที่เป็นคนชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว พอมาถึงจุดหนึ่ง ก็อยากลองเล่นดนตรีด้วยตัวเองบ้าง ตามประสาวัยรุ่นอยากรู้อยากลอง ก็เลยมานั่งหัดเล่นกับเพื่อน ๆ พอโตมาก็มีโอกาสเดินทางสายเพลงอยู่พักหนึ่งในไทย จนได้ฝากเพลงฮิตไว้มากมาย เช่น ไม่เกี่ยวกับฟ้า และหลังจบไฮสคูล ก็บินไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยสาขาดนตรีที่ UC Davis จนจบ และได้มาทำงานสายดนตรีแบบเต็มตัวในฐานะโปรดิวเซอร์และได้เป็นส่วนหนึ่งของวง Kenna ในที่สุด เรียกว่าทุกช่วงของชีวิตของ ‘เจ มณฑล’ ถูกกำหนดให้ดนตรีเป็นหนึ่งใน Activity สำคัญ ที่จะขาดไปไม่ได้เลย

 

 

“ดนตรีมีหลายอย่างที่มันครบเครื่อง ไม่ว่าจะในมุมของการทำงาน ที่จะทำคนเดียวก็ได้ ทำเป็นวงก็ได้ พอมีบางส่วนที่ทำเสร็จ แล้วอยากเอาผลงานไปนำเสนอค่าย ก็ทำให้เราได้เจอคนอีกมากมาย เกิดเป็น Communication มีการเดินทาง การพบปะพูดคุย รวมถึงรายละเอียดยิบย่อยอย่างการดูแนวดนตรี เพลงแต่ละแบบ การเล่นดนตรีแต่ละชิ้น มันดูเป็นอะไรที่ทำได้ไม่เบื่อและไม่มีวันจบ”

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันคือส่วนผสมที่ลงตัวและเพียงพอต่อการทำให้ชายคนนี้ถวายวิญญาณให้กับดนตรีตั้งแต่จำความได้มาถึงปัจจุบันในวัย 41 ปี เรียกได้ว่าทุ่มเวลาเกือบทั้งชีวิตไปกับมัน และเราเชื่อว่าจะรวมไปถึงช่วงชีวิตที่เหลือต่อจากนี้อีกด้วย


ความแตกต่างระหว่าง งานแสดง กับ งานเพลง?

เราไม่พลาดที่จะยิงคำถามประเด็นนี้ไป เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าถึงแม้ ‘เจ-มณฑล’ จะหันมาทุ่มเทให้กับการทำเพลงอย่างจริงจัง แต่ตัวเขาเมื่อหลายปีก่อนก็ถือว่าผ่านงานบันเทิงในฐานะนักแสดงทั้งโฆษณา ละคร และภาพยนตร์มาแล้วมากมายหลายชิ้น

 

 

“เรามีความรู้สึกว่า ตัวงานที่เราเป็นคนสร้างมันขึ้นมา กับ การเป็นส่วนหนึ่งของงานที่คนอื่นสร้าง มันคนละเรื่องกันเลย” นี่คือคำตอบแรกของเขาหลังจบคำถาม ก่อนที่เจ้าตัวจะเล่าย้อนให้ฟังถึงประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาในอดีตว่า ตลอดช่วงเวลาที่ทำงานมา ทั้งงานแสดงเอย งานเพลงเอย ตัวเขารู้สึกว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไอเดียของคนอื่นทั้งนั้น เหมือนตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของงานคนอื่นที่เขามาจ้างเราเป็นพรีเซนเตอร์อีกที รับบทอะไรมาก็แค่ทำตามนั้น

จนถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่ามีส่วนร่วมตรงนี้ครบแล้ว ก็เลยหันไปลองทำงานอีกแบบดู ซึ่งในตอนที่ได้ทำงานเพลงอยู่เบื้องหลัง เขากลับชอบงานตรงนี้มากกว่า การได้ลงมือทำ การได้ออกไอเดีย คือสิ่งที่เขาแฮปปี้ที่สุด และได้มีผลงานในชื่อของตัวเองด้วย ต่างกับงานก่อน ๆ ที่มันเป็นหน้าของเรา แต่ไม่ได้เป็นชื่อของเรานั่นเอง


เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดนตรีจากศิลปินระดับโลก

ต้องบอกว่าการหายหน้าไปลุยอยู่กับการทำเพลงของ ‘เจ-มณฑล’ นั้นนอกจากจะเป็นการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้ถ่ายทอดมุมมอง ถ่ายทอดความสามารถผ่านผลงานที่หลากหลายแล้วมันยังเป็นช่วงชีวิตที่ผู้ชายคนนี้ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำเพลงอันล้ำค่าที่ทุ่มเงินลงคอร์สเรียนไปมาแค่ไหนก็หายากจะหาประสบการณ์เหล่านี้ได้

 

 

และเราเชื่อว่าเกินครึ่งของคนไทย ไม่เคยรู้ว่าเวลาหลายปีที่เขาหายไปจากการทำงานเบื้องหน้า ‘เจ-มณฑล’ เคยออกทัวร์กับศิลปินระดับโลกอย่าง Dave Gahan , Nelly Furtado และนักร้องหนุ่มหล่ออดีตวง ‘N Sync อย่าง Justin Timberlake มาแล้ว ด้วยสุดยอดประสบการณ์นี้มันคือการช่วยเพิ่มทักษะหลายอย่างให้กับเขาและได้เรียนรู้วิธีการทำงานจากคนในระดับหัวแถวของวงการ ทั้งวิธีการโปรโมท วิธีผ่านวิกฤติ MP3 (แผ่นผีระบาด) ระบบการสร้างเวทีที่ใหญ่ โปรดักชันขั้นเทพที่ต้องอาศัยทีมงานหลายพันชีวิต รวมถึงขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดและแนวทางการทำโชว์ที่แตกต่างกันของศิลปินต่างแนว ที่สามารถเอามาปรับใช้กับงานของตัวเองได้

แถมเขายังเล่าให้ฟังถึงประสบการณ์สุดบ้า อย่างการโกหกคนของวง Kenna ว่าเล่นคีย์บอร์ดกับเบสได้ ทั้งที่ตัวเองเล่นแทบจะไม่เป็นด้วยซ้ำ เพื่อให้มีโอกาสได้ร่วมวงไว้ก่อน แม้อะไรจะเกิดต่อไปก็ช่างมัน ขอให้ได้เข้าวงก่อนก็พอ ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่นึกถึงเมื่อไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที

“เหมือนเรามีโอกาสเราก็คว้าไว้ก่อน เดี๋ยวเราเล่นไม่ดี เขาก็ไล่เราออก ก่อนวงจะออกทัวร์เองแหละ แต่โชคดีที่มันก็เป็นไปได้ด้วยดี (หัวเราะ) ” คุณเจเล่าถึงโมเมนต์น่าประทับใจที่ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นเอง โดยที่ไม่มีอะไรแพลนไว้ตั้งแต่แรกเลย พอมาคิดถึงแล้วรู้สึกว่ามันเป็นความทรงจำที่ดีจริง ๆ


จุดเริ่มต้นของอัลบั้มเดี่ยวที่เป็นตัวเองจริง ๆ ?

จากประสบการณ์สายดนตรีที่สั่งสมมาตลอดหลายสิบปี ทำให้เส้นทางสู่การสร้างผลงานเดี่ยวที่เป็นตัวเองจริง ๆ ของ ‘เจ มณฑล’ เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น หลังผ่านการโปรดิวซ์ให้วงอื่นและผ่านการทัวร์กับศิลปินระดับโลกมามากมาย จนเป็นที่ยอมรับจากหลายฝ่ายเรื่องงานโปรดักชัน การมิกซ์เสียงตลอดจนงานเบื้องหลังทั้งหมด ในที่สุดราว ๆ ปี 2018 ก็ถึงคราวเริ่มโปรเจกต์เดี่ยวในรอบ 24 ปีที่ยาวนานชุดนี้จนได้

“จริง ๆ เราอยากทำตั้งแต่อัลบั้มแรกเมื่อ 20 ปีก่อนแล้วแหละ เราแค่กำลังค้นหาว่าเราจะทำยังไงให้มันออกมาในรูปแบบที่เราต้องการ สิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราอยากจะฟัง มันควรจะเป็นแบบไหน” เขาเปิดเผยให้ฟังถึงเมล็ดพันธุ์แห่งการสร้างสรรค์ดนตรี ที่เริ่มก่อตัวในใจนับตั้งแต่วันที่ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกเมื่อปี พ.ศ. 2539 ในฐานะนักร้องหนุ่มที่แทบไม่ได้มีส่วนร่วมในผลงานดนตรี ทำนอง คำร้อง ที่เปล่งออกจากปากของเขาเท่าไหร่นัก

จนเมื่อเวลาผ่าน เมล็ดพันธุ์ในจิตใจ และประสบการณ์ด้านดนตรีนั้นสุกงอมเต็มที่ ก็เป็นเวลาที่ ‘เจ มณฑล’ ตัดสินใจปฏิเสธงานทุกอย่างตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วเพื่อเริ่มต้นลุยทำผลงานเพลงของตัวเองอย่างจริงจัง

“ใช่ ๆ เราไม่รับงานทำเพลงให้คนอื่นเลยตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา เพราะรู้สึกว่าตั้งแต่เรากลับมา ก็จะมีงานเข้ามาตลอด ซึ่งเขาก็มีรายได้รองรับเราไว้อยู่ในส่วนนั้น เพราะแน่นอนงานของเรามันจะไม่มีอะไรเข้ามาอยู่แล้ว เราก็เลยรับไว้ก่อน ซึ่งเราไม่รู้ว่างาน ๆ หนึ่งมันจะใช้เวลานานแค่ไหน โปรเจกต์เดี่ยวก็เลยถูกผลักไปไว้ข้างหลังตลอด”

สิ่งที่เขาเล่าให้เล่าฟังถือเป็นการตัดสินใจที่บ้าระห่ำไม่ใช่เล่น กับการหยุดรับงาน หยุดพักอาชีพที่หล่อเลี้ยงตัวเองมาตลอด 20 กว่าปี เพื่อสร้างงานเพลงของตัวเอง จึงอดถามไถ่ไม่ได้ว่ามันยากเย็นมากน้อยแค่ไหนก่อนที่จะเลือกตัดสินใจแบบนี้

ซึ่งคำตอบที่ได้ต่างไปจากที่เราคาดหวัง เพราะแทนที่จะได้ยินตอบในแนวทางที่ว่า ผมไม่กลัวในการตัดสินใจครั้งนี้ แค่ได้ทำสิ่งที่รักก็พอ เรากลับได้รับคำบอกเล่าจากปากผู้ชายคนนี้ว่าเขากลัวกับการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่น้อย กลัวไปหมดทุกเรื่อง ทั้งกลัวการไม่มี Control ในชีวิต, กลัวกับการต้องเสียโอกาสอะไรไปจนส่งผลให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบเท่านั้น หรือแม้กระทั่งความกลัวที่มีต่อคนรอบข้าง กลัวความคาดหวังของครอบครัว คนเหล่านั้นจะคิดยังไง ถ้าหากเขาเลือกไม่รับงานแล้วออกมาทำงานของตัวเองที่ก็ไม่รู้จะใช้เวลานานแค่ไหน ความกลัวซ้อนทับกันเป็นก้อนใหญ่ เหยียบให้โปรเจกต์เดี่ยวชุดนี้ค่อย ๆ จมลงไปตามกาลเวลา

เมื่อความกลัวมันบดบังทุกสิ่งจนเริ่มมองไม่เห็นทางออก ‘เจ มณฑล’ ได้เล่าให้เราฟังถึงอีกหนึ่งการตัดสินใจครั้งสำคัญคือการไปทำกิจกรรมในเชิงสมาธิ ฝึกจิต ให้สมองได้ครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง เพื่อค้นต้นตอปัญหาที่ทำให้โปรเจกต์งานเพลงส่วนตัวไม่เดินหน้าจนสุดท้ายเขาได้พบว่า ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลนั้นบ่งชี้ไปที่ความกลัวที่เขามีตั้งแต่เริ่มนั่นเอง

“พอเรากลับมาจากการได้ไปทำสมาธิกับตัวเอง จนรู้ถึงต้นตอปัญหา เราเลยกล้าไปคุยกับคนรอบข้าง ไปคุยกับครอบครัวว่าเขาคิดยังไงถ้าเราจะหยุดรับงานทั้งหมด เพื่อทุ่มเททำงานเพลงของตัวเองตรงนี้ ปรากฏว่าเขาสนับสนุนกันทุกคนเลย กลายเป็นว่าก่อนหน้านั้นมีแต่เราที่มัวแต่กลัวว่าเขาจะคิดอีกแบบ” เมื่อกำจัดความกลัวออกไปจากข้างในได้ หนทางก็ดูจะชัดเจนขึ้น เรียกได้ว่าทุกสิ่งพร้อมให้เขาเริ่มต้นลุยงานของตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องมีอะไรค้างคากวนใจอีก

“อายุจะเข้าใกล้เลข 4 แล้วนะ ถ้าเราอยากจะทำงานตรงนี้ มันควรจะเริ่มได้แล้ว ยิ่งรู้ว่าพร้อมยิ่งควรจะเริ่ม หรือไม่พร้อม ก็ควรจะเริ่มอยู่ดี” (หัวเราะ) ประโยคนี้คือสิ่งยืนยันว่า ถ้าตัดความกลัวในตอนต้นออกไป ผู้ชายคนนี้นั้นอยากจะสร้างงานเพลงที่เป็นของตัวเองจริง ๆ ออกมาให้ทุกคนได้ฟังมากแค่ไหน


นิยามผลงานที่ใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์มากว่า 20 ปี

เมื่อเราถามถึงคอนเซปต์ของอัลบั้ม ‘ด้วยความเคารพ’ ว่ามีที่มาที่ไปยังไง เขาก็ค่อย ๆ เล่าทวนสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมาอย่างละเอียด เริ่มจากที่ตัวเขาเองเป็นคนชอบฟังดนตรีและหลงใหลในเสียงเพลงมาก ๆ จนถึงจุดหนึ่งถึงขั้นที่ไม่อยากฟังเพลงที่มีเนื้อร้องด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่ามันมารบกวนจินตนาการเรื่องราวของเขา การทำงานก็เลยไปเน้นที่ตรงนั้น แต่พอมาคิดดูจริง ๆ ยิ่งกับคนฟังในไทยด้วยแล้ว การเปิดเพลง Instrumental Music (เพลงที่มีแต่เสียงดนตรี) แทบไม่ต่างอะไรกับดีเจที่เปิดแต่เพลงที่คนไม่รู้จักนั่นแหละ เพราะพวกเขามีคอนเนคชั่นกับเนื้อร้องต่างหาก

 

 

“เราเห็นชัดเลยตอนไปทัวร์กับพี่เล็ก Greasy Cafe เราเตรียมเพลงที่ทำใหม่หมดเกือบ 60 นาที เอาออกไปเล่นในวันนั้นด้วย คนก็ดูแฮปปี้กับดนตรีนะ แต่มันก็จบแค่นั้น ซึ่งพอพี่เล็กขึ้นเวทีมา เรารู้เลยว่าเขามีคอนเนคชั่นกับคนมาก ทุกคนร้องตาม อินตาม เราเลยเข้าใจว่า โอเค นี่แหละ มันคือสิ่งที่ขาดอยู่ในผลงานที่เราทำ เราก็เลยจะเอาเนื้อร้องเข้ามาใส่ในงานของเราด้วย เพื่อให้มันคอนเนคกับคนดูได้ดีกว่า”

ส่วนเรื่องราวที่อยากบอกเล่าผ่านอัลบั้มนี้จะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่ตัวเขาเชื่อว่าหลายคนน่าจะมีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน กับเรื่องราวของ Cycle Relationship ตอนต้นความรักอาจจะดูดี จนเริ่มถึงจุดที่ไม่ได้พัฒนาต่อ จุดที่แยกย้าย และกลับมาเริ่มใหม่ต่อไป ซึ่งก็เป็นคอนเซปต์ที่คิดว่าง่ายที่สุดในการแต่งเพลงในมุมมองของเขา โดยสื่อสารออกมาในแบบที่ Simple มาก ๆ แต่จะเป็นวิธีเล่าในรูปแบบของ ‘เจ มณฑล’ ที่รู้กันว่า มันจะต้องผสมผสานกับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์สไตล์ของเขา สลับกับความลึกซึ้งของดนตรีได้อย่างลงตัวแน่นอน ซึ่งมันจะพาเราดำดิ่งลงสู่ส่วนลึกในจิตใจ มีทั้งความบาดลึก คมคาย และเราเชื่อว่าการเล่าในมุมมองของเขา จะเป็นอะไรที่น่าสนใจมากแน่ ๆ


ตั้งใจแต่งเพลงภาษาไทยแม้จะไม่ถนัด

อีกสิ่งหนึ่งที่ชวนสงสัย และเชื่อว่าหากใครได้ฟังงานอัลบั้มใหม่ของ ‘เจ มณฑล’ ก็น่าจะสงสัยในประเด็นเดียวกับเรา ว่าทำไมเขาถึงเลือกใช้ภาษาที่เขาไม่ได้เชี่ยวชาญนักอย่างภาษาไทยในการถ่ายทอดผลงานดนตรีที่เขาตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นมาในครั้งนี้ และนี่คือคำตอบที่ทำให้เรากระจ่าง

“เราคิดว่าเราพร้อมแล้ว ในส่วนของงานโปรดักชั่น เราทำเพลงมาหลายแนวมาก ทั้งเพลงอังกฤษ เพลงประกอบ หรือเพลงบรรเลง แต่สิ่งที่ขาดเพียงอย่างเดียวสำหรับเราก็คือ การแต่งเพลงภาษาไทย”

‘เจ มณฑล’ เกริ่นถึงสิ่งที่ขาดไปในชีวิตเขา แม้จะผลิตผลงานมามากมาย แต่กลับไม่เคยได้แต่งเพลงไทยด้วยตัวเองเลย พร้อมเล่าให้ฟังต่อว่า ณ ตอนนี้ปัจจัยหลาย ๆ อย่างก็เอื้อต่ออัลบั้มเดี่ยวที่เขากำลังจะทำ อย่างกลุ่มคนฟังในประเทศและวิธีเลือกเสพเพลงของคนไทย ที่ยังคงถูกจำกัดในการเปิดรับเพลงต่างประเทศอยู่ ลำพังจะไปทำเพลงขายต่างชาติก็รู้ดีว่า มันต้องงบหนาพอสมควรและมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่ามาก ก็เลยมองหาความท้าทายใหม่ ๆ อย่างการทำเพลงไทยที่ระดับภาษาค่อนข้างยาก ลึกซึ้ง แต่งดงาม ให้ออกมาน่าสนใจให้ได้

 

 

“ด้วยการแต่งเพลงและการโปรดิวซ์ของเรา มันอาจจะมีอะไรที่แตกต่างอยู่ คนต่างชาติอาจจะยังไม่ได้ทำ คนที่นี่ก็อาจจะยังไม่ได้ทำ เราว่าการเอาสองอย่างมาผสมกัน มันจะมีความ Unique กว่าทำเพลงอังกฤษที่เขามีอยู่แล้วหรือเพลงไทยที่เขามีอยู่แล้ว เราก็แค่ต้องหาจุด Balance ระหว่างสองสิ่งนี้ ที่อาจจะมี Composition ที่ได้รับอิทธิพลจากต่างชาติ แต่เอามาใส่ทำนองและเนื้อเพลงเป็นภาษาไทย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามันสำเร็จหรือเปล่า ต้องรอดูกัน” เขาอธิบายถึงแนวทางการทำเพลงในอัลบั้มนี้ให้เราฟังเพิ่มเติม


ความกังวลเมื่อต้องกลับมาเป็นคนเบื้องหน้าอีกครั้ง

จากการที่ร้างราเวทีในฐานะศิลปินเดี่ยวมานาน เราจึงอยากรู้ว่าตัวเขานั้นกังวล หรือคาดหวังในการกลับมาครั้งนี้มากน้อยแค่ไหน 

 

 

“ไม่กังวลมากนะ เพราะเราได้เห็นวงอื่น ๆ ที่เราได้ทำงานด้วย ว่าระบบมันเป็นแบบไหน เราคาดไม่ได้หรอกว่าเพลงไหนที่คนจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่เกี่ยวกับเราเลย เราแค่ทำในสิ่งที่เราชอบที่สุด แล้วเราก็ปล่อยให้คนเขาได้ฟังกัน คนฟังไม่ฟังก็แล้วแต่เขาแล้ว เราทำมันเสร็จ เราก็แฮปปี้ในส่วนของเราแล้ว”

“ส่วนเรื่องความคาดหวังยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเรารู้ว่าในยุคนี้ คนฟังเพลงได้หลายแนว เพราะเพลงมันเยอะมาก เราแค่ต้องกลับมาปรับ Mindset ตัวเองว่าคนยุคนี้ เขาเสพเพลงกันแบบนี้นะ ทุกอย่างมันคือ Attention นั่นแหละ เขาจะเลือกดู Netflix เลือกดูหนัง อ่านหนังสือ หรือเขาอยากจะฟังเพลงของเรา มันก็แล้วแต่เขาแล้วว่าเราจะไปอยู่ตรงไหนของพวกเขา ”

คำตอบที่ได้กลับมา ตอกย้ำให้รู้ว่าประสบการณ์ดนตรีที่เก็บเกี่ยวมาอย่างยาวนาน ทำให้การสลับตำแหน่งขึ้นมาอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์อีกครั้งไม่ได้สร้างความหนักใจให้กับผู้ชายคนนี้มากนัก เพราะใจความสำคัญคือการได้สร้างงานของตัวเองออกมาจนเสร็จสมบูรณ์แล้วต่างหาก และก่อนจะจากกัน ‘เจ มณฑล’ ยังได้ฝากทิ้งท้ายไปถึงทุกคนว่าอยากให้ได้ลองฟังอัลบั้ม ‘ด้วยความเคารพ’ ผลงานที่ผ่านการเคี่ยวกรำประสบการณ์อันยาวนานจนตกผลึกออกมาเป็นงานชิ้นนี้ที่เขาตั้งใจ

 

 

“เราอยากจะให้คนได้ฟัง เพราะวัยรุ่นยุคใหม่จะไม่รู้ว่าผมคือใคร ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผลงานที่เราได้ทำมีอะไรบ้าง ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก พอเขาได้มาฟังเพลงของเรา เขาจะคิดกับมันยังไง เพราะเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำเพลงที่มันตามเทรนด์เลย เราแค่อยากจะทำเพลงที่เราอยากจะทำ ก็หวังว่าเราจะได้มีโอกาสค่อย ๆ สร้างผลงานให้กับคนฟังที่เขาสนใจแนวดนตรีแบบนี้ต่อไปในอนาคตครับ”

 


Photographer: Krittapas Suttikittibut

ถอดเทปและเรียบเรียงโดย: Sorrapat Prasutjaritwong (สรภัศ พระสุจริตวงศ์)

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line