MUSIC

GARAGE: VOM RECORDS เส้นทางดนตรีสายใหม่ของ ‘โอ๊ค’ และ ‘สมเมย์’

By: NTman May 28, 2020

หากเอ่ยชื่อ ‘โอ๊ค Big Ass’ และ ‘สมเมย์ Labanoon’ เชื่อว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก เพราะพวกเขาทั้งคู่คือมือเบส และมือกลองที่เป็นหนึ่งในสมาชิกวงร็อกเบอร์ต้น ๆ ของเมืองไทย ที่เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสั่งสมชื่อเสียงผ่านเพลงฮิตมาแล้วมากมาย

แต่ GARAGE สัปดาห์นี้ เราไม่ได้พาชาว UNLOCKMEN  ไปเจาะลึกถึงเส้นทางความสำเร็จที่ผ่านมาของพวกเขา แต่เราจะพาทุกคนไปพบกับเรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของทั้งคู่ กับ VOM Records ค่ายเพลงเล็ก ๆ ที่พวกเขาทุ่มเททั้งแรงกาย และใช้หัวจิตหัวใจปลุกปั้นขึ้นมา

เพื่อเป้าหมายในเปิดโอกาสทางดนตรีให้ใครก็ตามที่มีดี และมีไฟฝันอันแรงกล้าอยู่ในตัว ได้ใช้พื้นที่นี้ปล่อยของออกไปสู่คนฟังให้ได้มากที่สุดโดยพี่โอ๊ค และ พี่สมเมย์ได้เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าย้อนไปยังชีวิตวัยเด็กซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมดทั้งมวลที่พาให้ทั้งคู่ก้าวสู่วิถีคนดนตรี

พี่โอ๊ค: ตอนเด็ก ๆ เริ่มจากที่บ้านชอบฟังเพลง ที่บ้านจะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอะไรแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะเปิดพวกเพลงสากลด้วย เพลงไทยด้วย ยุคนั้นก็จะได้ยินเพลงเอลวิส เพลงโฟล์ค อะไรพวกนี้

พอโตขึ้นมาหน่อย พี่ชายเค้าก็จะฟังเพลง ก็จะเปิดพวกฮาร์ดร็อคยุค 70 ยุค 80 เราก็ได้ฟัง ซึมซับมาเรื่อย ๆ ก็เลยชอบฟังเพลง บวกกับพี่ชายเป็นนักดนตรีด้วย พอเขาเริ่มเล่นดนตรีเราก็ดูเขาก็ เราก็รู้สึกว่ามันเท่ดี เขามีกีต้าร์ ก็เอามาให้เราลองบ้าง เราก็แอบเอากีต้าร์พี่ชายไปซ้อม เล่น ตีคอร์ดไปเรื่อย

และพอถึงช่วงเริ่มเข้ามัธยมต้น ยิ่งเริ่มรู้สึกว่าการเล่นกีต้าร์มันมีความเท่ ตอนนั้นเป็นยุคไมโคร ยุคอัสนี-วสันต์ ก็เลยเล่นกีต้าร์มาเรื่อย ๆ จนเริ่มตั้งวงดนตรีเล่น ๆ กับเพื่อนมัธยม จนแยกย้ายมาเรียนต่ออาชีวะ ช่วงปวช. เรียนช่างศิลป์ ก็มาเจอคุณหมู มือกีต้าร์วง Big Ass แล้วก็ชวนกันไปตั้งวง เลยได้เป็นหนึ่งในสมาชิกของวง ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อ Big Ass นะ ก็เล่นกันไปจนกระทั่งผมไปเรียนต่อเมืองนอก ได้ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เล่นดนตรีกับฝรั่ง ทำเพลงกับฝรั่ง

พอกลับมาเมืองไทยก็มาอยู่กับเพื่อน ๆ กลุ่มเดิมอีกครั้ง ซึ่งตอนนั้นเพื่อนทำอัลบั้มในนาม Big Ass ไปแล้ว ออกไปสองอัลบั้ม Not Bad กับ XL ผมกลับเข้ามาอยู่กับวงอีกครั้งตอนช่วงที่กำลังทำชุด 3 อัลบั้ม My World ก่อนย้ายไป Genie

ส่วนเหตุผลที่เล่นเบส ต้องย้อนไปตอนรวมวงกับเพื่อน ๆ กลุ่ม Big Ass สมัยปวช. คือจริง ๆ เราเป็นมือกีต้าร์ เล่นกีต้าร์มาตลอด ซึ่งตอนนั้นที่กำลังรวมวงมันขาดมือเบส ด้วยความที่เราอยากเล่นดนตรีกับเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ ที่สมัยนั้นเล่น Cover เพลงที่เราชอบ พวก Metallica พวก Guns N’ Roses เราก็เอ้ามา เดี๋ยวเล่นเบสเองเว้ย อย่างน้อยไม่ได้เล่นกีต้าร์ ก็ขอเล่นเบสแล้วกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เล่นเบสมาตลอด

พี่สมเมย์: ตอนเด็กนี่คือครอบครัวของผม ทางบ้านจะเป็นคนเล่นดนตรีอยู่แล้ว แล้วปกติคือเวลาทางบ้านทั้งน้า หรือพี่เล่นดนตรี เราจะชอบไปนั่งดู และสิ่งที่เราดูแล้วชอบที่สุดก็คือกลอง เราก็ดู แล้วก็จำ แอบมาตีคนเดียว เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ เลยว่าทำไมถึงเลือกตีกลอง

หลังจากนั้นพอโตขึ้น ก็มาอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ฟังเพลงมากขึ้น แล้วก็ได้มาเรียนวิทยาลัยดนตรี เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรีแบบจริงจัง เริ่มเล่นดนตรีกลางคืนหาเงินแล้ว จนมีโอกาสได้มาออกผลลงานกับค่าย Music Bugs ตอนนั้นยังเป็นวง Oblivious แต่ก็มีโอกาสได้ร่วมงานกับวง Labanoon บ้าง มีทำเบื้องหลังอัดให้ Basher อัดให้วง Peak บ้างอะไรแบบนี้อะครับ

จนสุดท้ายช่วงที่ Labanoon ห่างหายไป แล้วกำลังจะกลับมา ตอนนั้นวงยังหามือกลองไม่ได้ เพราะคนเก่าไปตีอยู่กับวงกะลา ด้วยความที่คุ้นเคย เคยทำงานกันมาก่อน เค้าก็เลยโทรมาชวน เฮ้ย เมย์ มาตีกับพี่มั้ย เราก็เลยมีโอกาสได้ไปอยู่กับ Labanoon จนย้ายมาอยู่ Genie ออกซิงเกิ้ล ศึกษานารี พลังงานจน เชือกวิเศษ ทำอัลบั้ม N.E.W.S. มาจนถึงตอนนี้อะครับ

 

การโคจรมาพบกัน

จากจุดเริ่มต้นในวัยเด็กสู่เส้นทางดนตรี ที่ต่างคนต่างไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ชื่อเสียง และความสำเร็จบนเส้นทางของตัวเอง ในที่สุดทั้ง ‘โอ๊ค Big Ass’ และ ‘สมเมย์ Labanoon’ พี่น้องร่วมค่ายตั้งแต่ค่ายเก่ายันค่ายใหม่ ที่ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกันจริงจัง ก็ถูกสิ่งที่พี่สมเมย์คิดว่าน่าจะเป็นพรหมลิขิตนำพาให้ทั้งสองคนโคจรมาร่วมงานกัน

พี่สมเมย์: ถ้าพูดถึงเรื่องนี้เรียกได้ว่ามันเป็นพรหมลิขิตครับ (หัวเราะ) พอดีช่วงนั้นมันเป็นช่วงพักวง Labanoon ช่วงถือศีลอด 2 เดือน ผมก็อยู่ว่าง ๆ 2 เดือนเลยรู้สึกอยากหาอะไรทำสนุก ๆ ก็เลยคิดถึงเพื่อน ๆ วงเก่า วง Oblivious ก็เลยกลับมานั่งคิดว่าอยากจัดงาน Underground เล็ก ๆ แล้วพอจะจัดคอนเสิร์ตแบบนี้เราเลยอยากได้คนที่วาดรูปเก่ง ทำงานทางด้านดนตรีเก่งด้วย เราก็เลยโทรไปหาพี่กบ กับพี่โอ๊ค Big Ass ไปปรึกษาว่าจะจัดงานแบบนี้ดีมั้ย

ช่วงที่ทำงานตอนนั้นก็เล่าคอนเซ็ปต์พี่โอ๊คไป แล้วขอความกรุณาพี่โอ๊คว่าถ้าเป็นไปได้อยากให้พี่โอ๊คช่วยออกแบบโปสเตอร์งาน คิดอาร์ตเวิร์ก ดูคีย์วิชวลทุกอย่างของงาน ซึ่งจากคอนเซ็ปต์ที่ผมเล่า พี่โอ๊คเขาก็วาดรูปมาให้ แล้วมันตอบโจทย์กับที่ต้องการทุกอย่าง เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้มาร่วมงานจริงจังกับงาน Rock Alarm

พี่โอ๊ค: จริง ๆ ก่อนจะมาทำ Rock Alarm ด้วยกัน ก็เห็น ๆ กันมา เจอตั้งแต่ Oblivious นะ แต่ไม่กล้าไปทัก กลัว วงนี้รอยสักเต็มตัวเลย (หัวเราะ) คือ Oblivious ก็เหมือนเป็นวงรุ่นน้อง เพราะเราก็อยู่ Music Bugs ด้วยกันมาก่อน เพียงแต่ช่วงที่ผมออกมาจะเป็นตอนพวกเขาเพิ่งเข้าไปทำโปรเจ็กต์ Do It or Die ก็มีเจอกันบ้างตามงาน

แต่จะมาคุย มารู้จักกันจริง ๆ ก็ตอนที่สมเมย์เขามาอยู่ Labanoon ช่วงที่ทำอัลบั้ม N.E.W ตอนที่เข้าห้องอัด ตอนมิกซ์เสียง ผมก็เข้าไปดู ไปเป็นล่ามให้อะไรแบบนี้ ก็เลยเริ่มสนิทกัน รู้จักกันตอนนั้น

พี่สมเมย์: มีพี่โอ๊คคนเดียวครับ ที่พูดภาษาอังกฤษคล่อง (หัวเราะ) เพราะตอนนั้น Sound Engineer ที่มิกซ์เสียงให้เป็นชาวต่างชาติ แล้วไม่มีใครสื่อสารรู้เรื่อง เลยให้พี่โอ๊คไปเป็นล่ามให้

 

จุดร่วมของความฝันกับการเปิดค่าย

จากการวาดโปสเตอร์ให้ในงาน Rock Alarm ครั้งแรก เหมือนเป็นการจุดชนวนอุดมการณ์บางอย่างของทั้งคู่ กับสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าน่าจะเริ่มต้นทำฝันบางอย่างด้วยกันให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้

พี่สมเมย์: ความรู้สึกผมเลยนะ ผมตื่นเต้นกับการทำงานกับพี่โอ๊ค แล้วผมรู้สึกว่ามันคลิกกัน ตลอดเวลาที่ผมอธิบายอะไรพี่โอ๊ค เล่าคอนเซ็ปต์ต่าง ๆ ที่อยากได้ บอกพี่… ผมอยากได้แบบนี้ แล้วพี่โอ๊คก็จะเข้าใจตลอด ทำอะไรได้ตรงกับที่ผมต้องการในหัวตลอด เลยรู้สึกว่าการทำงานกับพี่โอ๊คมันสบายใจ รู้สึกว่ามันโอเคที่ได้อยู่กับพี่โอ๊ค เหมือนได้อีกคนที่ให้คำปรึกษา ได้คนที่เข้าใจ คนที่รู้ว่าจะต้องการอะไร อยากได้อะไร แล้วแกก็ทำให้ได้อย่างนั้นจริง ๆ

พี่โอ๊ค: จากที่วาดโปสเตอร์ ดูอาร์ตเวิร์กให้ในงาน Rock Alarm ซึ่งเป็นงานที่ Oblivious เขากลับมารวมตัวกันเล่นโชว์ในงาน  เลยคิดว่าไหน ๆ กลับมารวมกันแล้ว น่าทำอะไรด้วยกันสักโปรเจ็กต์ ออกเป็นซิงเกิ้ลของ Oblivious สักเพลง

สมเมย์ก็เลยชวนให้ผมไปเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ในเพลง Blacksmith หลังจากปล่อยซิงเกิ้ลนี้ไป ก็มาลุยคอนเสิร์ต Rock Alarm II ด้วยกันกับสมเมย์ต่อ ซึ่งผมก็มีส่วนร่วมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อ’ของอาร์ตเวิร์ก ไปจนถึงการคัดศิลปิน แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งของโปรเจ็กต์ เราเห็นว่าวงที่เล่นกันในงานไม่ว่าจะเป็น Raitalinn, Harem Belle และวงอื่น ๆ อีกหลายวงที่อยู่กันมานานแล้ว มีแฟนเพลงตามอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ไม่ได้มีโอกาสทำเพลงให้เป็นกิจลักษณะ ห่างหายจากการทำเพลงไปก็นาน

เลยคิดว่าทำไมเราไม่ช่วยวงเพื่อน ๆ พี่น้องใน Rock Alarm ลองมารีโนเวทเพลง มาทำเพลงใหม่ให้กับพวกเขา มาช่วยหาพื้นที่เผยแพร่ผลงาน คือเราโชคดีที่เราได้รู้จักกับผู้คนมากมายในวงการ เรามี Connection เลยคิดว่าทำไมไม่ใช้โอกาสตรงนี้ชวนเพื่อนมาทำเพลง ทำงานกันดู เลยคิดว่าลองมาทำค่ายเล็ก ๆ ดีกว่าไหม ไว้เป็นศูนย์รวมให้กับกลุ่มคนที่เรารู้จักกัน

พี่สมเมย์: ด้วยฟีดแบ็คที่ดีจากงาน Rock Alarm มันเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้คิดว่าเราน่าจะทำอะไรสักอย่าง เพราะด้วยตอนที่ทำครั้งนั้น เราไม่เคยคาดหวังหรือตั้งเป้าว่าจะต้องคนเยอะแค่ไหน แต่จากฟีดแบ็คที่ได้ ระหว่างทางตั้งแต่จัด Rock Alarm I, Rock Alarm II รวมถึงซิงเกิ้ลพิเศษของ Oblivious ที่พี่โอ๊คมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ มันทำให้เรารู้สึกได้ว่า มีคนคิดถึง เราเลยรู้สึกว่าเฮ้ย เรามาถูกทางแล้วก็เลยเริ่มความคิดที่จะทำค่ายขึ้นมา

พี่โอ๊ค: Rock Alarm มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้คาดหมายว่าคนมันจะเยอะขนาดนั้น อย่างเช่นตอนแรกที่จัดงานกันที่ Parking Toys เราก็คิดว่าคงจะมาไม่เยอะหรอก แต่ปรากฎว่าคนทะลักออกมานอกร้าน จำได้ว่าตอนที่เข้าไปดูวงนี่หายใจไม่ออกเลย เพราะคนมันเยอะมาก เจ้าของร้านยังบอกว่ามันไม่เคยมีอย่างนี้มาก่อน คนไม่เคยเยอะขนาดนี้

จนครั้งถัดไป Rock Alarm II คนก็แน่นอีก ครั้งนี้เราขยายพื้นที่ไปจัดที่ RCA คนก็ยังแน่นทะลักออกมา เราก็เลยคิดว่างาน Underground หรือเพลง Underground มันไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มน้อยแล้ว เป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างเยอะ

เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้รวมตัวกัน เราเลยคิดอยากจะยกระดับทั้งในแง่ของการจัดงานทั้งเรื่องเครื่องเสียง ระบบความปลอดภัยให้ไม่แพ้คอนเสิร์ตใหญ่ ๆ รวมถึงการทำค่ายเล็กๆ ไว้สำหรับการเผยแพร่ผลงานของพี่ ๆ เพื่อน ๆ กลุ่มคน Underground อย่างที่บอกไป

 

VOM RECORDS

ในวันที่ความฝันเรื่องการตั้งค่ายเพลงนั้นกลายเป็นความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ศิลปินอย่าง ‘โอ๊ค Big Ass’ และ ‘สมเมย์ Labanoon’ ไม่เคยเจอมาก่อน ซึ่งพี่ชายทั้งสองได้เล่าย้อนให้เราฟังตั้งแต่วันแรกเริ่มตั้งชื่อ

พี่สมเมย์: อันนี้ยังไม่มีใครเคยรู้เลยนะ จริง ๆ จุดเริ่มต้นมันตลกมาก (หัวเราะ) ตอนนั้นผมคิดครับ คิดคำว่า VOM ตัว V มันมาจาก We ที่แปลว่าพวกเรา O นี่คือพี่โอ๊ค M มาจากผมเองเมย์ อันนี้มันเริ่มมาจากคิดแบบโง่ ๆ จริง (หัวเราะ)

แล้วพอมารวมกันมันได้คำที่ออกเสียงว่าวอม ซึ่งไปพ้องเสียงกับ Warm ที่แปลว่าอบอุ่น ตรงกับเป้าหมายที่ผมอยากทำค่ายเล็ก ๆ นี้ขึ้นมา สิ่งที่ผมอยู่กับพี่โอ๊คทุกวันนี้ มันเหมือนกับครอบครัว ไม่ใช่แค่คนทำงานมาเจอกันแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

เรารู้สึกว่าเรามีความเป็นครอบครัวพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นทั้งผู้ร่วมงาน หรือศิลปินที่มาทำงานด้วยกัน มันก็เลยตั้งต้นด้วยชื่อนี้ขึ้นมา แล้วก็ส่งให้พี่โอ๊คตีความต่อ ว่าชื่อนี้พี่ตีความหมายอะไรมากกว่านี้ได้อีกมั้ย

พี่โอ๊ค: เราก็เลยเอาอักษรทั้ง 3 ตัวมาตีความ มาหาคำที่มีความหมายที่ดีขึ้นกว่าการเป็นชื่อย่อพวกเราเอง ก็เลยคิดว่ายังคงให้ V แทนคำว่า We หรือ เรา เหมือนเดิม ส่วน O ตั้งใจให้สื่อถึง Opportunity ซึ่งแปลว่าโอกาส และ M ก็แปลว่า Music คำว่า VOM เลยตีความได้ว่าเราคือโอกาสทางดนตรี

ซึ่งเราอาจไม่ใช่ค่ายใหญ่ที่คิดถึง Business เป็นเรื่องหลัก แต่โอเคเราจำเป็นต้องมีรายได้เพื่อหล่อเลี้ยงบริษัทนั่นคือสิ่งสำคัญ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราตั้งใจคือ เราอยากเป็นพื้นที่สำหรับมอบโอกาสให้ทั้งวงหน้าใหม่ หน้าเก่า หรือใครก็ตามที่มีฝีมือแต่คิดว่าอาจจะไม่สามารถออกกับค่ายใหญ่ได้ แต่เค้าสามารถมาทำงานกับตรงนี้ได้ โดยที่เค้าทำงานได้อย่างอิสระ 100% เพื่อให้ศิลปิน และวงอีกหลาย ๆ วง ได้เข้ามาทำงานกัน

และโอกาสทางดนตรีที่ VOM Records นี้ไม่ได้จำกัดไว้แค่แนวเพลงร็อคเพียงอย่างเดียว ศิลปินแนวป็อปเพลงเพราะฟังสบายเราก็มี อย่าง เดียร์ เตชทัต ที่สมเมย์เป็นโปรดิวเซอร์ นี่ก็คือทำเพลงป็อปออกแนวบลูส์ ๆ หน่อย

พี่สมเมย์: แล้วก็มีพี่โก๋เอ็ม ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกไปก็ ชาญ ปานเกิด

พี่โอ๊ค: ชาญ ปานเกิด นี่จะมาเป็นแนวเพื่อชีวิต ส่วนโก๋เอ็ม ก็น่าจะรู้จักกันดีที่อยู่ BuddaBless มาก่อน ซึ่งที่มาทำกับเราก็จะเป็นแนว Alternative มีเพลงช้า ๆ เพลงเพราะอยู่ด้วย

หลังจากเล่าถึงความหมายของชื่อค่ายไปแล้ว ทั้งคู่ยังเปิดเผยถึงอีกด้านของชีวิตที่เพิ่มเติมจากอาชีพศิลปิน กับเรื่องราวมากมายให้ต้องปรับตัว เรียนรู้กันใหม่อีกครั้งกับบทบาทใหม่ในบทบาทเจ้าของค่ายเพลง

พี่สมเมย์: ชีวิตในด้านที่เป็นศิลปิน แน่นอนว่าเรามีหน้าที่ในการสร้างสรรค์ผลงานเพลง แต่ในจุดนี้จุดที่ทำค่ายเพลงเล็กๆ ของเราเอง ถามว่าเรายังทำงานศิลปินอยู่มั้ยตรงนั้นก็ยังต้องทำอยู่ แต่มันมีสิ่งที่ต้องดูต้องรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น โดยการใช้ประสบการณ์ของการเป็นศิลปินที่เคยผ่านมา เอามาปรับใช้กับค่าย เราเคยไปเดินสายแบบไหน ก็สังเกตแล้วเอามาปรับใช้ สิ่งที่ทางค่ายใหญ่ทำ การโปรโมท ทำแบบไหน เราก็ดูแล้วเอามาใช้กับค่ายเรา

พี่โอ๊ค: ข้อดีของเราคือเราเป็นศิลปินมาก่อน เราเข้าใจว่าศิลปินต้องการอะไร แต่อันนึงที่ยังไม่เข้าใจก็คือคนทำงาน ด้วยทีมงานที่เยอะขึ้น ต้องประสานกับงานหลากหลายด้านมาขึ้น แล้วเราจะทำงานกับคนทำงานเหล่านี้ยังไง อันนี้คือสิ่งที่เรากำลังปรับตัว พยายามเรียนรู้อยู่ตลอด

คือเราจะทำอะไรตามใจตัวเองตลอดเวลาไม่ได้แล้วนะ เราต้องเข้าใจคนทำงานมากขึ้น เข้าใจภาพรวมของการทำงานมากขึ้น ทั้งในเรื่องของเวลา อย่างวันนี้ที่เรามาถ่ายสัมภาษณ์กัน สมัยเราเป็นศิลปินก็แค่มาตามเวลานัด แต่ตอนนี้ต้องดูทีมงานต้องมาสแตนด์บายล่วงหน้า เตรียมเซ็ตอัพก่อนตั้งแต่กี่โมง ตอนนี้เวลาจะทำอะไรมันเลยทำให้เราคิดเยอะมากกว่าตอนรับหน้าที่เป็นศิลปินเพียงอย่างเดียว

พี่สมเมย์: ได้มาเจอกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ตอนทำค่าย อย่างเรื่องการวางแผน วางไทม์ไลน์ การปล่อยเพลง เมื่อก่อนเราเป็นศิลปินเราแทบไม่รู้เลยว่า ช่วงเวลา ลำดับการปล่อยมันจะมีผลอะไรขนาดนั้น ตอนนี้ก็เริ่มได้เรียนรู้กับตัวเองว่าช่วงเวลามันมีผล ก็ต้องดูมากขึ้น

แม้กระทั่งการเดินสายโปรโมทแต่ละครั้ง เราต้องเตรียมอะไรบ้าง เพราะเราเป็นศิลปินมาตลอดไม่เคยต้องเตรียมอะไรเองมาก่อน มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงแรก ๆ ในการพาศิลปินไปโปรโมท โปสเตอร์ แผ่นตัด เราไม่มีเตรียมไปเลยนะ (หัวเราะ) ก็รีบโทรให้ตัดแผ่น เอาโปสเตอร์ส่งกันด่วน ๆ ตอนนั้น ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ และศึกษา สะสมประสบการณ์กันไป

พี่โอ๊ค: ก็เหมือน ๆ กับสมเมย์ครับเรื่องการวางแผน แล้วก็เรื่องการตลาดอะไรพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบ Streaming อะไรพวกนี้ ซึ่งเมื่อก่อนเราทำเพลงเราไม่เคยสนใจ แต่ตอนนี้เราต้องรู้แล้วว่าสิ่งที่ศิลปินปล่อยไป แล้วจะไปที่ไหน แล้วสิ่งที่ศิลปินปล่อยไปเนี่ยมันจะได้อะไรกลับมา เรื่องผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ศิลปินควรจะได้

และอีกหนึ่งปัญหาใหญ่เลยของศิลปิน Underground คือทำงานออกมา ปล่อยเพลงออกมาแต่ว่าไม่มีพื้นที่ที่จะเล่น ตอนนี้เราก็พยายามทำการบ้านกันอยู่ ความตั้งใจคืออยากจัดโชว์เล็ก ๆ ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ หรือตามต่างจังหวัด ที่มีกลุ่ม Underground อยู่ ให้ศิลปินได้ไปพบปะ แต่ตอนนี้เจอเรื่อง COVID ก็น่าจะต้องปรับแผนมาเป็น Online Concert ไปก่อน ตอนนี้ก็ปรับตัวเรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ ครับ

 

NOW OR NEVER

‘Now or Never’ วลีนี้ไม่ใช่ชื่อเพลง หรือคำขวัญอะไรใด ๆ แต่มันถูกกล่าวขึ้นมาระหว่างการพูดคุยถึงการก่อตั้งค่าย VOM Records ซึ่งพวกเขาได้บอกกับเราว่า มันคือชื่อโปรเจ็กต์ในฝันที่เกิดขึ้นมาแทบจะพร้อม ๆ กันความตั้งใจในการเปิดค่ายเพลงของทั้งคู่

พี่โอ๊ค: โปรเจ็กต์นี้ถือเป็นโปรเจ็กต์แรกเลยที่ผุดขึ้นมา หลังจากคิดจะทำค่ายกับสมเมย์ ด้วยเหตุผลที่ว่า Underground ไม่ได้มีโปรเจ็กต์รวมตัวกันอย่างนี้มานานแล้ว น่าจะนับตั้งแต่ Do It or Die เลยมั้ง ที่เห็นกันชัด ๆ

ก็เลยคิดว่าอยากลองทำ อยากรวมกลุ่มก้อนนี้ขึ้นมาดู เพื่อลองชิมลางวงต่าง ๆ ที่มารวมกันในโปรเจ็กต์นี้กับการลองทำอะไรใหม่อีกครั้ง ถ้ามันมีก้อนนี้ขึ้นมาให้ลองดูว่าจะโอเคหรือเปล่าในการทำงานกับ VOM Records ทำแล้วสบายตัวสบายใจมั้ยกับการขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ตรงนี้

“ณ ตอนนั้นก่อนชื่อโปรเจ็กต์ Now or Never  จะเกิด มันก็มีความคิดอยากจะทำ รู้สึกว่าอยากจะทำมาเรื่อย ๆ มันก็เลยเกิดคำนี้ขึ้นมา คำว่า Now or Never ถ้าเราไม่ทำวันนี้ แล้วเราจะทำวันไหนวะ วันที่เราตายหรอ ตายเราก็ไม่ได้ทำแล้ว ตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ก็ทำดิวะ”

พี่สมเมย์: โปรเจ็กต์นี้มันเป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากการจัด Rock Alarm ทั้งสองครั้ง คือนอกจากคิดจะเริ่มทำค่าย ก็คุยเรื่องโปรเจ็กต์นี้กับพี่โอ๊คมาตลอด ว่าเออแต่ละวงเขาก็มีคนคิดถึงกันเนอะ มีคนตามมาดูกันมากมายขนาดนี้ ถ้าเกิดเราได้พาพวกเขากลับมาทำด้วยกันอีกครั้ง มันคงมีความน่าตื่นเต้นอะไรบางอย่าง บวกกับทำให้ศิลปินแต่ละวงที่ห่างหายไปจากวงการกลับมามีส่วนร่วมทางดนตรีอีกครั้งนึง และผมก็อยากให้ดนตรีแนวนี้มันพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ

มันก็กลายเป็นความอยากที่จะทำ ณ ตอนนั้นก่อนชื่อโปรเจ็กต์ Now or Never  จะเกิด มันก็มีความคิดอยากจะทำ รู้สึกว่าอยากจะทำมาเรื่อย ๆ มันก็เลยเกิดคำนี้ขึ้นมา คำว่า Now or Never ถ้าเราไม่ทำวันนี้ แล้วเราจะทำวันไหนวะ วันที่เราตายหรอ ตายเราก็ไม่ได้ทำแล้ว ตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ก็ทำดิวะ

มันก็เลยเกิดโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมา กับการชวนศิลปินทั้ง 9 วง ที่แฟน ๆ Underground คิดถึงมารวมตัวกัน ไม่ว่าจะเป็น OBLIVIOUS, RITALINN, HAREM BELLE, LAST DREAM, TRAGEDY OF MURDER, BORN FROM PAIN, G6PD, EMPTY GLASS MEANS NOTHING และ UGOSLABIER ศิลปินรับเชิญจากค่าย Blackat Records คือแต่ละวงนี่เรียกได้ว่าเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการ และมีฐานแฟนเพลงที่แข็งแรงที่คอยติดตามอยู่ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ห่างหายจากการออกผลงานใหม่ไปนานพอสมควร ก็เลยรู้สึกว่ามันต้องเป็นอะไรที่ตื่นเต้นแน่นอน สำหรับโปรเจ็กต์นี้

ก่อนจากเราได้ถามถึงความคาดหวังรวมถึงเป้าหมายในการออกเดินทางครั้งใหม่บนเส้นทางดนตรีกับค่ายเพลง VOM Records ซึ่งชายทั้ง 2 คน ผู้ที่เคยลิ้มรสความสำเร็จมาแล้วมากมาย ได้ให้คำตอบเรื่องของเป้าหมายที่มีไว้อย่างเรียบง่ายกว่าที่เราคิดไว้

พี่สมเมย์: ส่วนตัวผมแล้วอันดับแรกไม่ว่าผมจะเริ่มทำอะไรก็ตาม ผมจะเป็นคนไม่คาดหวังว่าสิ่งนี้มันจะสำเร็จแค่ไหน หรือว่ามันจะมีผลตอบรับดีแค่ไหน สนใจเพียงสิ่งเดียวคือผมมีความสุขกับมันแค่ไหน

สิ่งที่จะตอบโจทย์ผมได้ในการทำค่าย มีอยู่ 2 ข้อ สิ่งแรกคือวันนี้ผมทำแล้วผมมีความสุข สองก็คือศิลปินที่อยู่ในค่ายผมทุกวงมีความสุข และพวกเขาสามารถส่งต่อผลงานให้แฟนเพลงทุกคนที่รอได้รับฟังเพลงนี้ สิ่งเหล่านี้ผมว่ามันตอบโจทย์สำหรับผมแล้ว

ผมไม่ได้แคร์ว่าวันนี้เพลงที่ปล่อยไปมันจะได้ล้านวิวหรือเปล่า ผมไม่ได้แคร์เรื่องพวกนี้ เพราะผมคิดว่าถ้าเรายิ่งไปโฟกัสกับยอดวิวมาก ความเป็นธรรมชาติในการสร้างสรรค์งานที่ออกมาจากตัวตนมันจะหายไป ก็เอาเป็นว่ามองวันนี้ทำวันนี้ให้ดีแลเรามีความสุขกับมันก็พอ

พี่โอ๊ค: ก็คล้าย ๆ กับสมเมย์นะครับ คืออันนึงผมรู้สึกว่าแค่ได้ทำ อย่างทำซิงเกิ้ลนึงเสร็จ ได้ปล่อยออกมาให้คนได้ฟัง ผมว่ามันก็เป็นความสำเร็จของวันต่อวันได้แล้ว คือกว่าจะทำเพลง กว่าจะได้เพลงนึงมันไม่ง่ายนะครับ เราใช้เวลาเป็นเดือน ๆ กว่าจะทำซิงเกิ้ลนึงได้ ในขณะที่เพลงเดี๋ยวนี้มันไปไวมาไวมาก

“ผมคิดว่าถ้าทำเราไปเรื่อย ๆ ตั้งใจทำงานที่ดีไปเรื่อย ๆ คงมีสักวันที่เราจะได้อะไรกลับมา”

แต่อย่างน้อยเราก็พยายามทำผลงานออกมาให้มันดีที่สุด ได้ปล่อยออกมา ได้ดูคอมเม้นต์ทั้งชื่นชม ทั้งคอมเม้นต์แนะนำให้เราไปปรับปรุงแก้ไข มันก็มีความสุขแล้วกับการที่มีคนสนใจเข้ามาฟังผลงานที่เราปล่อยออกไป ถือเป็นกำลังใจในการออกไปทำงานต่อ กำลังใจในการทำซิงเกิ้ลต่อไป ตอนนี้ก็มองแค่เท่านี้ก่อน ส่วนในเรื่องของความสำเร็จแง่รายได้ ผมคิดว่าถ้าทำเราไปเรื่อย ๆ ตั้งใจทำงานที่ดีไปเรื่อย ๆ คงมีสักวันที่เราจะได้อะไรกลับมา

และนี่คือเรื่องราวจากปากนักดนตรีผู้ประสบความสำเร็จ แต่กำลังเริ่มต้นเดินทางครั้งใหม่ในบทบาทใหม่ ๆ ที่ใช้ความสุขเป็นที่ตั้ง สำหรับแฟน ๆ ทั้งหลายที่อยากให้กำลังใจและติดตามผลงาน  หรือส่งเดโม่มาให้พิจารณากันได้ที่ Facebook: VOM Records YouTube: VOM Records และ Instagram: VOM Records


นอกจากนี้ยังมีอีกงานเดือดจาก VOM Records ที่กำลังจะมาถึงในวันเสาร์ที่ 30 และวันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม นี้ กับงาน ROCK ALARM PRESENTS “Tomorrow Never Knows” Online Concert VOM RECORDS X WAYFER RECORDS X BLACKAT RECORDS X HEREr.

คอนเสิร์ต Rock ในรูปแบบ Online ที่จะพาการอยู่บ้าน ของทุกคนให้กลายเป็นการ “Rock from Home”  จากการรวมตัวของพันธมิตรทางดนตรี 4 ค่ายเพลง 9 ศิลปิน เพื่อระดมทุนบริจาคให้แก่มูลนิธิยุวพัฒน์ เพื่อโครงการ Social Giver นำเงินบริจาคที่ได้ไปซื้อข้าวสารอาหารแห้งแจกตามขุมชุนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเพจ VOM Records และเตรียมรับชมพร้อมกันทาง Official PageRock Alarm

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibut

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line