MUSIC

GARAGE: ครั้งแรกกับผลงานที่เป็นตัวเองของ ‘เอ้ The Voice’ และพี่น้องสหายดนตรีนามว่า ‘BEAGLE HUG’

By: NTman May 21, 2020

หลายคนคงรู้จัก ‘เอ้-กุลจิรา’ หรือ ‘เอ้-The Voice’ ในฐานะสาวน้อยเสียงดีมีเอกลักษณ์จากเวทีประกวด The Voice Season 3 แม้จะผ่านเวลามาแล้วกว่า 6 ปี ชื่อนี้ก็ยังคงเป็นที่จดจำแทบทุกพื้นที่สื่อที่เธอปรากฎตัว

แต่ถ้าพูดถึง ‘เอ้-Beagle Hug’ เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่านี่คืออีกสเต็ปการเดินทางบนถนนสายดนตรีที่ตอกย้ำอาชีพศิลปินของเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น กับงานเพลงแนว Experimental Pop และ Trip Hop ที่ เอ้, แบงค์, โบ๊ท และปอม เหล่าพี่น้องสหายดนตรีร่วมกันสร้างสรรค์ในนาม Beagle Hug

และ GARAGE สัปดาห์นี้จะพาชาว UNLOCKMEN ไปรู้จักเรื่องราวของเขาและเธอให้มากขึ้น แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องราวของ Beagle Hug เราขอพาทุกท่านย้อนกลับไปทำความรู้จักกับ ‘เอ้’ สุภาพสตรีเพียงคนเดียวของวง กับจุดเริ่มต้นบนเส้นทางดนตรี, การเข้ามาของชื่อเสียง ไปจนถึงการเริ่มต้นสร้างสรรค์ผลที่เป็นตัวเองจริง ๆ ในนามวง Beagle Hug

“เราชอบฟังเพลงตั้งแต่เด็ก ๆ เติบโตมากับเพลงเก่า ๆ เพลง Oldies พวก Bee Gees, The Carpenter ที่คุณตาชอบเปิดให้ฟัง เราก็มีฮัมเพลง ร้องตามบ้าง แล้วรู้สึกว่าเออไปรอด ก็เลยรู้สึกอยากร้องเพลงมาเรื่อย ๆ

จนช่วงที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่เก่งอะไรเลย ทำอะไรไม่เป็น เรียนไม่เก่ง (หัวเราะ) ที่คิดว่าตัวเองพอทำได้มีอยู่สองอย่าง วาดรูป กับร้องเพลง เลยคิดว่าคงต้องเรียนเสริมอะไรที่เราถนัด แล้วเรื่องดนตรี เรื่องร้องเพลงมันคือความชอบอันดับหนึ่งของเรา

สุดท้ายเลยตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากร ในคณะดุริยางคศาสตร์ เอก Voice แม้ว่าตอนอยู่ศิลปากร ช่วงเรียนหนัก ๆ มันก็ทำให้ทั้งรักทั้งเกลียดการร้องเพลงนะ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายเรารักแหละ อยากอยู่กับการร้องเพลงไปตลอด เริ่มทำงานร้องเพลงกลางคืนตั้งแต่อายุประมาณ 19 ก็อยู่กับมันมาเรื่อย ๆ”

เอ้ เริ่มต้นบทสนทนาด้วยการเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นความหลงใหลในการร้องเพลง ก่อนเล่าถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตกับการเข้าประกวด The Voice Season 3

The Voice เวทีที่ทลายความกลัว และประตูแห่งโอกาส

แม้จะชอบร้องเพลง แม้จะเรียนร้องเพลง แม้จะหารายได้เสริมจากอาชีพร้องเพลง แต่เอ้บอกกับเราว่า เธอคือคนที่กลัวการขึ้นเวทีเสียยิ่งกว่าอะไร

“เราไปสมัคร The Voice เพราะเพื่อนเชียร์ ถึงเราชอบร้องเพลง แต่ปกติเป็นคนไม่ชอบการแข่งขัน เป็นคนกลัวเวที เพื่อนก็บอกว่าทำไมไม่ลองขึ้นเวทีใหญ่ ๆ ดู เหมือนไปเปิดโอกาสให้ตัวเอง คิดซะว่าไม่ได้ไปแข่งขัน คิดซะว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ได้เจอกับนักดนตรี เจอศิลปินเก่ง ๆ เปิดโลกให้กว้างขึ้น

ก็เลยลองดู ปรากฎว่าขึ้นเวทีครั้งแรกรอบ Blind Odition ตอนอยู่บนเวทีเรานี่สั่น หน้าชาไปหมด บอกตัวเองว่าอย่าเป็นลมนะ ๆๆ พอลงมาปุ๊บนี่เรียบร้อยเป็นลม แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ และกลายเป็น ‘เอ้ The Voice’ ไปในที่สุด”

หลังจากเป็นที่รู้จักในนาม ‘เอ้ The Voice’ แน่นอนว่าย่อมมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี มีคนรู้จักมากขึ้น งานร้องเพลงมากขึ้น มีคนสนใจเพลงที่เธอร้องมากขึ้นและที่สำคัญคือโอกาสในการได้รู้จัก ได้ทำงานร่วมกับนักดนตรี ศิลปินเก่ง ๆ ซึ่งเป็นอีกเป้าหมายที่เธอตั้งไว้ก่อนเข้าแข่งขันในรายการ The Voice

แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีสิ่งที่ต้องแลกกับสิ่งที่เธอได้รับมาเช่นกัน

“ช่วงนั้นพอเริ่มเป็นที่รู้จัก มีงานเข้ามามากมาย ก็มีช่วงที่ลำบากใจเหมือนกันในการทำงาน ทั้งในแง่ของการปรับตัว การจัดการตัวเองกับหลาย ๆ สิ่งที่ถาโถมเข้ามาซึ่งเราไม่เคยเจอมาก่อน จริง ๆ ก็เครียดมากช่วงนั้น แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้โตขึ้น

คือจนถึงทุกวันนี้เราไม่ได้คิดว่าเราดัง หรือมีชื่อเสียงอะไรขนาดนั้นนะ แต่แน่นอนว่ามันก็มีบ้างก็การเป็นที่รู้จัก ก็จะมีความคาดหวังว่าอยากให้เราเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ เราก็จะเครียดมาก อยู่ดี ๆ ทำไมทุกคนมาสนใจเรา มาตัดสินเราว่าเราเป็นแบบนั้น เป็นแบบนี้ หรือมีดราม่าใด ๆ ก็ตาม

แต่อย่างที่บอก มันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราโตขึ้น ตอนนี้ก็ไม่ได้เครียด ไม่ได้สนใจอะไรขนาดนั้นแล้ว เจออะไรก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร มองว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เสียใจหนักแบบเมื่อก่อน สบายมาก (หัวเราะ)”

นั่นคือสิ่งที่เอ้เล่าให้เราฟังกับสิ่งที่ต้องเจอเมื่อครั้งเป็นที่รู้จักใหม่ ๆ แต่จากรอยยิ้มรวมถึงเสียงหัวเราะขณะพูดคุยในวันนี้ มันทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจว่าเธอสามารถผ่านเรื่องราวแย่ ๆ ไปได้อย่างสบายมากจริง ๆ

และหลังจากเราถามไถ่ถึงเป้าหมายในอาชีพนักร้อง หลังจากผ่านเวที The Voice มา 6 ปี นี่คือคำตอบที่ตอกย้ำการเดินทางอีกสเต็ปของเธอบนถนนสายดนตรีเส้นนี้

“จากที่ปกติร้องเพลงกลางคืน ร้องงานแต่ง งานปาร์ตี้ เอาเพลงของคนอื่นที่เราชอบมาร้อง และมีโปรเจ็กต์เล็ก ๆ อย่างเพลงประกอบนู่นนี่นั่น ก็เป็นธรรมดาที่อยากจะมีวง มีเพลงของตัวเอง  คือเคยทำวงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดจริงจังอะไร สุดท้ายก็แยกย้ายกันไปทำอย่างอื่น

จนมาเจอกับพวกพี่ ๆ พี่แบงค์ น้องโบ๊ท พี่ปอมพอมาทำเพลงด้วยกัน ก็รู้สึกเรามีเป้าหมายหลักชัดเจนยิ่งขึ้นในการทำดนตรี จนเกิดเป็น Beagle Hug นี่แหละค่ะ”

 

Beagle Hug

ปอม: กลอง/ เบส – แบงค์: กีตาร์ – เอ้: ร้องนำ – โบ้ท กลอง

หลังจากรับรู้เรื่องราวจุดเริ่มต้น ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงจาก ‘เอ้ – The Voice’ สู่ ‘เอ้ – Beagle Hug’ กับการสร้างสรรค์ผลงานร่วมกับพี่น้องสหายดนตรีที่เคมีเข้ากันอย่างน่าประหลาด ตอนนี้เราขอเปลี่ยนโหมดมาเป็นการถาม-ตอบ Q&A เพื่อทำความรู้จักกับเขา และ เธอ ชาวคณะ Beagle Hug ได้อย่างครอบคลุมทั่วถึงมากขึ้น

เจอกันได้อย่างไร?

แบงค์: เคยมีโอกาสได้ทำงาน ทำเพลงร่วมกันน่าจะเพลงโฆษณานี่แหละกับเอ้ แล้วมาประจวบเหมาะกับที่ว่าวงเก่าที่ผมทำไม่ได้ทำต่อ ก็เลยชวนเอ้ มาทำเพลงด้วยกัน

ปอม: แต่เดิม ผม พี่แบงค์ โบ้ท มีทำโปรเจ็กต์เก่า ๆ ร่วมกันอยู่แล้ว แล้วก็ชวนเอ้เข้ามา

เอ้: ปกติตอนที่ร้องเพลงกลางคืน ก็จะเจอพี่ปอม ไม่ก็น้องโบ้ท อยู่ตลอด ๆ เรื่อย ๆ ก็สนิทใจที่จะทำงานด้วยกันอยู่แล้ว

ที่มาของชื่อวง Beagle Hug?

แบงค์: มีอยู่วันนึงที่คิดจะตั้งชื่อวงกัน ตอนนั้นอยู่ที่บ้านปอม แล้วปอมเค้าก็เลี้ยงหมาชื่อนวล เป็นตัวผู้นะ แต่ชื่อนวล แต่เราจะตั้งชื่อวงนวลมันก็ดูแบ๊วไปนิดนึงอะไรอย่างงี้ (หัวเราะ)

ทีนี้ตอนแรกเรามีเพลงนึงที่ชื่อว่า Beagle Hug ซึ่งที่มามันก็มาจาก Snoopy ที่เป็นหมา Beagle นี่แหละ แล้วเราก็เลย เออเอาชื่อนี้มาเป็นชื่อวงเลยดีกว่า ดูน่ารักดีแต่ก็ไม่แบ๊วจนเกินไป

เอ้: มันสื่อความหมายในเชิงให้กำลังใจด้วย โอบกอดอะไรอย่างนี้

แบงค์: เหตุผลที่พยายามให้มีหมาในชื่อวง คือจริง ๆ ลึก ๆ ไอดอลของเราคือวง Moderndog ก็เลยอยากตั้งชื่อวงที่มีความเป็นหมาเหมือนกัน  (หัวเราะ)

แล้วในเนื้อของเพลง Beagle Hug มันมีท่อนนึงที่พูดว่า Happiness Is, Sadness Is ซึ่งเป็นคำจากการ์ตูน Snoopy นี่แหละ ซึ่งมันก็ดูเข้ากับทุกสถานการณ์ดี ชีวิตมันต้องมีทั้งความสุข มีทั้งความทุกข์ปะปนกันไป

แนวดนตรี และ การทำเพลงของ Beagle Hug?

ปอม: จริง ๆ ก็เป็น Pop แต่ก็พยายามทดลองใส่อะไรเข้าไปให้มากกว่าความเป็น Pop ปกติ พวก Ambient Sound ต่าง ๆ ซึ่งสิ่งที่ใส่เข้าไปก็มาจากความชอบของพวกเราทั้ง 4 คนนี่แหละครับ

แบงค์: ส่วนพาร์ตการทำเพลงของเรา ผมก็จะเริ่มแต่งเพลงจากกีตาร์นี่แหละครับ อัดเสียง เขียนเนื้อร้อง แล้วก็ซ้อมกับเอ้ เป็นเดโม่คร่าว ๆ ก่อน พอเริ่มได้โครงเพลงประมาณหนึ่ง ก็มาเปิดฟังด้วยกัน ไปเล่นกันในห้องซ้อม มาแจมกัน ใครคิดอะไรได้ มีอะไรอยากใส่ อยากเพิ่มก็จัดกันตรงนั้น

เอ้: อารมณ์แบบเราก็มาที่ร้านกาแฟพี่แบงค์ มาฟังเพลงที่พี่แบงค์แต่งไว้ มาเล่น มาร้อง มาคุยกัน ตรงนี้ดีนะ ชอบตรงนี้อะไรประมาณนี้ แล้วก็ไปเปิดให้ทุกคนฟัง ว่าจะเพิ่มอะไรดี ใส่อะไรลงไปดี หลัก ๆ เราจะชอบพวก Ambient Sound อย่างที่บอก

คือเราไม่ได้สนใจแค่ เนื้อร้อง ดนตรี บางเพลงบางท่อนมันมีเสียงกริ๊ก หรืออะไรเข้ามา เราก็จะจำตรงนั้น กลายเป็นท่อนแห่งความทรงจำ แล้วก็เอาไอเดียจากเพลงที่ชอบมาคุยกันว่าอันนี้มันจะทำอย่างนี้ได้มั้ย พี่แบงค์ พี่ปอม น้องโบ้ท ก็จะลองทำ ลองดีไซน์ Sound ที่เพิ่มมาให้มันเข้ากับบรรยากาศของเพลง

เสียงทำจับมาใส่ ก็ไม่ได้แค่ยกมาจากคอม คือเราพยายามหาเสียงที่ใช่ที่สุด ทั้งการอัดเอาจากเครื่องดนตรี หรือใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เปลี่ยนเสียงกลองให้ไม่ใช่เสียงกลอง อะไรประมาณนี้ แล้วพอชอบตรงกัน ก็จะมาชมตรงนี้เท่จัง ก็อวยกันเอง พวกเรานี่เท่จริง ๆ (หัวเราะลั่นพร้อมกันทั้ง 4 คน) อะไรแบบนี้ แล้วก็เริ่มออกมาเป็นเพลง

ทำไมถึงเลือกเอ้ให้เป็นเสียงของ Beagle Hug?

แบงค์: จะว่าไปมันก็เหมือนบุพเพสันนิวาสเหมือนกันนะครับ คือผมชอบเล่นดนตรีกับคนที่คุยง่าย ๆ จากตอนแรกที่เราได้รู้จักกัน แล้วรู้สึกว่าทำงานไม่ยาก เหมือนเป็นเรื่องของเคมีถ้าเราเจอใครที่อยากทำงานด้วย มันก็อยากที่จะลอง อยากที่จะทำอะไรด้วยกัน

คาดหวังกับวง Beagle Hug มากน้อยแค่ไหน?

โบ้ท: เรื่องเป้าหมาย ความคาดหวัง พวกเราคงไม่ได้คาดหวังว่าจะไปถึงจุดสูงสุดหรืออะไรในแง่นั้น สำหรับพวกเราที่คาดหวังกันจริง ๆ น่าจะเป็นเรื่องของการทำชิ้นงาน ทำสิ่งที่เราชอบออกมาให้มันดีที่สุด และได้ทำมันไปเรื่อย ๆ ได้สร้างสรรค์ได้นำเสนอสิ่งที่พวกเราชอบออกมาเรื่อย ๆ มากกว่า ยังไม่ได้คิดว่าจะต้องไปให้ถึงจุดไหน อะไรอย่างนี้อะครับ

เอ้: เป้าหมาย ก็น่าจะเป็นการได้ทำไปเรื่อย ๆ มองเป็นจุดหมายระยะสั้น กับการได้ทำเพลงที่เราชอบไปเรื่อย ๆ มากกว่า เพราะสิ่งที่พวกเราทำอยู่มันคือการใส่ความชอบของแต่ละคนลงไป การได้ปล่อยที่สิ่งเราชอบออกมาให้คนอื่นได้ฟัง มันก็คือโอเคแล้วนะ

เตรียมปล่อยอัลบั้มเต็ม?

แบงค์: จากที่ปล่อยไป 4 ซิงเกิ้ล จริง ๆ Beagle Hug เราตั้งใจออกเป็นอัลบั้มเลยครับ มีทั้งหมด 9 เพลง อัดเสร็จหมดแล้ว เหลือแค่ขั้นตอน Post Production คิดว่าไม่ปลายปีนี้ ก็ต้นปีหน้าน่าจะเรียบร้อยครับ (หัวเราะในลำคอ)

เอ้: ปลายปีนี้เหอะ รีบปล่อย (หัวเราะ)

แบงค์: อีกเรื่องคืออัลบั้มที่ทำกันมาเราตั้งใจอยากทำแผ่น CD ขายด้วย ซึ่งมันอาจจะดูแปลก ๆ ในยุคสมัยนี้ แต่เรารู้สึกว่าการมีสิ่งที่มันจับต้องได้ อย่างน้อยมันก็ยืนยันว่าพวกเราได้ทำอะไรสำเร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่าง

และแผ่นมันก็เหมือนเป็นสิ่งตอบแทนแฟน ๆ ที่เขาสนับสนุนพวกเราจะได้มีสิ่งที่จับต้องได้เก็บไว้ เพราะเค้าซื้อไปอาจจะไม่ได้ฟังด้วยซ้ำ (หัวเราะ) คงฟังจากทาง Streaming เอา ส่วนการซื้อแผ่นน่าจะเป็นในแง่ของการเก็บสะสมมากกว่า อันนี้คือเหตุผลในการทำแผ่นที่ตั้งใจไว้

รู้สึกอย่างไรกันบ้างกับงานเพลงที่กำลังทำกันอยู่ในนาม Beagle Hug

แบงค์: ต้องบอกว่าพอใจ และแฮปปี้ครับ พอมันเป็นเพลงของพวกเราเอง การออกไปเล่นแต่ละครั้งมันก็เหมือนได้พูดสิ่งที่คิด ที่ผ่านมามันเหมือนได้เล่นดนตรีกับเพื่อนที่เราสบายใจที่จะเล่นด้วยกัน ซึ่งอันนี้คือสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันสำคัญ

ปอม: จากที่กำลังทำอัลบั้มกันอยู่ จากที่ได้ฟังงานในช่วง Post Production คือชอบมาก พอใจมาก รู้สึกว่าในชีวิตรอมานานแล้วที่จะทำอะไรแบบนี้ พวก Sound ทั้งหลายที่ดีไซน์กันเอาไว้ พวกเพลงทั้งหลายมันอยู่ในจุดที่พวกเราพอใจแล้วครับ

เอ้: แฮปปี้มั้ย แฮปปี้ค่ะ รู้สึกว่าพวกเราผ่านอะไรกันมาเยอะ ช่วยกันแก้ปัญหา เรื่อง Sound เรื่องนู่นนี่ ตอนนี้เจออะไรก็ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ต่อให้มีปัญหาก็มีทีมมีวงช่วยกันแก้ รู้สึกดีที่ว่าตอนนี้เรามีทีมจริง ๆ เป็นวงของเราจริง ๆ และในเรื่องของอัลบั้มที่เตรียมปล่อยอันนั้นก็พอใจมากค่ะ

โบ้ท: เวลาผมทำเพลงกับพี่ ๆ Beagle Hug รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัว อย่างที่บอกว่าคุยกันง่าย เวลามาเจอกันทำเพลงกันก็มีความสุข เวลาคิดงาน เจอกันในห้องซ้อมมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข

สิ่งที่อยากจะฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่อยากทำเพลง?

แบงค์: จริง ๆ พวกเราเองก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จโด่งดังอะไรขนาดนั้นนะ ถึงพวกเราจะอายุเยอะ แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่ (หัวเราะ) แต่ถ้าจะให้ฝากถึงน้อง ๆ ที่กำลังไล่ตามความฝันในเส้นทางดนตรีอยู่ตอนนี้ คงไม่มีอะไรมากไปกว่า การลงมือทำครับ ใครอยากจะทำก็ต้องทำเลย ไม่งั้นก็ไม่ได้เริ่มสักที

และอันนี้ส่วนตัวคิดว่าอยากให้คนที่เล่นดนตรี คนที่อยากทำเพลง ต้องฟังเพลงกันด้วย ฟังเพลงเยอะ ๆ แล้วมีความสุขไปกับมัน ยิ่งเราฟังเยอะเท่าไหร่ เราก็จะมีวัตถุดิบในการต่อยอดทำงานให้ดียิ่งขึ้น ที่ฝากไว้เรื่องนี้เพราะส่วนตัวที่เจอมาคือบางคนที่ทำเพลงแต่กลับห่างหายจากการฟังเพลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ

เอ้: เห็นด้วยกับการฟังเพลง เพราะจุดกำเนิดของเรามันก็เริ่มต้นจากการชอบฟังมาก เพลงมันช่วยเยียวยาเราในทุก ๆ อย่าง และจากการที่ฟังเพลงเยอะ ๆ สุดท้ายมันก็กลั่นกรองออกมาเป็นเราในวันนี้ แล้วอีกอย่างก็คือ ถ้าอยากทำเพลงจงทำไปค่ะ อย่าหยุด เพราะถ้าไม่ทำมันก็ไม่มีถูกมั้ย ก็ประมาณนั้น (หัวเราะ)

ก่อนจากอยากให้ขายตรงกันสักหน่อย ว่าอะไรที่ทำให้ต้องลองฟัง Beagle Hug?

แบงค์: ผมมองว่า ถ้าใครได้ลองฟังจาก 4 เพลงที่ปล่อยไปตามช่องทางต่าง ๆ จะพบว่าวงเรามีความน่าสนใจตรงที่ความหลากหลาย ทั้ง 4 เพลงที่ปล่อยไปมันมีความแตกต่าง มันไม่เหมือนกัน แต่ยังคงทิศทางเดียวกันอยู่

ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่านี่คือเสน่ห์ของงานจาก Beagle Hug แม้กระทั่งอีก 5 เพลงที่เหลือ มันก็จะแตกต่างกัน แต่ก็จะไปในทิศทางเดียวกันแบบนี้ ถ้าลองส่งเพลงของเราให้ใครสักคนฟังก็จะได้พบกับซาวด์ที่ต่างไปในแต่ละเพลง ซึ่งถ้าชอบก็ชอบเลยนะ ถ้าไม่ชอบก็อาจจะรู้สึกแปลก ๆ สรุปว่าถ้าชอบของแปลกต้อง Beagle Hug ครับ (หัวเราะ)

เอ้: ถึงพี่แบงค์พูดงี้ แต่พวกเราไม่ได้ฟังยากนะคะ พวกเราเป็นวง Pop ค่ะ ทำเพลง Pop แต่อาจจะมีซาวด์แปลก ๆ กุ๊งกิ๊ง งุ้งงิ้ง ๆ กร๊องแกร๊ง ๆ อะไรที่เป็น Ambient Sound ซึ่งพวกเราชอบใส่ลงไปด้วย ซึ่งเนื้อหาของเพลงก็จะเป็นเพลงฟังสบาย…หรือเปล่า? (หัวเราะ) สบายนะสำหรับเรา คือเป็นเพลงฟังสบายค่ะ

ยกตัวอย่างล่าสุดเพลง Travel ของพวกเรา ที่เราว่ามันเพราะมัน Pop มาก มัน Pop จริง ๆ ทั้งที่ปกติเราไม่ได้คาดหวังมากอยู่แล้วว่างานของเราจะอยู่ใน MainStream แต่คือเพื่อนของเพื่อนเราที่ทำงาน ที่เค้ามีรสนิยมฟังเพลงตามปกติทั่วไป ฟังเพลงเพราะ ๆ จาก Cool Farenheit อะไรประมาณนี้ เค้าฝากเพื่อนเรามาบอกว่าชอบเพลง Travel มาก เพลงเพราะมาก

เราก็แบบเฮ้ย ดีใจมาก นี่ไง เพลง Beagle Hug มันไม่ได้ฟังยาก พวกเราไม่ได้ลึกล้ำอะไรขนาดนั้น เราแค่ใส่ความเป็นตัวเราเข้าไป และขอย้ำอีกทีสำหรับใครที่กลัวฟังยาก คือพวกเราทำเพลง Pop ค่าาา (ยิ้ม)

ปอม: นักร้องสวย นักดนตรีหล่อ เพลงเพราะครับผม ลองดูครับ (หัวเราะ)

โบ้ท: อยากให้ลองฟังครับ ต้องฟังเลยล่ะ ฟังวงเราก็อาจจะเป็นไอเดียใหม่ ๆ เป็นอารมณ์ใหม่ ๆ ในการฟังเพลง และโดยส่วนตัว พวกเรารู้สึกว่างานว่ามันดีมาก พอใจกับมันมาก มากจนอยากแบ่งปันให้ทุกคนได้ฟังกัน แล้วก็สามารถติดตามได้ที่เพจ Beagle Hug หรือ IG BeagleHugBand, YouTube BeagleHUG Official และฟังซิงเกิ้ลที่เราปล่อยไปทั้ง 4 เพลงได้จาก Music Streming ทุก Platform ครับผม

 

PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasiri

NTman
WRITER: NTman
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line