Entertainment

ZERO TO HERO : “NICECNX” กับเรื่องราวความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต จนพิชิตความฝันการเป็นแร็ปเปอร์ได้สำเร็จ

By: JEDDY December 3, 2022

Zero To Hero เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ “ไนซ์ – ปิ่นพงศ์ ขุนกัน” หรือ AKA : NICECNX แร็ปเปอร์หนุ่มจากจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าของซิงเกิ้ลฮิต “หลอก” ที่ปัจจุบันมียอดเข้าชม MV มากถึง 111 ล้านวิว แถมยังเคยผ่านเวที Show Me The Money มาแล้ว เท่านั้นยังไม่พอ NICECNX ยังถูกเรียกไปแจมกับศิลปินอีกหลาย ๆ คน เช่น มิว ศุภศิษฏ์, แกงส้ม, Lipta เป็นต้น

แต่กว่าที่ NICECNX จะก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับ เขาก็ต้องพบจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตอะไรหลาย ๆ อย่างที่ค่อย ๆ สร้างความเปลี่ยนแปลง จนกลายมาเป็นประสบการณ์ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิต เรามาดูกันดีกว่าว่าชีวิตของ NICECNX พบเจอกับความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบไหนกันบ้าง


เปลี่ยนจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ

NICECNX อย่างที่เราเกริ่นไว้แล้วว่าเจ้าตัวคือเด็กเชียงใหม่ เขาเติบโตมาพร้อมกับความสนใจในเรื่องแฟชั่น และคลุกคลีกับซีนดนตรีที่หลากหลายทั้งร็อก, อินดี้ รวมไปถึงฮิปฮอปกับกลุ่ม 8GARAD ที่มีเพื่อนแร็ปเปอร์อย่าง 8BOTSBOYZ, AOFUFO และ T-BIGGEST เป็นต้น อีกทั้งยังเคยประกอบอาชีพเป็น MC คู่กับ DJ มาก่อน

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือการตัดสินใจลงมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานคร เพราะอยากพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวเห็นว่าเขาสามารถประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขารักได้

“ที่บ้านผมไม่ได้สนับสนุนเรื่องอะไรแบบนี้ครับ แต่เรารู้สึกว่าอยากทำตามความฝันสักครั้งในชีวิต”

“เราขอดื้อกับความฝันตัวเอง ดีกว่าต้องพยายามทำสิ่งที่คนอื่นคาดหวังแต่เราไม่ได้ชอบ”

“คือเราเรียนในที่ที่เขาอยากให้ไปเรียนได้ เรามีความรับผิดชอบในการไปเรียน แต่ว่าเส้นทางชีวิตเราน่าจะต้องเลือกเอง

ผมเป็นคนที่อยากมาเรียนที่กรุงเทพเอง แต่ว่าที่บ้านไม่มีเงินส่งมาเรียน ผมเลยต้องหางานทำ และเริ่มคิดไปข้างหน้า ตอนนั้นก็ทำพรีออเดอร์เสื้อผ้าเข้ามาขายกับรุ่นพี่ เริ่มหาเงินเอง ดังนั้นจุดเปลี่ยนจริง ๆ น่าจะเป็นเพราะที่บ้านครับ เพราะการไม่สนับสนุน แต่เราไม่ได้ต่อต้าน เราแค่ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไป สิ่งที่เขาคิดอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงเสมอ”

ตอนนั้นถือว่าลำบากใช่ไหม?

“ใช่ครับ ลำบากครับ เพราะที่บ้านไม่มีเงิน จะมาเรียนกรุงเทพฯ แม่ก็ไม่มีเงินส่งมาให้เรียน แต่เขาก็ซัพพอร์ตให้เรียนอยู่เชียงใหม่ แต่ใจจริงเราอยากมากรุงเทพฯ เพราะมันมีโอกาสเยอะกว่า และอยากทำให้คนที่บ้านเห็นว่าไม่ว่าเราจะเกิดที่ไหนโตที่ไหน เราสามารถทำตามความฝันได้

แล้วพอได้มาอยู่เปลี่ยนกรุงเทพฯ ชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมาก ได้รู้จักรุ่นพี่มากขึ้น ได้รู้จักการทำธุรกิจมากขึ้น รู้จักการเป็นศิลปินมากขึ้น จนเรารู้สึกว่ามีหลาย ๆ โอกาสที่ผมอยากให้เพื่อนที่เชียงใหม่ผมได้รับเหมือนกันครับ”

ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของ NICECNX จะถูกต้อง เพราะเขาได้มีโอกาสขึ้นไปแสดงสดในงาน Rap Is Now Season 2 จนสามารถเริ่มสร้างฐานแฟนคลับให้กับตัวเองได้สำเร็จ


ศิลปินผู้เปลี่ยนไนซ์สู่การเป็นแร็ปเปอร์

ความชื่นชอบต่อเพลงฮิปฮอปและการร้องแร็ปไม่ได้ติดตัว NICECNX มาตั้งแต่กำเนิด เพราะแท้จริงแล้วเขามีศิลปินที่เปรียบเสมือนไอดอลได้นำพาให้มาหลงใหลต่อดนตรีแขนงนี้ ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 คนด้วยกัน ได้แก่

T.MILLS

“ตอนนั้นประมาณ ม.2 ได้ ยุคนั้นต้องบอกว่า YouTube ยังไม่แพร่หลาย เราต้องฟังเพลงตาม mp3 ของเพื่อน แต่ก็เป็นยุคที่เริ่มมีอินเตอร์เน็ต เริ่มโหลดเพลงฟัง เป็นยุคที่ส่ง Bluetooth แลกเพลงกันฟัง ก็จะมีเพลงของ T. Mills อยู่ด้วย แล้วผมไปนั่งดู MV รู้สึกว่าคือเขาเท่มาก ก็เลยมาเป็นแรงบันดาลใจให้ผม เพราะตอนนั้นผมยังไม่มีไอดอลเลย

ส่วนเพลงที่ชอบน่าจะ ‘Stupid Boy’ ครับ สิ่งที่ประทับใจในตัว T. Mills คือการแต่งตัว แฟชั่นด้วย เนื้อเพลงที่ตรงไปตรงมา ซึ่งตอนหลังมันไปต่อยอดกับฮิปฮอป เพราะเป็นดนตรีที่พูดตรง ๆ ครับ”

CHRIS BROWN

 

“คริส บราวน์เป็นช่วง ม.ปลายแล้วครับ ตอนที่เริ่มศึกษาเพลงฮิปฮอปมากขึ้น ก็มีแนวอาร์แอนด์บีและอื่น ๆ เข้ามาด้วย ผมรู้สึกคริส บราวน์ เฟี้ยว เท่ เต้นได้ด้วย เพลงสามารถฟังได้ทุกสถานการณ์ด้วย เพราะผมรู้สึกว่าถ้าผมทำเพลงแนวเดียว พูดเนื้อหาแบบเดียวในประเทศเรามันจะมีแค่กลุ่มคนเฉพาะกลุ่มที่ฟัง แต่ถ้าเป็นแนวแบบคริส บราวน์ มันก็จะฟังได้หลายแนว ฟังได้หลายคน ใช้ได้หลายโอกาสครับ”

ILLSLICK

“น่าจะเป็นเนื้อหาเพลงที่ตรงไปตรงมาและเมโลดี้ที่ติดหูที่ทำให้ผมชอบ Illslick ครับ และด้วยความสม่ำเสมอในการปล่อยเพลงตอนนั้นด้วย มันเป็นเพลงนอกกระแสที่ทำให้คนในวงการเพลงหรือว่ากลุ่มเพื่อน ๆ เรายอมรับกันได้ว่าจริง ๆ แล้วเพลงมันไม่ควรติดกรอบอะไรทั้งนั้นครับ”


“หลอก” บทเพลงเปลี่ยนชีวิต

คงไม่ต้องคาดเดากันให้ยากสำหรับบทเพลงที่เปลี่ยนให้ NICECNX กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าหนีไม่พ้นเพลง “หลอก” ที่มาพร้อมกับซาวด์ดนตรีแบบซิตี้ป๊อปผสมผสานท่อนแร็ปได้อย่างลงตัว บรรยากาศของเพลงมันอดไม่ได้ที่จะทำให้เราคิดถึงความสโลว์ไลฟ์ของจังหวัดเชียงใหม่จริง ๆ

“เพลง ‘หลอก’ เป็นการผสมผสานการร้องแร็ปแบบมีเมโลดี้มากขึ้น เป็นป๊อปมากขึ้น ต้องเท้าความก่อน ตอนแรกผมทำเพลงอันเดอร์กราวน์ เนื้อหามันจะค่อนข้างรุนแรง ทุก ๆ ปีใหม่ครอบครัวผมพวกลุงป้าน้าอาจะมารวมญาติ เอาลูก ๆ หลาน ๆ มารวมกัน แล้วเขาก็ทักว่าไนซ์ทำเพลงหนิ เปิดให้ฟังหน่อย

แล้วตอนนั้นเพลงมีแต่ด่า พูดถึงยา ผู้หญิง ความรุนแรง ทำนองนี้ มันก็ทำให้ผมคิดว่าผมอยากมีเพลงที่ทุกคนสามารถฟังได้ ทุกเพศทุกวัยฟังได้ ผมก็เลยทำเพลง ‘หลอก’ ขึ้นมา จะได้ไม่เขินเวลาเปิดให้ผู้ใหญ่ฟังครับ”

เพลงนี้เปลี่ยนชีวิตไนซ์ไปอย่างไรบ้าง?

“เปลี่ยนไปเยอะครับ จากไม่มีเงินเลยก็เริ่มมีเงินเข้ามา จากไม่มีคนรู้จักก็เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น แต่ก็เริ่มคิดว่าเราควรจะเซฟอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกันตั้งแต่แรกดีกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาเขาต้องการอะไรจากเรา

แต่ถ้าถามว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม เปลี่ยนไปเยอะครับ จากคนที่ไม่กล้าแสดงอะไรมากมาย ไม่กล้าพูดเรื่องความฝัน เอาจริง ๆ ในตอนนั้นถ้าเราพูดให้ใครฟังก็จะมีแต่คนว่าเราเพ้อเจ้อ แต่จริง ๆ เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่ เรากล้าพูดมากขึ้น กล้าแนะนำรุ่นน้อง ถึงอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จมากที่สุด แต่ก็เป็นใบเบิกทางให้หลาย ๆ คนที่อยากจะมาทางนี้

เราทำเพลงอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เราไม่คิดว่าเพลงที่ออกไปคนจะชอบขนาดนี้ แล้วสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เจอในชีวิตนี้เลยมีพี่อิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร กับดาราแท็กมาว่าชอบเพลงนี้”

“มันทำให้ผมมองว่าเพลงคือการเดินทางที่ไม่สิ้นสุด เพลงทำให้เราได้เจอกัน ทำให้ผมได้มาถ่ายรายการนี้ เพลงหลอกเป็นใบเบิกทางให้ผมรู้จักหลายวงการมากขึ้นครับ”


เปลี่ยนให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

เมื่อชีวิตของเราเริ่มมีเรื่องการทำธุรกิจ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ มาเกี่ยวโยงมากขึ้น คุณก็ย่อมมีโอกาสถูกคนหวังเข้ามากอบโกยผลประโยชน์ เช่นเดียวกับ NICECNX ที่พบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้จนมันสอนให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

“ผมคิดว่าน่าจะเป็นช่วงหลังเพลงหลอกดัง เพราะมันมีการทัวร์คอนเสิร์ต มีการออกรายการ รู้สึกว่าประสบการณ์ในการทำงานตอนนั้นมันสอนให้เราโตขึ้น คำพูดคำจา ความคิดความอ่าน จากเมื่อก่อนที่ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด พูดไม่ค่อยเก่ง แต่ทุกวันนี้พูดไม่หยุดเลย เพราะมันมีเรื่องราวประสบการณ์ที่เจอเยอะ

ผมกลายเป็นคนที่มองคนออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ เขารู้สึกอย่างไร ด้วยการที่เราไปเจอหน้างานเยอะ ไปเจอคนเยอะ พูดคุยกับคนเยอะ มันทำให้เราเก่งขึ้น บางทีผมรู้สึกว่าการเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่มันอยู่ที่การทำงานมากกว่า”

 

แปลว่าเคยเจอเหตุการณ์คนไม่หวังดีกับเรา?

“พอเรามีเพลงที่ดีขึ้น คนก็อยากเอาเพลงเราไปใช้ แล้วกลายเป็นว่าเขาเอาเพลงเราไปทำรายได้ แต่เราไม่ได้รายได้ เขาบอกเราแค่ว่ารู้จักกันขอยืมไปทำนู่นทำนี่หน่อยนะ และหลายคนก็เอาชื่อเราไปทำหลายอย่างที่ไม่ดี

คือยุคนั้นผมเป็นคนชอบแต่งตัว ผมถ่ายรูปลงไอจี ก็มีร้านเอารูปไปบอกว่าพรีออเดอร์ตัวนี้ สุดท้ายพอมีคนสั่งไปเขาก็โกง คนที่โดนโกงเขาทักมาหาเราว่ารู้จักร้านนี้หรือเปล่า เอารูปเราไปเคลม แล้วก็มีแชทเหมือนเรายืนยัน

ซึ่งความจริงคือเคยคุยแค่ว่าชอบเพลงนะครับ แต่งตัวเท่ดีครับขอส่งเสื้อมาให้ใส่ สุดท้ายเขาส่งเสื้อมาให้เราจริง เขาก็ถามว่าได้รับเสื้อแล้วใช่ไหม แต่พอคนอื่นสั่งเขากลับไม่ได้ของ

ผมก็เลยต้องเซฟตัวเองมากขึ้น ไม่ได้อยากจะคุยหรือสนิทกับคนที่เข้ามาเพราะเรื่องแบบนี้ มันดูออกได้โดยอัตโนมัติ บางอย่างมันอธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ มันเหมือนเป็นเซนส์มากกว่าครับ”


คอมเมนต์ที่เปลี่ยนมายด์เซต

 

“ตอนนั้นผมเกือบเป็นโรคซึมเศร้า เพราะว่าผมต้องทัวร์แทบทุกวัน”

“แล้วด้วยความที่เป็นเด็ก ยังไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ตื่นมาเราก็ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตอีกจังหวัดหนึ่ง นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่ศิลปินหลายคนเป็นซึมเศร้า

เราต้องออกไปให้ความสุขทุกคนทั้ง ๆ ที่เราเหนื่อย เราล้า ข้างในเราอยากจะได้กำลังใจ แล้วตอนนั้นผมรู้สึกไม่ดีมาก จนกระทั่งได้มาอ่านคอมเมนต์ในเพลงหรือในสิ่งที่มีคน direct message มาบอกว่า มีแฟนคลับมารอดูคอนเสิร์ตนะ มีคนที่ยังรักเราอยู่ ตอนนั้นผมแทบไม่เชื่อตัวเองด้วยซ้ำว่าจะมาถึงตรงนี้ 

ตอนนั้นผมแทบจะไม่เชื่อในความสามารถตัวเองแล้ว แต่ว่ามันก็ยังมีกลุ่มคนที่เขารอฟังเพลงเรา ได้เพลงเราเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานครับ”

 

แปลว่า Social Media มีผลงานไนซ์เช่นกัน?

“ผมว่ามีเลย จะบอกว่าเป็นคนที่ปฏิเสธไม่สนใจ social ก็ไม่ได้ เพราะว่าทุกวันนี้ตื่นมาก็หยิบมือถือ ก่อนนอนก็หยิบมือถือ มือถืออยู่กับเราตลอดเวลา social มันมีผลอยู่แล้วครับ

ถ้าในแง่ดีก็อัปเดตข่าวสารข้อมูล เพลง แฟชั่น โลกไปไหนแล้ว เศรษฐกิจ ฯลฯ แต่ด้านลบมันก็มี เวลามีคอมเมนต์ลบ ๆ ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ถ้ามันลบในเชิงที่เราเอาไปแก้ไขได้ มันทำให้เราปรับปรุงแล้วเก่งขึ้น ผมก็โอเค แต่ถ้าลบแบบไม่มีสาระเราก็ไม่ต้องมีสาระกับเขาครับ”


สิ่งที่อยากเปลี่ยนแปลงวงการดนตรีไทย

 

“มี 2 เรื่องหลัก ๆ ที่ผมคิดมาสักพัก

เรื่องแรก เมื่อก่อนผมเป็นคนไม่ฟังเพลงในกระแสเลย ผมฟังเพลงที่อยากจะฟัง อยู่กับกลุ่มเพื่อนแล้วรู้สึกไม่ดีกับแนวดนตรีอื่น ถ้าถามว่าเป็นการเหยียดไหม ไม่ขนาดเหยียด แต่มันเป็นความรู้สึกที่ว่าทำไมคนอื่นไม่เข้าใจในดนตรีที่เราทำ ทำไมไม่เปิดใจให้เรา เราทำแนวนี้มันเท่กว่า

แต่ความจริงแล้วบางคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการดนตรี หรือไม่ได้เป็นคนที่เสพเพลงจริง ๆ เขาต้องการแค่ตอนขับรถกลับบ้านหลังเลิกงานอยากฟังเพลงย่อยง่าย ๆ ผ่อนคลาย

เพราะฉะนั้นเราควรจะลดอีโก้ตรงนั้น หลาย ๆ คนที่เริ่มคิดแบบนั้นต้องไม่เอาความคิดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คนเรามีสิทธิ์เลือกฟังหลาย ๆ แนวเพลง และบางคนเขาไม่ได้ต้องการที่จะเสพเพลงขนาดนั้น เขาแค่อยากฟังสบาย ๆ

อีกเรื่องคืออยากให้ผู้ใหญ่ในวงการ หรือ คนที่มีทุนทรัพย์ให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่ เพราะเด็กรุ่นใหม่มีความสามารถมากกว่าที่เราคิด เพราะเด็กยุคนี้เขาโตมากับการที่เวลาเขาต้องการรู้อะไรหาอะไรเขาก็เปิดอินเตอร์เน็ต ขณะที่ยุคเรามันเข้าถึงข้อมูลยากนิดนึง แต่ยุคนี้ศิลปินหลายคนเก่งมาก ๆ แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำจุดนี้ให้ดีที่สุด อยากให้ทุกคนซัพพอร์ต”


ทัศนคติครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป

 

หลังจากที่ไนซ์สามารถพิสูจน์ตัวเองได้แล้วเส้นทางที่เขาเลือกเดินมันมีหนทางไปได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติของครอบครัวที่เคยไม่เข้าใจมาก่อนหน้านี้เช่นกัน

“ตั้งแต่ตัดสินใจมาอยู่กรุงเทพฯ ได้ 5-6 ปี ผมไม่ได้ขอเงินที่บ้านใช้เลย และส่งเงินกลับไปให้ที่บ้านใช้ด้วย เขาน่าจะมั่นใจในระดับหนึ่ง ตอนแรกเขาก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวงการเพลง

แต่ด้วยความที่อยู่ต่างจังหวัด เวลาถ่ายรูป ออกทีวี ผู้ใหญ่เขาจะแชร์ลงกลุ่มกัน เช่น สวัสดีวันจันทร์ วันนี้ลูกออกรายการมานะ ประมาณนี้ส่งไปในกลุ่ม น่าจะเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขา ผมก็ดีใจ

ผู้ใหญ่ต่างจังหวัด นอกจากส่งสวัสดีวันจันทร์ วันอังคาร ก็จะส่งรูปลูกไปให้คนอื่นดู วันนี้ลูกออกรายการช่องนี้ ความสุขเล็ก ๆ ของพวกเขาครับ”

มาถึงจุดนี้แล้วเรารู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำไหม?

“ภูมิใจครับ แต่ว่าจริง ๆ แล้วเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราโตขึ้นตอนไหน แต่ผมรู้สึกว่าทุก ๆ วันที่ได้ออกไปทำงานเราได้โตขึ้นทีละนิด ๆ ผมจะพูดเสมอว่ามันเหมือนการกินข้าว มันไม่รู้ว่าคำไหนทำให้โตขึ้น”

“เหมือนการออกไปทำงานทุกวันทำให้เรา เก่งขึ้น โตขึ้น ความภูมิใจค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น แต่เราไม่รู้หรอก ว่าจากจุดนั้นมาถึงตรงนี้มันโตขึ้นขนาดไหน ต้องให้คนรอบข้างเป็นคนมองเราครับ”


สำหรับซิงเกิ้ลล่าสุดของ NICECNX คือเพลง “เพราะ” ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากอนิเมะเรื่อง และใครที่ชื่นชอบผลงานเจ้าตัวสามารถเข้าไปติดตามได้ทาง Facebook/Instagram : NICECNX อีกทั้งยังสามารถฟังเพลงได้ทุกช่องทางสตรีมมิ่ง

ทาง Unlockmen ต้องขอขอบคุณร้าน One For The Red ย่านลาดพร้าว-วังหิน ที่เอื้อเฟื้อสถานที่สวย ๆ ในการถ่ายทำครั้งนี้ด้วยครับ

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line