CARS

ZERO TO HERO: เอส นราศักดิ์ ล้มลุกคลุกคลาน สู่การเป็นว่าที่นักแข่ง WRC ระดับโลกตัวแทนไทยคนแรก

By: Chaipohn September 16, 2020

หากจะให้พูดถึงสนามแข่งที่โหดและหินที่สุด ในการแข่งขันประชันความเร็ว เพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักขับที่สามารถพิชิตสภาวะแวดล้อมสุดอันตรายได้นั้น ทุกคนจะนึกการแข่งขันแบบไหนกันบ้าง ? แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น จะต้องเป็นกีฬารถแข่งที่จะทำให้คุณหัวใจเต้นแรงและตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งกีฬาที่เราหมายถึงก็คือ การแข่งรถทางฝุ่น หรือ การแข่งขันแรลลี่ (Rally) นั่นเอง

โดยกีฬาประเภทนี้นับเป็นการแข่งรถที่ “โคตร” จะเร้าใจ ไม่ต่างกับดูหนังแอคชันเลย ด้วยสนามแข่งที่ขรุขระ เต็มไปด้วยอุปสรรคที่คาดเดาไม่ได้มากมาย ทุกการวิ่งคือสภาพพื้นฝุ่นและเศษหินที่เปลี่ยนแปลงไปเสมอ การเพ่งสมาธิไปข้างหน้าพร้อมฟังเพื่อนร่วมทีมบอกองศาการเลี้ยวอีกสามสี่โค้งข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รวมทั้งสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อการแข่งรถอย่างมาก

และทั้งหมดที่ว่าไปนั้น เป็น “เสน่ห์” ที่ทำให้การแข่งรถแรลลี่เป็นอีกหนึ่งกีฬาที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก โดยมียอดผู้ชมจากทั่วทุกสารทิศที่ดูผ่านหน้าจอมากกว่า 700 ล้านคนเลยทีเดียว! ซึ่งกว่าจะผ่านไปสู่ลีกสูงสุด ต้องผ่านการคัดเลือกเพื่อไปสู่ WRC-3, WRC-2 และ WRC ซึ่งเส้นทางกว่าจะไปถึงนั้น ยากลำบากไม่แพ้พื้นถนนฝุ่นที่ด้านข้างคือหน้าผาและร่องหลุมสารพัด การเสียสมาธิแม้เพียงเสี้ยววินาทีบนสนาม Rally อาจหมายถึงความเป็นความตายได้

แต่น่าแปลกว่าทำไม การแข่งขันแรลลี่ที่น่าตื่นเต้นนี้กลับไม่เป็นที่พูดถึงมากนักในประเทศไทย หรือถ้ามี ก็อยู่ในกลุ่มคนหมู่น้อยมาก ๆ โดยเฉพาะความเสี่ยงจากอันตรายที่ทำให้นักขับไทยมีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับการแข่งขันความเร็วทางเรียบ

 

 

และเพราะความนิยมที่น้อยนิดนี้เอง ทำให้คนไทยหลายคนต้องพลาดโอกาสในการก้าวไปสู่ระดับโลก เพียงเพราะไม่มีสปอนเซอร์สนับสนุนพวกเขา ทั้งที่การแข่งขันระดับโลกแบบนี้ สามารถทำชื่อเสียงและดึงเงินเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล

ในบทความนี้ UNLOCKMEN ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณ เอส นราศักดิ์ อิทธิริทพงษ์ ว่าที่คนไทยคนแรกที่จะได้ไปเหยียบสนาม WRC หรือการแข่งขันแรลลี่ระดับโลกด้วยความพยายามและทุนของตัวเอง ตั้งแต่การเก็บตัว การทำรถ ถึงแนวทางการเป็นนักแข่งรถทางฝุ่นระดับอาชีพ แม้จะไม่มีผู้ใหญ่ใจดีสนับสนุนเลยก็ตาม และกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ เขาต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง ?


“ ตอน 9 ขวบ เรากำลังทำอะไรอยู่ ?”

เล่นเกม วิ่งเล่น ไม่ก็ไปเที่ยวห้าง

แต่สำหรับเด็กจากระยองคนนี้ ที่คลุกคลีกับวงการรถมาตลอด เพราะคุณพ่อเปิดอู่ซ่อมรถ เขาเข้าใจกลไกของเครื่องยนต์และอินกับการขับรถมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยเริ่มฝึกขับรถตั้งแต่ตอนนั้น เลิกเรียนตอนไหนก็จะรีบกลับบ้านมาฝึกขับรถ และเริ่มเข้าสู่วงการแข่งแบบจริงจัง หลังจากที่เขามีโอกาสได้รู้จักกับกีฬาประเภทหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ความบ้าคลั่ง และความอันตรายอย่างการแข่งรถแรลลี่ผ่านหน้าจอทีวี

“เดี๋ยวโตขึ้น หนูอยากจะขับแบบนี้นะ” คุณเอสในวัย 9 ขวบ บอกกับคุณพ่อ

ก่อนจะกลายมาเป็นนักขับแรลลี่แบบเต็มตัวในวัย 13 ปี ด้วยแรงสนับสนุนจากครอบครัว คุณเอส กวาดรางวัลมาแล้วทั่วประเทศ ผ่านมาทุกความโหดทั้งแรลลี่ธรรมดาและแรลลี่ครอส (Rallycross) ที่หินกว่าเดิม ซึ่งปัจจัยที่ทำให้คุณเอสก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ก็เพราะ Passion ล้วน ๆ เขารู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า การขับรถ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ทุกครั้งที่รถถูกสตาร์ทขึ้น เสียงเครื่องยนต์ที่ดังกึกก้อง อะดรีนาลีนที่หลั่งออกมา จากความกลัวแปรเปลี่ยนเป็นพลัง ทำให้นักขับทางฝุ่นคนนี้ ก้าวขึ้นมาเป็นระดับโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ

Fact: ปัจจุบัน คุณเอส ดำรงตำแหน่งโค้ชและครูฝึกอบรมเกี่ยวกับการขับรถ พร้อมทำหน้าที่ตัวแทนประเทศไทย ในการวาดลวดลายบนสนามแข่ง WRC แต่ติดสถานการณ์โควิด 19 ซะก่อน เลยต้องรอเวลาไปอีกสักพัก และถ้าไม่ผิดพลาดอะไร เราจะได้เห็นคนไทยคนแรกได้เหยียบเวทีระดับโลกนี้อย่างแน่นอน


จะเรียกว่าเป็นโชคดีหรือโชคชะตาก็ได้ ที่คุณเอสรู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าอยากโตมาเป็นนักแข่งมืออาชีพ และยังมีครอบครัวคอยซัพพอร์ตมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อสมปอง ที่ช่วยเหลือทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถ เรื่องการแข่งขัน รวมถึงสกิลการขับรถต่าง ๆ ที่คุณเอสจดจำมาจากนักแข่งรุ่นเก๋าคนนี้

คุณเอสมักพูดเสมอว่า “ครอบครัวและคนข้างหลัง คือสิ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจในการทำสิ่งที่รักแบบในทุกวันนี้ ”

 

 

ขณะที่กวาดแชมป์มานับไม่ถ้วน จุดเปลี่ยนก็มาถึงจนได้ เมื่อมีขึ้นก็ต้องมีลง เพราะในชีวิตจริงก็แทบไม่ต่างจากในสนาม อุปสรรคถาโถมเข้ามาปิดกั้นเส้นทางฝัน เมื่อนักแข่งหาสปอนเซอร์ไม่ได้ โอกาสเติบโตในวงการก็น้อยลงทุกที แถมน้องชายคนสนิทก็พลันมาจากไปในวัย 15 ปีจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อีก

แต่ด้วยโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ขอแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ เงินประกันที่ได้จากน้องชายจำนวน 6 หลัก ถูกใช้ต่อยอดเส้นทางแรลลี่อย่างคุ้มค่า ฝันของเขาถูกสานต่ออีกครั้ง ซึ่งเป็นความฝันของน้องชายและครอบครัวเช่นเดียวกัน ที่จะได้เห็นคุณเอสโลกแล่นอยู่ในการแข่งขัน WRC ระดับโลกให้ได้

ทำให้คุณเอสสามารถเข้าไปแข่งในรายการเอเชียแปซิฟิก ณ ประเทศมาเลเซียได้สำเร็จ ซึ่งเปรียบได้ว่าน้องชายที่เป็นสปอนเซอร์ ช่วยต่อเติมเส้นทางฝันให้กับพี่ชาย ได้เริ่มก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพนักแข่ง ก่อนคุณเอสจะวาดลวดลายสุดประทับใจให้ทั่วเอเชียได้ทึ่ง และคว้าที่ 2 ในแข่งขันเอเชียแปซิฟิกมาครองได้สำเร็จ กวาดเงินรางวัล พร้อมสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย จนได้รับฉายาติดตัว “ต้มยำกุ้ง Driver” ที่ยังคงเป็นชื่อที่คนรู้จักกันดีในวงการรถแข่ง


นับว่าช่วงอายุ 20-21 ของคุณเอส คือช่วงพีคที่สุดในอาชีพนักแข่งเลยก็ว่าได้ ทุกอย่างกำลังไปได้สวย โปรไดรฟ์จากอังกฤษบินมาติดต่อโดยตรงกับ Subaru Thailand เพื่อให้นักขับคนนี้เซ็นสัญญาเป็นนักแข่งประจำทีมของเขา โดยจะออกค่ารถ ชุดแต่ง และสามารถเลือกรถได้ตามใจ เหมือนว่าจุดเปลี่ยนในอาชีพจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

แต่ปัญหามันติดตรงเงินส่วนต่าง ไม่ว่าจะเป็น ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าตั๋วเครื่องบิน ฯลฯ รวมเบ็ดเสร็จแล้วกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินจำนวนนี้ไม่มีปัญหาสำหรับนายทุนในประเทศไทยที่ต้องการจะสนับสนุนนักกีฬาจากไทยไปสู่ระดับโลกอยู่แล้ว แต่กลับไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเลยแม้แต่บาทเดียว

“เขามองว่าเราเพ้อ คนไทยอายุแค่ 20 จะไปแข่งระดับโลกได้ยังไง” คุณเอสบอกกับเรา

ประสบการณ์กว่า 10 ปี และถ้วยรางวัลนับไม่ถ้วน ไม่ได้ช่วยให้พวกเขาเห็นค่าของความฝันนี้เลย และเมื่อนักรบไร้ชุดเกราะ โอกาสรบชนะก็ริบหรี่ ทำให้ในครั้งนั้นคุณเอสพลาดเส้นทางไปสู่ระดับโลกอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะไม่มีผู้ใหญ่สนับสนุน แน่นอนว่าความผิดหวังในครั้งนั้น ทำให้ความท้อก่อตัวขึ้น แต่คุณเอสก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปสู่ระดับโลก และนำผืนธงไทยป่าวประกาศให้ทั่วโลกได้ประจักษ์


“เราทิ้งเงินเดือนหลักหลายแสน ทิ้งความสบายในอาชีพ เพราะอยากสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยบนถนนสาย WRC เพราะถ้าผมทำได้ มันจะกลายเป็นเส้นทางลัดที่จะพาคนไทยที่ฝันอยากเป็นนักขับ WRC สามารถไปต่อได้เร็วกว่า ไม่ต้องมาล้มลุกคลุกคลาน ลองผิดลองถูกมาทั้งชีวิตแบบผม”

สิ่งที่คุณเอส พูดย้ำกับเราเสมอก็คือ ให้ภูมิใจในความเป็นไทย การเป็นตัวแทนนักขับจากไทยไปยืนอยู่บนโลกของ WRC ที่มีคนดูกว่า 700 ล้านคน มันเหมือนกับการเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ในด้านการแข่งรถให้ประเทศไทย จะช่วยให้ทั่วโลกรู้จักประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งความฝันอันยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่ก้าวไปสู่ระดับโลกด้วยตัวคนเดียว แต่นั่นรวมถึงการพาธงชาติไทยไปสู่ระดับสากลด้วยเช่นกัน

“ไม่จำเป็นต้องชนะ ขอแค่ทำให้ต่างชาติประทับใจในความเป็นไทยของเราก็พอ ความเป็นมิตร รอยยิ้มของเรา และเพลงชาติไทยที่ดังกระหึ่มทั่วสนาม ผมว่ามันเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้ว” คุณเอสอธิบายความฝันให้เราฟัง

แต่อย่างที่บอกไปช่วงต้น ในประเทศไทยวงการแข่งรถทางฝุ่นไม่ค่อยบูมมากนัก สปอนเซอร์ก็ไม่ค่อยจะเข้า หลาย ๆ อย่างดูไม่เอื้อให้นักแข่งของไทยเลย ซึ่งคุณเอสมองว่าโอกาสเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ที่จะช่วยให้นักแข่งของไทยก้าวไปสู่ระดับสากลได้ เพราะการแข่งขันใน WRC รถทุกคันจะมีข้อบังคับทำให้สเปกและความแรงนั้นใกล้เคียงกัน รถยนต์จะถูกบังคับให้ใช้เครื่องยนต์ 1.6-liter Turbo 36 mm max output 380 horsepower

ดังนั้นความได้เปรียบเสียเปรียบจึงอยู่ที่ฝีมือการขับขี่ และความพร้อมของอะไหล่สำหรับเปลี่ยน และทีม pit ที่พร้อมเปลี่ยนด้วยความรวดเร็วเมื่อรถเกิดปัญหา ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้การต่อสู้ด้วยตัวคนเดียวของคุณเอส ต้องเจออุปสรรค เพราะจะวิ่งทาง Rally โดยประคองไม่ให้รถบอบช้ำเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น ก้าวต่อไปหลังจากที่เขาได้ไปแข่งสนามคัดเลือกสุดท้ายก่อนเข้าสู่โลกของ WRC-3 อย่างเป็นทางการแล้ว การเป็นโค้ชและเปิดโรงเรียนสอนขับรถเพื่อไปแข่งใน WRC ก็เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่คุณเอสอยากจะทำ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงตรงส่วนนี้ได้ง่ายขึ้น เผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ที่ผ่านมาโดยตรงกับตัวเองให้น้อง ๆ ได้ศึกษา เพราะคนรุ่นหลังที่สนใจทางด้านนี้จะได้ไม่ต้องคลำทางให้เสียเวลา ไม่หลงทาง รู้ว่าตอนไหนควรทำอะไร การดูแลสภาพร่างกาย การใช้เงินอย่างคุ้มค่า และผันสถานะตัวเองจากนักแข่งให้กลายเป็นผู้ใหญ่ใจดีคนนั้นเองซะเลย โดยใช้คอนเนคชันของตัวเองที่มีดีกรีระดับโลก หาสปอนเซอร์ให้น้อง ๆ และคอยผลักดันให้คนไทยได้ก้าวไปสู่การแข่งขันแรลลี่ระดับโลกอย่างเต็มตัว

“ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ผมอยากให้มันเกิดขึ้นกับประเทศไทยจริง ๆ” คุณเอสกล่าวถึงมุมมองของตัวเองต่อวงการแข่งรถแรลลี่ในไทย

“ชีวิตคนเราไม่ได้สุขอย่างเต็มที่อยู่แล้ว มันก็จะมีทุกข์บ้าง แต่เราจะแปลงความทุกข์ให้เป็นแรงขับเคลื่อนได้ยังไง”

มุมมองการใช้ชีวิตของคุณเอสถือว่าน่าสนใจมาก ๆ ถ้าเปรียบเทียบกับพวกเรา การเจออุปสรรคมานับไม่ถ้วนอาจะทำให้เราล้มเลิกความฝัน หันไปหาทางเดินอื่นที่อาจจะสบายหรือปลอดภัยมากกว่า แต่ความไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและเลือดนักสู้ของเขา เป็นแรงบันดาลใจชั้นดีให้กับใครก็ตามที่ท้อแท้กับโชคชะตา โดยคำนิยามที่คุณเอสให้ไว้ก็คือ

“มองอุปสรรคให้เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่พาเราเดินต่อไปข้างหน้า หากไร้ซึ่งอุปสรรค ชีวิตก็จะไม่รู้จักการต่อสู้ ชีวิตก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย และถ้ายังมองไม่เห็นพลังตรงนั้น ให้มองกลับไปหาคนที่เรารัก พ่อ แม่ และครอบครัวที่อยู่เคียงข้างเรามาเสมอ จงทำให้พวกเขาภูมิใจในตัวเราซะ ถ้าเรายอมแพ้ในวันนี้ สิ่งที่เราทำมาตลอดหลายปีก็จะมลายลงในพริบตา ขอให้ทำให้ดีที่สุดก็พอ ทำยังไงก็ได้ให้คนที่อยู่ข้างหลังเราชนะไปกับเราด้วย เพราะถ้าคุณชนะคนเดียว ตื่นมาตอนเช้ามันก็หายไปแล้ว แต่ถ้าทุกคนมีความสุข สุขนั้นจะคงอยู่ตลอดไป”

สุดท้ายนี้ เราขอเป็นอีกกำลังใจให้กับ ‘เอส นราศักดิ์ อิทธิริทพงษ์’ คนไทยคนแรกที่ได้เข้าร่วม WRC เวทีการแข่งขันแรลลี่ระดับโลก และหวังว่าจะมีสปอนเซอร์ที่อยากจะช่วยผลักดันในธงชาติไทยไปปรากฏบนเวทีผ่านสายคนทั้งโลกไปด้วยกันกับเราครับ

 


ขอขอบคุณสถานที่การถ่ายทำ: PSC Motorsport

Photographer: Krittapas Suttikittibut

ถอดเทปและเรียบเรียงโดย: Sorrapat Prasutjaritwong (สรภัศ พระสุจริตวงศ์)

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line