Entertainment

ZERO TO HERO : “สไปรท์” แร็ปเปอร์วัย 17 ปี ผู้พลิกชีวิตจากเด็กธรรมดาให้กลายเป็นศิลปินเงินล้าน ด้วยระยะเวลาเพียง 5 ปี

By: JEDDY October 8, 2022

ตอนอายุ 17 ปี คุณกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนมากคำตอบก็น่าจะหนีไม่พ้น “การเรียน” ซึ่งมันก็คือเรื่องปกติของทุก ๆ คนที่ต้องเผชิญอยู่แล้ว แต่สำหรับ “สไปรท์ – ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ” แร็ปเปอร์วัยเยาว์เจ้าของเพลง “ทน” (ร่วมกับ GUYGEEGEE) ที่ฮิตติดชาร์ตบิลบอร์ด ด้วยท่อนฮุค “พี่ไม่มี Louis Vuitton มีแต่หนี้ก้อนโต” ปัจจุบันเขามีอายุ 17 ปีเช่นกัน แต่สามารถไต่เต้าขึ้นมาเป็นศิลปินอาชีพได้ในเวลาอันรวดเร็ว แถมยังกลายเป็นผู้นำครอบครัว ซื้อบ้านหลังใหญ่ให้พ่อกับแม่ได้แล้ว

แต่ความฝันของสไปรท์กว่าจะได้มาไม่มีคำว่าง่าย อะไรที่เป็นสิ่งผลักดันให้หนุ่มน้อยจากจังหวัดฉะเชิงเทราประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ มาติดตามเรื่องราวของแร็ปเปอร์ตัวจี๊ดคนนี้กันครับ


พรสวรรค์การร้องเพลงเกิดขึ้นในห้องน้ำ

สไปรท์ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี ที่ถึงแม้จะดูแสบแต่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจ มีความซื่อซื่อแบบตรงไปตรงมา เขาได้เล่าให้ฟังถึงที่มีมาที่ไปของชื่อตัวเอง ซึ่งไม่ได้มาจากการที่พ่อแม่ชอบดื่มน้ำอัดลมแต่อย่างใด

“ผมเคยถามพ่อผมอยู่เหมือนกันครับ พ่อผมบอกว่าตอนเด็ก ๆ (ตอนแรกเกิด) ผมอยู่ในตู้อบในโรงพยาบาล พ่อผมบอกว่าผมตัวขาวมากก็เลยตั้งเป็นสไปรท์ เพราะน้ำสไปรท์มันขาว ก็เลยมาเป็นสไปรท์ครับ”

สไปรท์ เติบโตมาไม่ต่างจากเด็กทั่ว ๆ ไป คือใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปโรงเรียน เล่นสนุกไปเรื่อยเปื่อย ตอนเลิกงานก็กลับบ้านออกไปช่วยคุณแม่ขายข้าวโพดคั่วตามงานวัด ดูไม่ได้มีกิจกรรมพิเศษอะไรในชีวิตประจำวัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นเด็กนักเรียนที่นั่งหน้าห้อง ด้วยเหตุผลที่จำเป็น

“ผมชอบนั่งหน้าห้องเลย เพราะเพื่อนผมชื่อมายด์นั่งอยู่หน้าห้อง ผมไปลอกการบ้านเขา ผมชวนเขามานั่งหลังห้องเขาก็บอกว่า ‘มึงอะมานั่งข้างหน้า’ ผมก็เลยต้องไปนั่งกับเขาครับ”

แม้จะดูเหมือนชีวิตจะไม่ได้มีความสามารถอะไรโดดเด่นขึ้นมาเลย แต่แล้วพรสวรรค์การร้องเพลงก็ออกมาโดยไม่รู้ตัวในขณะที่เข้าห้องน้ำ

“ตอนนั้นผมยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมร้องเพลงได้ ตอนแรกผมร้องเพลงข้ามห้องน้ำกับเพื่อนเล่น ๆ ครับ แบบเพื่อนอยู่อีกห้องหนึ่ง ผมอยู่อีกห้องหนึ่ง ก็ตะโกนร้องกันไปมา พอผมเปิดประตูออกมาปรากฏว่าเจอครูยืนอยู่หน้าห้องน้ำพอดี แล้วครูก็ถามว่า ‘ร้องเพลงได้ด้วยเหรอ?’ ผมก็บอกว่า ‘ก็ร้องเล่น ๆ ครับ’

หลังจากวันนั้นที่โรงเรียนมีค่ายลูกเสือพอดี ครูที่ได้ยินผมร้องเพลงในห้องน้ำเขาก็เดินมาหาผมบอกว่า ‘ร้องเพลงตอนผัดกับข้าวให้หน่อย’ เพราะตอนนั้นในค่ายลูกเสือมันจะมีการผัดกับข้าว แล้วเขาก็ถ่ายคลิป ผมก็ร้องเพลงไปผัดข้าวไป แนวเพลงที่ร้องในตอนนั้นคือ ‘สิบนิ้วพนม..’ (เพลงเสรีขอพร – เสรี รุ่งสว่าง) ครูก็ถ่ายคลิปไปลงในเพจ YouLike หลังจากนั้นคนก็ดูเยอะมาก ไลก์กันเป็นพันเป็นหมื่นเลย แล้วรายการ Super 10 ก็ติดต่อมา…”

ใช่แล้วครับ นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตที่ทำให้ชื่อของสไปรท์โด่งดังในชั่วข้ามคืน


SUPER 10 พลิกชีวิต

หลังจากที่เกิดคลิปไวรัลออกมา สไปร์ทในวัย 12 ปี ก็ได้รับการติดต่อจากรายการ Super 10 ให้มาแสดงความสามารถในรายการ ใครที่เคยชมก็จะทราบกันดี หากการแสดงได้รับการโหวตจากกรรมการก็จะมีสิทธิ์ที่จะได้รับรางวัลตามที่ต้องการ และสิ่งที่สไปรท์รีเควสคือเตียง 2 ชั้น เพราะที่ห้องพักมักจะถูกน้ำท่วมเป็นประจำ จนทำให้สไปรท์ถูกตะขาบกัด

สไปรท์เลือกผลงานของศิลปินคนโปรดปู่จ๋านลองไมค์ กับเพลง “สะพานไม้ไผ่” มาโชว์ในรายการ และด้วยความสามารถที่โดดเด่น บวกกับความทะเล้นแบบน่ารัก ทำให้สไปรท์สามารถเอาชนะใจกรรมการไปได้ จนได้เตียง 2 ชั้น พร้อมเงินรางวัลกลับไปบ้านครองได้สำเร็จ และนับจากวันนั้นชีวิตของสไปรท์ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

“พอไปออก Super 10 เสร็จ ผมก็กลับมาขายข้าวโพดคั่วตามงานวัดเหมือนเดิม แล้วก็มีคนเริ่มเข้ามาขอถ่ายรูป ผมก็เริ่มทำตัวไม่ถูก เพราะของก็ต้องขาย คนก็มาขอถ่ายรูปก็ต้องไปถ่ายด้วย ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร แต่คนมาถ่ายรูปแล้วก็ซื้อของกลับไปนะครับ”

สไปร์ทและนีโน่

สไปร์ทและนีโน่

ความสามารถของสไปรท์ไม่ได้เตะตาเฉพาะกับทุกคนในรายการและผู้ชมจากทางบ้านเท่านั้น แต่ยังไปเข้าตาคุณพ่อของนีโน่ โปรดิวซ์เซอร์ฮิปฮอปตัวท็อปของบ้านเรา

“หลังจากไปออกรายการ พ่อของพี่นีโน่มาคอมเมนต์ใต้ Facebook ผมว่า ‘ให้ติดต่อป๋าหน่อย’ ผมก็ไม่รู้จักว่าคือใครแล้วเขาก็ขอไลน์แม่ผม พอแอดไลน์ปุ๊บ หน้าไลน์จะเป็นรูปป๋ากับแม่พี่โน่ แล้วก็พี่โน่ยืนอยู่หน้ารถฮุนได ผมก็งงว่าใคร เลยส่งให้พี่ปู่จ๋านดูครับ 

พี่ปู่จ๋านก็บอกว่านี่ นีโน่ เป็นโปรดิวซ์เซอร์เก่งมาก เราก็อ๋อ โอเค หลังจากนั้นก็คุยกับป๋าเรื่อย ๆ แล้วป๋าก็พาไปเจอพี่โน่ ตอนนั้นพี่นีโน่เขายังไม่รู้ว่าพ่อเขาพาผมไป ผมกินข้าวกันอยู่ พี่โน่เปิดประตูเข้ามายังใส่ชุดนอนอยู่เลยครับ เขาก็งงว่าผมคือใคร”

คุณพ่อคุณนีโน่ โน้มน้าวยังไงถึงได้ชวนไปที่บ้านได้ ?

“ตอนนั้นเขามาบอกว่าอยากทำเพลงด้วย ผมก็คิดว่ามันคือโอกาสเดียวของเรา เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหม ก็เลยลองไปดูครับ”


SHOW ME THE MONEY 2

ชื่อเสียงของสไปรท์ค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หลังจากที่มีประสบการณ์การแสดงความสามารถในรายการ Super 10 ไปแล้ว ทางนีโน่ก็ได้แนะนำให้สไปร์ทลองลงแข่ง Show Me The Money 2 รายการที่เต็มไปด้วยแร็ปเปอร์ตัวโหด สกิลจัดจ้าน มากมาย แม้จะดูเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเด็กหน้าใหม่ก็ตาม

“ตอนนั้นซ้อมหนักมากครับ เพราะช่วงนั้นผมยังเขียนเพลงไม่ค่อยแข็งมาก ก็จะมีคนมาช่วยผมดูด้วย ช่วยแนะนำการเขียนเพลง ช่วยบอกผมให้เดินเอนเตอร์เทนคน ตอนนั้นผมก็ยังเขียนเพลงไม่ค่อยคล่อง เขียนยังไม่เป็นเลย ใช้เวลานานกว่าจะเขียนได้ครับ”

ด้วยความพยายามอย่างหนัก สุดท้ายสไปรท์ก็ทะลุไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ ก่อนที่จะจบลงด้วยตำแหน่งรองแชมป์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องที่มาไกลเกินใครจะคาดคิดไว้จริง ๆ

“ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสเดียว เรามีโอกาสนี้โอกาสเดียวต้องทำเต็มที่ที่สุด ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าถ้าจบตรงนี้ไปผมจะทำอะไรต่อ หรือจะได้ทำอะไรต่อ ก็เลยต้องทำให้สุดไปเลย”

สิ่งที่ได้รับไม่ใช่แค่เงินรางวัลหรือชื่อเสียง แต่ยังเป็นการพัฒนาทักษะขึ้นมาภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว จนกลายมาเป็นรากฐานสำคัญในการก้าวสู่การเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว อีกทั้งยังได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของค่าย Hype Train Group ด้วยเช่นกัน


พี่ไม่มี LOUIS VUITTON มีแต่หนี้ก้อนโต

หลังจากผ่านพ้นรายการ Show Me The Money มา สไปร์ทก็มีเพลง “เดียวดาย” และเพลง “ปิก้า ปิก้า” ที่ใช้แข่งในรายการ และกลายเป็นฮิตติดตัว โดยเฉพาะเพลงหลังที่ทำยอดเข้าชมได้ถล่มทลายถึง 128 ล้านวิว

ด้วยความฮิตของเพลงทำให้เด็กเรียนมัธยมต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนกลางคืนแทน เพราะต้องออกตระเวนเล่นคอนเสิร์ตที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานการณ์ดูจะแย่ลงเพราะรายได้ที่เคยรับต้องขาดหายไป แต่แล้วมันก็มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น เมื่อค่าย Hype Train Group ที่ดูแลโดยนีโน่ ตัดสินใจปล่อยเพลง “ทน” ผลงานการร่วมแร็ปของสไปรท์และ GUYGEEGEE จนมันกลายเป็นเพลงฮิตทั่วบ้านทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว แถมยังกลายเป็นเพลงไทยเพลงแรกที่ได้ติดชาร์ตบิลบอร์ดของประเทศสหรัฐอเมริกา

“เพลง ‘ทน’ พลิกชีวิตผมเยอะอยู่เหมือนกันครับ แต่ช่วงที่พลิกมันก็มีมาก่อนแล้วหลังจบจาก Show Me The Money 2 พอมาถึง ‘ทน’ ก็เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มากในชีวิต ไม่น่าเชื่อว่า View มันจะขึ้นเยอะขนาดนั้น ตอนนั้นบิลบอร์ดชาร์ตคืออะไร ผมก็ยังไม่รู้เลยครับ”

พอเพลงดังมาก แล้วเรารับมือกับชื่อเสียงอย่างไรบ้าง?

“ผมก็ไม่ได้รับมืออะไรมากนะครับ เพราะผมก็มีพี่โน่เขาก็คอยบอกว่าต้องทำอย่างไร วิธีการวางตัวหรือการรับมือกับแฟนคลับ ก็ไม่ได้อะไรมากครับ ผมก็ธรรมชาติในแบบของผม”


แร็ปปลอม?

ทุกวงการ ทุกสังคม เรามักจะเจอคนบางคนมากำหนดบรรทัดฐานเกี่ยวกับตัวจริง ตัวปลอม ซึ่งแท้จริงมันไม่ใช่เรื่องของตัวจริงหรือตัวปลอม แต่มันคือรสนิยมความชอบของแต่ละบุคคลมากกว่า สไปรท์เองก็ต้องเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ที่คอยมาเหยียดผลงานของเขาโดยที่ไม่ได้เข้าใจถึงแก่นแท้แต่อย่างใด

“เรื่องนี้ผมก็เจอบ่อยที่มาว่าว่าทำไมผมไม่แร็ปจริง ทั้ง ๆ ที่ผมก็แร็ปมาก่อนนะ ใน Show Me ก็มีให้เห็นอยู่ แต่ว่าช่วงนี้ผมอาจจะห่างแร็ปไปจริงครับ แต่ผมอยากให้เขาคิดว่าผมทำเพลง เป็นคนทำเพลงไม่ได้จำกัดแนว เพราะผมก็ทำหมด ทำไปทั่ว ผมไม่ได้มาโฟกัสว่า ผมสไปรท์ ผมต้องทำแต่เพลงแร็ปเพราะผมก็อยากทำอย่างอื่นบ้างครับ”

ช่วงแรก ๆ ผมก็คิดมากว่าเขาเป็นใครไม่รู้มาคอมเมนต์ มาแชร์เราไปด่า แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้อะไรมากแล้ว ปล่อยเขาด่ากันไปอย่างเดียว ผมไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้วครับ

ถ้ามีโอกาสได้พูดกับคนเหล่านี้ อยากจะบอกอะไร?

“ผมอยากจะบอกว่าให้ฟังเพลง อย่าเครียด อย่าคิดมาก เพราะผมทำเพลงกัน ผมมี Producer ผมมีคนคิดแล้ว และยังมีการส่งเพลงออกไปเผยแพร่แล้ว มันจบขั้นตอนการทำไปแล้ว ผมไม่อยากให้คนมาบอกว่ามันต้องเป็นอย่างนู้นอย่างนี้อย่างนั้น เพราะผมก็ทำในแบบของผม ผมก็เลยคิดว่ามันคือเพลง อยากให้ฟังกันด้วยความสนุกสนาน หรือฟังโดยไม่ต้องมาคิดมากกัน ถ้าไม่ชอบก็เปลี่ยนเพลงแค่นั้นเองครับ”


เพลงที่ไม่เน้นคำหยาบ

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เพลงของสไปรท์เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัยคือการเลือกใช้ภาษาที่ไม่เน้นคำหยายคายนั่นเอง ทำให้เขาได้กลายเป็นไอดอลของบรรดาเด็ก ๆ โดยไม่รู้ตัว

“ตอนแรกผมทำเพราะความชิลล์อยู่แล้ว ผมทำเพราะผมทำของผมอย่างนี้อยู่แล้ว แต่หลัง ๆ เริ่มมีคนมาบอกว่าสไปรท์เป็นคนที่ทำเพลงไม่มีคำหยาบ มันทำให้ผมรู้สึกว่าเอาแล้วว่ะ ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นแนวทางของผม ผมก็ไม่ได้อยากมีปัญหากับคนที่เขาทำแล้วมีคำหยาบ ผมก็คิดว่ามันแล้วแต่คนเลือกฟัง แต่สำหรับผม ผมไม่ได้ทำมีคำหยาบมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะปู่ผมฟังเพลงผมด้วย ผมก็ไม่อยากใส่คำหยาบลงไป พ่อแม่ผมก็ฟังเพลงผมด้วยครับ”

พ่อกับแม่คอยบอกอะไรด้วยไหม?

“พ่อแม่บอกว่าเห็นแฟนคลับผมที่เป็นเด็กให้พ่อแม่จูงมือมาถ่ายรูปกับผม แล้วบอกผมว่าน้องดูทุกวันเลย เห็นสไปรท์ไม่มีคำหยาบเลยบอกให้ลูกชอบ แล้วเขาเองก็ชอบด้วย ผมเลยคิดว่ามันก็เป็นอะไรที่มันยึดในใจผมไปแล้ว ว่าลูกฟังพ่อแม่ก็ชอบด้วย แต่ก็มีเพลง ‘ปิก้า ปิก้า’ มีคำหยาบอยู่แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจครับ”


ความสำเร็จตั้งแต่ยังไม่เลข 2

จากเด็กที่เคยอยู่ในห้องเล็ก ๆ โดนน้ำท่วมจนตะขาบกัด ปัจจุบันสไปรท์สามารถซื้อบ้านให้พ่อแม่อยู่ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นทำให้เขากลายเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี

“ผมก็รู้สึกกดดันนะครับ  เราต้องรับผิดชอบอะไรหลาย ๆ อย่าง ก็มีทั้งความรู้สึกกดดัน และความรู้สึกดีที่เราได้รับผิดชอบพ่อแม่เร็วกว่าคนอื่น เราไม่ต้องรออายุ 20 กว่า มีงานแล้วค่อยได้เลี้ยงพ่อแม่ แต่ผมทำได้เร็วก็รู้สึกดีครับ”

โดยรวมครอบครัวมีความสุขมากขึ้น?

ครอบครัวก็มีความสุขมากขึ้นเพราะเราก็ไม่ได้ลำบากเหมือนเมื่อก่อน เราอยู่ในจุดที่ดีกว่าเดิมแล้วครับ

คิดว่าเราประสบความสำเร็จในฐานะศิลปินแล้วหรือยัง?

“ผมคิดว่าสำเร็จไปในบางขั้นตอน คิดว่ามันยังมีอะไรอีกเยอะที่รอผมไปทำให้มันสำเร็จอยู่ ผมยังมีเป้าหมายอยู่อีก ผมอยากให้เพลงของผมมีคนฟังเยอะ ๆ เหมือนตอนนี้ ผมปล่อยเพลงก็มีคนรอฟังอยู่ อันนี้คือเป้าหมายที่ผมโอเคแล้วครับเพราะศิลปินอยู่ได้ต้องมีคนฟังน่ะครับ ถ้าเรารักษาคนฟังของเราไว้ได้มันก็ชิลล์ ๆ ยาว ๆ”


ส่งต่อแรงบันดาลใจ

ปัจจุบันสไปรท์ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลาย ๆ คนในการใช้ชีวิต ช่วยปลุกความกล้าให้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง

“อยากจะขอบคุณมากครับที่เอาผมเป็นแรงบันดาลใจกัน บางคนก็เป็นผู้ใหญ่ ผมเคยนั่งแท็กซี่แล้วเขาบอกผมว่า ‘น้องเป็นแรงบันดาลใจให้พี่เลยนะ พี่เคารพเลย’ จากที่ผมง่วง ๆ อยู่ผมตื่นมาฟังเขาพูดเลย ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เหรอไม่น่าเชื่อเลย เขาก็บอกว่าจริง แล้วก็เล่าให้ฟังว่าเขาชอบผม ผมก็รู้สึกดีครับที่วันหนึ่งมีคนเอาเราเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ทำงาน หรือทำตามความฝัน เขาเอาบางคำพูด บางการกระทำของเราไปทำตาม ผมก็รู้สึกดี”

แล้วเขาเก็บค่าแท็กซี่ไหม?

“ไม่ครับ เขาก็คิดตังค์เหมือนเดิม บอกผมว่าโอนกสิกรนะน้อง” ผ่าม!


ไอหนุ่ย

“ไอหนุ่ย” อีกหนึ่งผลงานที่สะท้อนให้เห็นว่าสไปรท์ไม่ได้ยึดติดแค่การแร็ปเท่านั้น แต่ยังสามารถทำเพลงที่มีความใกล้เคียงกับสำเนียงปักษ์ใต้ได้ด้วย

“สำหรับเพลงนี้ไม่ได้มีแรงบันดาลใจอะไรเลยตั้งแต่แรก เพราะมันเป็นเพลงที่เกิดขึ้นมาจากการที่ตอนนั้นทุกคนไม่ได้ทำอะไรครับ พี่นีโน่กับพี่มอสเขาเป็นโปรดิวซ์เซอร์ แล้วตอนนั้นอยู่ในสตูดิโอด้วยกัน ผมก็อยู่ด้วย พี่โน่ก็เอากลองมาตี ตี  พี่มอสก็เอากีตาร์มาเล่น ผมก็เลยเปิดไมค์ร้องว่า “หนุ่ยทิ้งพี่ไป หัวใจช้ำทรวง” แบบปั่น ๆ แต่พี่โน่ดันชอบ เขาบอกอยากทำเพลงนี้ให้เสร็จไปเลย

พอทำพาร์ตของผมเสร็จเขาก็บอกว่าเอา RachYo มาฟีตด้วยดีไหม? ผมก็เลยคิดว่าดี เพราะว่าผมก็เป็นแฟนคลับพี่เอิร์ธอยู่แล้ว  แล้วผมก็คิดว่ายังไม่มีเพลงกับพี่ SEEDAA เลย ก็เลยคิดว่าเพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่มาเจอกันครับ”


ล่าสุดสไปรท์เพิ่งจะมีผลงานเพลง “BTS” ออกมาให้ฟังหมาด ๆ แฟนเพลงลองเข้าไปเสพผลงานกันได้เลย

สามารถติดตามผลงานของสไปรท์ได้ทาง Facebook และ Youtube : Hype Train Group รวมไปถึง Instagram ของสไปรท์ : spritezakup

ทาง Unlockmen ต้องขอขอบคุณ Universal Music Thailand, Hype Train Group และร้าน 22 Sep. Cafe & Space สำหรับการอำนวยความสะดวกสัมภาษณ์ในครั้งนี้ด้วยครับ

ติดตาม Video Interview ของสไปรท์ได้ทางแฟนเพจ Unlockmen เร็ว ๆ นี้

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line