ทำความรู้จักกับ “The N Word” คำสั้นๆ ที่ทำให้คนฟังโคตรเจ็บใจ แต่คนพูดต้องเจ็บตัว

เรื่องที่เราจะพูดถึงในวันนี้ หลายคนอาจจะมองว่าไกลตัวไปสักหน่อย แต่เราเชื่อว่ายังมีคนไทยหลายๆ คน ที่เข้าใจความหมายและพูดคำคำนี้ออกมา โดยที่ไม่รู้ว่ามันมีความหมายเกินที่เราจะเข้าใจได้ จึงอยากจะนำเรื่องราวที่มาที่ไป ของ “N Word” มาให้ทุกคนได้เข้าใจ ก่อนที่จะพูดมันออกไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว จนบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากมีโอกาสได้พบเจอพูดคุยกับ “คนผิวสี”

มนุษย์เรามีการพยายามจะแบ่งแยกสิ่งต่างๆ ออกจากกันมากเกินไป จนบางครั้งกลายเป็นการเหยียดหยาม ดูถูก และรวมไปถึงกระทำที่น่ารังเกียจไร้มนุษยธรรม สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เรามีการแบ่งแยกมาเป็นเวลาช้านานแล้วก็คือ เรื่องสีผิว และถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ เรื่องของการเหยียดสีผิว และเชื้อชาติจะมีน้อยลงกว่าแต่ก่อนมากแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันยังไม่หายไปจากโลกซะทีเดียว

โดยเฉพาะในประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ ซึ่งมีคนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ จึงทำให้คนในประเทศ มีความขัดแย้งกันในเรื่องของเชื้อชาติ สีผิว กันอยู่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของการเหยีดผิวของชาวอเมริกันที่มีผิวขาวบางคน มีอคติที่รุนแรง กับคนผิวสี และปฎิบัติตัวแบ่งแยก แสดงออกถึงการนับชนชั้น ที่นำเอาเรื่องราวที่ไม่น่ากล่าวถึงในอดีตมาเป็นคำด่าทอ และใช้ในการเรียก คนผิวสี ว่า “Nigga”

คำว่า “Nigga” หรือที่คนอเมริกัน รู้กันดีในชื่อ “N Word” จึงเปรียบเสมือนคำต้องห้ามในสังคม ยกเว้นซะแต่ว่า คนผิวสีจะพูดกับคนผิวสีด้วยกันเอง ถือว่าไม่ได้เป็นการเหยียดคนที่มีสีผิวเหมือนกัน แต่สำหรับคนผิวขาวที่จงใจพูดมัน เพื่อจะสื่อถึงการเหยียดสีผิว คนเหยียดสีผิวเหล่านี้จะเรียกว่า “Racist” ซึ่งไม่เพียงแค่จะถูกคนผิวสีโกรธเอาอย่างเดียวเท่านั้น เพราะยังมีคนอีกมากมายที่ต่อต้าน และมองว่ามันเป็นการกระทำที่บัดซบ เลวทราม พร้อมที่จะเข้ามารุมประณามความปากพล่อยของพวกเหยียดผิวอยู่ทั่วทุกแห่งหน

ดังนั้นเราทุกคนควรระมัดระวัง และรู้จักคำคำนี้เอาไว้ มีอยู่บ่อยครั้งที่เห็นคนไทยเจอคนต่างชาติผิวสี ก็มักจะพูดออกมาว่า นิโกร โดยที่ไม่รู้ถึงความหมาย และตั้งใจจะเหยียดสีผิวแต่อย่างใด แต่สำหรับบางประเทศแล้ว เค้าไม่สนใจว่าคุณจะเป็นใคร หรือมาจากทวีปไหน ขอเพียงแค่คุณพลั้งปากสบถ “N Word” ออกมา แล้วบังเอิญไปเข้าหูคนผิวสีพอดีล่ะก็ คุณอาจจะโดนจัดชุดใหญ่ใส่หนักแบบไม่ทันได้แก้ตัวเลยทีเดียว

ที่เราบอกว่าความหมายของ “N Word” มันลึกซึ้ง และรุนแรง นั่นคงต้องย้อนไปถึงที่มาของคำคำนี้กันก่อน จริงๆ แล้ว คำว่า “Nigga” นั้น มีรากศัพท์ต้นกำเนิดมาจากภาษาละติน “Niger” ซึ่งหมายถึง “สีดำ” คนจึงนำเอาคำนี้มาใช้เรียก คนผิวสีว่า “Negro” ทั้งในประเทศ อังกฤษ, สเปน และโปรตุเกส เรื่อยมาโดยอาจจะมีการเปลี่ยนการเขียนไปบ้าง เช่น Negar, Neegar, Neger และ Niggor

สำหรับชาวอเมริกันผิวสี หรือ (African-American) ซึ่งบางครั้งอาจจะเรียกให้สุภาพมากขึ้นได้ว่า “Black American” นั้น ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดที่แท้จริงมาจากทวีปแอฟริกา แต่เนื่องจากเหตุการณ์ล่าอานานิคม และการค้าทาส ซึ่งทาสที่ถูกจับมาค้าขายเพื่อไปใช้แรงงานส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวสีที่อยู่ในทวีปแอฟฟริกา และได้มีการส่งทาสเข้าไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก

ในตอนนั้นชาวอเมริกันผิวขาวเป็นผู้อยู่อาศัยเดิมจึงได้แบ่งแยกความเป็นนายกับทาส รวมไปถึงมองพวกคนผิวสีเหล่านั้นว่าเป็นพวกเพื่อนบ้านที่ถูกพาเข้ามา ไม่ใช่ชาวอเมริกันแท้ ๆ ถึงแม้คนผิวสีจะตั้งรกรากมีลูกมีหลานอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกามาหลายชั่วอายุคนแล้วก็ตาม บางครั้งครอบครัวชาวอเมริกันผิวขาว ถึงขั้นกีดกันไม่ให้ลูก ๆ ของตัวเองแต่งงาน เพียงเพราะว่าคู่รักของลูกเป็นคนผิวสีเท่านั้น

นี่จึงเป็นสาเหตุของการนำเอา “N Word” มาใช้กันต่อมาเพื่อเป็นการดูถูก และเหมือนเป็นการบอกว่าพวกผิวสีไม่ใช่ชาวอเมริกัน นอกจากนี้ยังมีการล้อเลียนถิ่นต้นกำเนิดของคนเหล่านี้ รวมไปถึงสีผิวอีกด้วยเช่น เปรียบเทียบถิ่นต้นกำเนิดราวกับว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดอยู่กลางป่า กลางทุ่งหญ้าไร้อารยธรรม คนขาวที่เหยียดผิว จึงนำเอากล้วยมาล้อเลียนคนผิวสี เหมือนกับว่า คนผิวสีเป็นพวกลิง ไม่ใช่มนุษย์

ในเว็ปยอดฮิตอย่าง Youtube ได้มีฝรั่งเกรียนอยากลองดี โดยการแกล้งไปถามทางกับคนผิวสีโดยอ้างว่า ผับที่ชื่อว่า Niga ไปทางไหน ซึ่งเป็นการตั้งใจจะเล่นคำให้ออกเสียงเหมือนกับ “N Word” เพื่อดูผลการตอบสนองของคนผิวสีหลาย ๆ คน ผลปรากฏว่า วัยรุ่นคนดังกล่าว โดนต่อยเกือบตาย เจอบางคนโหด ๆ ควักปืนออกมาเลยก็มี นั่นทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “N Word” มีผลต่อคนผิวสีรุนแรงขนาดไหน

วันนี้หวังว่าทุกคน จะได้เข้าใจของคำคำนี้กันมากขึ้น และไม่นำไปใช้ในทางที่ผิดกันนะครับ สำหรับใครที่มีโอกาสได้ไปต่างประเทศ หรือได้คุยกับคนที่มีผิวสี ก็อย่าเผลอไปเรียกเค้าด้วยคำนี้เข้า ไม่งั้นอาจจะเจ็บตัวได้ง่ายๆ รวมไปถึงเรื่องของสีผิว และรวมไปถึงการเหยียดสิ่งอื่นๆ เพียงเพราะความแตกต่าง

อย่างเราคนเอเชียก็ใช่ว่า จะไม่โดนเรื่องของสีผิว และเชื้อชาติ แต่ถึงอย่างไร ความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ ก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นมนุษย์ ที่มีความรู้สึกนึกคิด และชีวิตจิตใจแตกต่างกันแม้แต่น้อย