Entertainment

สำรวจ “10 เพลงยอดเยี่ยมทรงอิทธิพลแห่งทศวรรษ” จัดอันดับโดยนิตยสาร TIME (PART 1)

By: Synthkid December 10, 2019

เป็นธรรมเนียมของทุกปีที่นิตยสารระดับโลกอย่าง TIME จะต้องประกาศ “10 อันดับ” ในหัวข้อต่าง ๆ รวมทั้งหัวข้อเกี่ยวกับเพลงและศิลปิน แต่สำหรับการจัดอันดับในครั้งนี้คงจะมาแบบธรรมดาไม่ได้ เพราะโลกของเรากำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่อย่างเป็นทางการ ทำให้การจัดอันดับ “ที่สุดในทศวรรษ” งอกขึ้นมาเป็นดอกเห็ด หัวข้อ 10 เพลงที่ดีที่สุดในทศวรรษ (The 10 Best Songs of the 2010s) ก็เช่นกัน

สำหรับหัวข้อนี้พวกเขาไม่ได้วัดจากยอดสตรีมมิงหรือยอดขายเพียงเท่านั้น แต่ TIME ระบุว่าเพลงเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของวงการเพลงอเมริกันในทศวรรษนี้ ไม่ทางใดทางหนึ่งก็ทางหนึ่ง โดยเราจะเรียงตามช่วงเวลาจาก 2010 ไปจนถึง 2019 และขอแยกออกเป็น 2 ตอน สำหรับวันนี้เราจะขออนุญาตพูดถึง 5 เพลงแรกก่อนครับ

Rolling in the Deep – Adele (2010)

เขาว่ากันว่า เพลง(ไม่)รัก หรือเพลงรักที่อับปาง คือหัวใจหลักของเพลงป๊อปในปี 2010 ก็ว่าได้ อัลบั้ม 21 ของ Adele ประสบความสำเร็จในระดับระดับถล่มทลาย แถมยังขึ้นแท่นเป็นอัลบั้ม ‘GREATEST OF ALL TIME’ ของบิลบอร์ดชาร์ต

Rolling In The Deep คือบทเพลงที่เขย่าวงการไปทั่วโลก แม้จะดูเป็นเพลงหรู ๆ สไตล์ผู้ดีอังกฤษ แต่ความไพเราะของมันนั้นจัดว่าเป็นสากล สามารถเข้าถึงผู้คนทุกเพศทุกวัยได้อย่างแท้จริง ในระดับที่คนเล่นอินเทอร์เน็ตยุคนั้นแทบไม่มีใครไม่เคยฟังหรือไม่เคยรู้จักเธอ (อย่างน้อยก็ต้องได้ยินเปิดตามห้างกันบ้าง)

อีกทั้ง Time เขายังยกย่องเพลงนี้ให้เป็น ‘ดั่งบทสวดไล่ปีศาจ’ ภายในจิตใจ หลังไฟรักมอดสลาย เรื่องชาร์ต ส่วนเรื่องรางวัลคงไม่ต้องพูดถึง เพราะอัลบั้ม 21 นี้ Adele กวาดไปเรียบทั้งรางวัลใหญ่รางวัลเล็กเลยทีเดียว

Dancing on My Own – Robyn (2010)

Dancing On My Own จาก Robyn เป็นเพลงอกหักที่ไม่ใช่แค่คร่ำครวญ แต่ตัวเพลงเล่าเรื่องได้เป็นฉาก ๆ เหมือนหนังเรื่องหนึ่ง มีส่วนผสมของบัลลาดและอัดแน่น ‘อารมณ์’ เปี่ยมล้น นำมาถ่ายทอดผ่านดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ร่วมสมัยได้อย่างลงตัว เนื้อเพลงว่าด้วยเรื่องของหญิงสาวที่แอบมองชายคนรักเก่าตัวเองจูบกับผู้หญิงใหม่อยู่ในผับ เผชิญความเจ็บปวดผ่านสายตาตัวเอง ก่อนจะเต้นอย่างเดียวดายท่ามกลางแสงสีและผู้คนที่เธอไม่รู้จัก

นอกจากเอกลักษณ์ของเพลง สื่อหลายสำนักได้ลงความเห็นว่า หลังเพลงนี้ดังเป็นพลุแตกและกลายเป็นเพลงฮิตของทุกคลับของอเมริกา ทิศทางของเพลงป๊อปเมนสตรีมก็เปลี่ยนไป เพราะศิลปินทั้งหญิงและชายหลายคนเริ่มหันมาทำ ‘เพลงเศร้าอิเล็กทรอนิกส์’ มากขึ้นอย่างมีนัย (ไม่ได้แปลว่าเพิ่งมีแนวนี้นะครับ แต่หมายถึงศิลปินคนอื่น ๆ ลุกขึ้นมาทำเพลงแนวเดียวกัน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน)

ที่สำคัญไม่เพียงแค่ชาร์ต TIME เท่านั้นที่คว้ารางวัลมา แต่ Dancing On My Own ยังเป็นอันดับ 1 เพลงดีที่สุดในทศวรรษของนิตยสาร NME และเป็นอันดับ 3 ของนิตยสาร Pitchfork อีกด้วย!

Everything Is Embarrassing – Sky Ferreira (2013)

เพลงนี้อาจจะไม่ได้เป็นที่คุ้นเคยกับคนไทยเท่าไร แต่เชื่อเถอะว่า Sky Ferreira ถือว่าเป็นศิลปินที่มีความสำคัญอย่างมากทั้งในวงการเมนสตรีมและนอกกระแสในอเมริกัน เพลงของเธอมีส่วนผสมระหว่างดนตรีซินธ์ Sophisti-pop ยุค 80 กับเสียงร้องรวดร้าวแบบนักร้องอัลเทอร์เนทีฟร็อกปลายยุค 90 ที่กลมกล่อมลงตัว โดยเฉพาะช่วงปี 2012-2013 เธอโดดเด่นแตกต่างจากกลุ่มคนทำเพลงนอกกระแสชาวอเมริกันเนื่องจากศิลปินส่วนใหญ่ทำเพลงแนวอินดี้โฟลก

Time ได้ยกย่องให้เพลง Everything Is Embarrassing เป็นตัวแทนเพลง ‘ป๊อปคลื่นลูกใหม่’ ที่ก่อตัวขึ้นในช่วงนั้น นอกจากเธอแล้วก็ยังมีศิลปินอย่าง Charli XCX และ Haim ที่เคียงคู่กันมาชาร์ตยุคนั้น กลุ่มศิลปินนอกกระแสเหล่านี้คือผู้ทลายความจำเจเพลงป๊อปในช่วงเวลานั้น ๆ จนก้าวเข้าสู่โลกเมนสตรีมในที่สุด แต่ความตลกร้ายคือจากวันนั้นจนถึงวันนี้ Sky Ferreira ออกอัลบั้ม Night Time, My Time มาแค่ชุดเดียวเท่านั้น! โดยปี 2019 นี้เธอเพิ่งจะปล่อยเพลงใหม่ชื่อ Downhill Lullaby ออกมา แต่ก็มีแค่เพลงเดียวเท่านั้น หวังว่าในอนาคตเธอจะหวนคืนวงการอย่างยิ่งใหญ่สมใจแฟนเพลงที่รอคอยมานานเกือบทศวรรษนะครับ

ปล. เธอคือคนรับบบทเป็นแม่ Baby ในภาพยนตร์เรื่อง Baby Driver และถึงจะไม่ออกอัลบั้ม แต่เธอไปร่วมงาน featuring กับศิลปินคนอื่นเยอะมาก ๆ

I Want You – Luke James (2011-2012)

Luke James คือนักร้อง-นักแต่งเพลงจาก New-Orleans อีกทั้งยังมีงานแสดงประปราย พลังเสียงที่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณและการ High Note ระดับปราบเซียนของเขาจากเพลง I Want You ทำให้ Time ถึงขั้นยกย่องว่า ‘เป็นเพลงรักที่คู่ควรแก่การเปิดในโบสถ์’ จัดว่าเป็นศิลปิน R&B แถวหน้าที่ทำเพลงโดดเด่นแถมยังผสมผสานกับดนตรีป๊อปได้กลมกล่อมลงตัวในช่วงเวลานั้น

หากคุณไม่คุ้นเคยกับเพลงก็อย่าเพิ่งไปคาดโทษ Time เขาเลยครับ เพราะสำหรับชาวอเมริกัน เพลงนี้ส่งอิทธิพลต่อพวกเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน แถมเพลงนี้ยังออกมาก่อนเพลง All Of Me ของ John Legend จะถือกำเนิดเสียอีก

All Too Well – Taylor Swift (2012)

หากจะกล่าวว่า Taylor Swift คือหนึ่งในศิลปินที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ในทศวรรษนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เธอฝากผลงานที่ประสบความสำเร็จไว้กับเราถึง 4 อัลบั้ม (Red,1989,Reputation และ Lover) แต่สิ่งที่ทำให้ All Too Well จากอัลบั้ม Red แตกต่างจากเพลงอื่น ๆ มีหลายประการ

เพลงนี้ไม่ได้เป็นหนึ่งในซิงเกิลโปรโมตของเธอด้วยซ้ำ แต่เธอกลับเลือกขึ้นไปแสดงบนงาน Grammy Awards ปี 2014 และเล่นเปียโนด้วยตัวเอง จึงเป็นหนึ่งในโชว์ที่เรียบง่าย ทรงพลัง แม้คนที่ไม่เคยได้ยินเพลงมาก่อนก็สามารถตกอยู่ในมนต์สะกดของโชว์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ สื่อดนตรีหลายแห่งลงความเห็นว่า All Too Well คือเพลงที่ดีที่สุดเท่าที่ Taylor Swift เคยเขียนมา (ไม่รู้ว่าเปลี่ยนใจกันหรือยังแต่ ณ ตอนนั้นมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ) Time ให้เหตุผลว่าเพลงนี้เป็นดั่งเครื่องพิสูจน์ว่าป๊อปสตาร์สาวคนนี้สามารถทำได้ทุกอย่างเท่าที่เธอจะอยากทำ เป็นช่วงที่ความสามารถทั้งหมดของเธอกำลังตกผลึกได้ที่จนเป็นที่ประจักษ์กับคนทั้งโลกนั่นเอง

วันนี้เราคงต้องขอพักไว้ก่อนที่ 5 อันดับแรก เอาไว้ครั้งหน้าเราจะมาต่อให้ครบ 10 เพลง ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าทศวรรษที่ผ่านมา เพลงบางเพลงที่เราชอบฟัง กลายเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า ส่งอิทธิพล ต่อดนตรีในยุคต่อ ๆ ไปมากขนาดนี้ แค่จินตนาการว่าเพลงที่เรากำลังฟังสนุก ๆ ทุกวันนี้ อาจกลายเป็นสุดยอดเพลงในตำนานของคนรุ่นหลัง มันช่างน่าตื่นเต้นเสียจริง ๆ

 

Source: 1 / 2

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line