Entertainment

5 เรื่องราวสุดเจ๋ง เบื้องหลัง DEFINITELY MAYBE อัลบั้มฮิตตลอดกาลของ OASIS

By: Synthkid September 5, 2019

อัลบั้ม Definitely Maybe ของคณะ Oasis วงร็อกชื่อก้องโลก ผู้เป็นหนึ่งในหัวหอกแห่งวัฒนธรรม Britpop ถูกปล่อยออกมาครั้งแรกวันที่ 29 สิงหาคม ปี 1994 เท่ากับว่าเพิ่งครบรอบ 25 ปีไปหมาด ๆ แม้จะผ่านมาอย่างยาวนาน แต่บทเพลงในอัลบั้มยังถูกยกย่องว่ามีความยอดเยี่ยมเหนือกาลเวลา โดยเฉพาะเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง Live Forever, Cigarettes & Alcohol และ Supersonic ก็ยังเป็นที่รู้จักของเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ไม่เคยถูกลืมเลือนไป ดั่งที่ โนล กัลลาเกอร์ เคยกล่าวไว้ว่า เพลงของเขาจะไม่ยึดติดกับช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งมากเกินไป และต้องเป็นความจริงอันเป็นสากล จึงไม่แปลกที่เพลงของ Oasis ถึงยังสามารถครองใจผู้คนทั่วโลกได้ถึงยุคปัจจุบัน

เรามาดูกันดีกว่า อัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้จะมีอะไรเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรเจ๋ง ๆ ซ่อนอยู่บ้าง UNLOCKMEN ขอชวนคุณมาขุดคุ้ยหน้าประวัติศาสตร์แห่งยุค 90 นี้ไปพร้อม ๆ กัน

credit: www.facebook.com/OasisOfficial

Definitely Maybe คืออัลบั้มแรก แต่ออกตัวแรงจนน่าตกใจ

อัลบั้มนี้ขายได้ถึง 86,000  ก๊อปปี้ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เปิดตัว แน่นอนว่าทะยานขึ้นอันดับ 1 UK Chart ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่วางขายเช่นกัน แม้จะเป็นอัลบั้มระดับประวัติศาสตร์แต่อัลบั้มนี้กลับขึ้นไปแตะบิลบอร์ดชาร์ตฝั่งอเมริกาได้แค่อันดับที่ 58 เท่านั้น และล่าสุดเมื่อถูกถามถึงครบรอบ 25 ปีอัลบั้มนี้ ป๋าเลียม กัลลาเกอร์ดันออกมาตอบว่า

“มันเหมือนผ่านไปนานแล้ว 1 ล้านกับอีก 25 ปี ผมลืมไปสนิทเลย ได้ยินคนพูดถึงอยู่นะ คือมันนานโคตร ๆ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตั้งมากมาย” (ไม่รู้เพราะว่ากำลังมุ่งมั่นทำอัลบั้มเดี่ยว Why Me, Why Not? อย่างเอาเป็นเอาตายหรือแกล้งลืม เดาใจป๋าไม่ถูกเลย)

 

เบื้องหลังปกอัลบั้มสุดคลาสสิก

รูปนี้ถูกถ่ายที่บ้านใน Manchester ของ Paul Arthurs หรือ Bonehead มือกีตาร์กาวใจของวงนั่นเอง สิ่งของแต่ละชิ้นในภาพนี้ ล้วนสื่อถึงความชอบของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ทั้งนั้น

  • ภาพ Burt Bacharach ที่มุมล่างซ้าย คือนักแต่งเพลงที่โนลยกให้เป็นต้นแบบของเขา เขาตั้งใจวางรูปไว้ที่ตำแหน่งนี้ เพื่อให้คล้ายกับปกอัลบั้ม Ummagumma ของวง Pink Floyd โดยปกอัลบั้มที่ว่า จะมีการจัดวางแผ่น Soundtrack หนังปี 1958 เรื่อง Gigi เอาไว้ในตำแหน่งคล้าย ๆ กันกับรูป Burt Bacharach บนปก Definitely Maybe แน่นอนว่า Pink Floyd เองก็เป็นวงร็อกที่โนลชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง
  • แก้วไวน์ บุหรี่ และไฟแช็ก ในภาพ สื่อถึงเพลง Cigarettes & Alcohol
  • บนจอโทรทัศน์ในภาพ กำลังฉายหนังเรื่อง The Good, the Bad and the Ugly ซึ่งเป็นหนังเรื่องโปรดของโนล
  • เนื่องจากเป็นบ้าน Bonehead บนหน้าต่างเลยมีรูปของ George Best นักเตะระดับตำนานของ Manchester United แขวนเอาไว้ สองพี่น้องกัลลาเกอร์ไม่ยอมแพ้ เอารูป Rodney Marsh นักเตะแข้งทองที่ทำสถิติ 35 ประตู จากการลงสนาม 116 ครั้ง ของ Manchester City มาตั้งข่ม แถมภาพใหญ่กว่าด้วย
  • ท่านอนของเลียมในรูปเป็นไอเดียของ Michael Spencer Jones ช่างภาพที่ถ่ายรูปนี้ โดยเขาเอามาจากท่านอนของมัมมี่ เพราะตัวเองเพิ่งไปชมนิทรรศการอียิปต์โบราณใน Manchester มา

 

Live Forever คือเพลงคัดค้าน Kurt Cobain

โนลแต่งเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อให้กลายเป็นคู่ตรงข้ามเพลง I Hate Myself and Want to Die ของ Nirvana โดยกล่าวว่

“ผมแต่งเพลงนี้ช่วงที่ดนตรี Grunge Rock กำลังเป็นที่นิยม แล้ววงอย่าง Nirvana ก็มีเพลงชื่อ I Hate Myself and Want to Die ถึงผมจะชอบ Kurt Cobain แต่ผมไม่คิดแบบเขาหรอก ผมไม่ปล่อยให้ใครมาพูดว่าเกลียดตัวเอง หรืออยากตายใส่แน่ ๆ แม่งโคตรแย่ เด็ก ๆ ไม่ควรจะฟังอะไรสิ้นคิดแบบนี้”

นอกจากนี้โนลยังอุทิศเพลงนี้ให้แด่ เพ็กกี้ กัลลาเกอร์ แม่แท้ ๆ ของเขา เพราะเธอคือคุณแม่ผู้แข็งแกร่ง สู้ชีวิต ทำงานถึงสามงานในหนึ่งวันเพื่อเลี้ยงดูลูก ๆ ถึงสามคน ทำให้โนลรู้สึกว่าการใช้ชีวิตให้ยืนยาวนั้น คือการตอบแทนความรักที่แม่มีต่อเขานั่นเอง แม้นี่จะเป็นเพลงที่เขาอุทิศให้กับแม่แต่โนลได้เผยความตั้งใจว่า เขาเขียนเนื้อเพลงนี้อย่างเปิดกว้างเพื่อให้ทุกคนได้ตีความในแบบของตัวเองตามประสบการณ์ส่วนตัว

 

วงเคยถูก Coca-Cola ฟ้องถึง 500,000 ดอลลาร์

ถึงจะเป็นอัลบั้มทำเงิน แต่การถูกฟ้องด้วยเงินจำนวนมากขนาดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ (ราว 15 ล้านบาทไทย) โดยฝั่งคู่กรณีอ้างว่า เนื้อเพลง Shakermaker ซิงเกิลที่สองของอัลบั้มนี้คล้ายกับเพลง I’d Like To Teach The World To Sing ของ The New Seeker ที่ทางโคคา-โคลานำไปประกอบโฆษณาปี 1971 ภายหลังวงจึงยอมปรับเปลี่ยนเนื้อเพลงท่อนแรกให้กลายเป็น “I’d like to be somebody else, and not know where I’ve been” แถมโนลยังออกมาประชดกรณีนี้ภายหลังว่า “ตอนนี้วงเราดื่มแต่ Pepsi กันแล้วว่ะ!” เหมือนไม่เหมือนอย่างไร ลองมาฟังกันดู

 

เพลง Slide Away ถูกแต่งขึ้นด้วยกีตาร์วิเศษของ Johnny Marr วง The Smiths

จอห์นนี มาร์ อดีตมือกีตาร์วง The Smiths ได้มอบกีตาร์ Gibson Les Paul รุ่นปี 1960 ของตัวเองให้กับโนล ตั้งแต่ตอนที่ Oasis ยังไม่ได้ดังเป็นพลุแตกแบบนี้ โดยจอห์นนีซื้อกีตาร์ตัวนี้ต่อมาจาก พีต ทาวน์เซนด์ วง The Who อีกที ทำให้หลายคนเกิดความเชื่อว่ากีตาร์ตัวนี้มีมนต์วิเศษ เพราะเป็นมรดกตกทอดมาจากตัวเทพทั้งนั้น จนมาร์เคยออกมาอธิบายว่า “ผมไม่สามารถให้ของห่วย ๆ กับเขาได้จริง ๆ” แต่โนลเองเนี่ยแหละที่ทำให้ข่าวลือมันสะพัดหนักเพราะป๋าแกเล่นให้สัมภาษณ์ว่า

“คืนแรกที่ผมได้กีตาร์มา เพลง Slide Away ก็เขียนตัวมันขึ้นมาเองในทันที เหมือนเพลงนี้มันรอผมอยู่แล้วในกีตาร์ตัวนี้”

กลายเป็นเรื่องราวลี้ลับไปเสียอย่างนั้น เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่ที่แน่ ๆ เพลง Panic ของ The Smiths ที่ประสบความสำเร็จมาก ก็แต่งด้วยกีตาร์ตัวนี้เช่นกัน! ตอนแรกเพลง Slide Away จะถูกตัดเป็นซิงเกิลที่ 5 ของอัลบั้มนี้ แต่โนลได้ห้ามไว้ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีใครเขาปล่อยซิงเกิลตั้ง 5 เพลงในอัลบั้มแรกหรอก แต่สุดท้ายเพลง Rock ‘n’ Roll Star ก็กลายเป็นซิงเกิลสุดท้ายที่วงนำไปโปรโมตในอเมริกาอยู่ดี

Oasis ช่างเป็นวงดนตรีที่แสนมหัศจรรย์ พวกเขามีเรื่องราวมากมายอยู่เบื้องหลังงานเพลงเต็มไปหมด พวกเราสามารถนำมาเล่าต่อให้ลูกหลานฟังได้อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ซึ่ง 5 เรื่องที่เราหยิบยกมาในวันนี้ ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไว้ครั้งหน้า UNLOCKMEN จะเอาเรื่องราวสนุก ๆ จากอัลบั้มอื่น หรือศิลปินคนอื่นมาเล่าต่อให้คอเพลงฟังกันบ้าง คืนนี้ขอตัวกลับไปนอนฟัง Definitely Maybe วนไปให้หายคิดถึงก่อนละกันครับ

 

Source: 1 / 2

 

 

 

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line