Football

วอร์มอัพก่อนเกม! “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้” กับ 5 นัดสุดมันส์ที่วงการฟุตบอลไม่เคยลืม

By: JEDDY September 30, 2022

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายนนี้ ศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ระหว่างฝั่งสีฟ้า “Manchester City” และฝั่งสีแดง “Manchester United” กำลังจะเริ่มขึ้นเป็นนัดแรกของฤดูกาล ซึ่งต้องบอกเลยว่าคู่นี้เจอกันทีไรมันส์หยดทุกที เพราะมันคือเกมแห่งศักดิ์ศรีของเมืองแมนเชสเตอร์โดยแท้จริง เท่านั้นยังไม่พอด้วยสถานการณ์ของทั้ง 2 ทีมตอนนี้อยู่ในช่วงฟอร์มดีทั้งคู่ โดยฝั่งเจ้าบ้านเรือใบสีฟ้าอยู่อันดับ 2 มี 17 คะแนน จากผลงานชนะ 5 เสมอ 2 และยังไม่แพ้ใคร ส่วนฝั่งทีมเยือนปีศาจแดงอยู่อันดับ 5 มี 12 คะแนน จากผลงานชนะ 4 แพ้ 2 และแข่งน้อยกว่าอยู่ 1 นัด

มองจากภาพรวมฝั่งของ Manchester City ดูจะน่ากลัวกว่า โดยเฉพาะฝั่งเกมรุกที่มี Erling Haaland กองหน้าเลือดไวกิ้งยืนค้ำแดนหน้า ซึ่งเจ้าตัวยิงเฉพาะในลีกไปแล้วถึง 11 ประตู นำโด่งเป็นดาวซัลโวแบบเท่ ๆ แถมยังมี Kevin De Bruyne เพลย์เมเกอร์ตัวเก่งที่พร้อมจะแอสซิสต์เทพ ๆ ให้ Haaland ทะลวงเข้าไปทำประตู

ส่วนฝั่ง Manchester United ในยุคของ Erik Ten Hag ในระยะเริ่มต้นมีจุดเด่นอยุ่ที่เกมรับและการทำ Counter Attack แผงหลังที่นำโดย Raphael Varane และ Lisandro Martinez ดูจะเป็นคู่หูที่เข้าขากันได้เป็นอย่างดี รวมไปถึง Scott McTominay กองกลางเลือดวิสกี้ที่จู่ ๆ ก็ท็อปฟอร์มสวมร่างทองหลังจากที่ Casemiro ย้ายเข้ามา

แต่ก่อนที่จะไปถึงวันอาทิตย์ เราขอพาทุกคนไปอุ่นเครื่องกับ 5 แมตช์แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้สุดมันส์ ที่ติดอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน


UNITED 2 – 1 CITY

(2010/2011)

แมตช์นี้เรียกได้ว่าตราตรึงแฟนฟุตบอลทั่วโลก เพราะมันได้เกิดลูกยิงแห่งประวัติศาสตร์วงการลูกหนังนั่นเอง

ในเกมนี้เป็นฝ่ายปีศาจแดงที่เบียดเอาชนะเรือใบสีฟ้าไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 ต้องยอมรับเลยว่านักเตะที่โดดเด่นมาก ๆ ในนัดนี้ต้องยกให้ Luis Nani ปีกเลือดโปรตุกีส ที่สามารถปั่นป่วนกองหลังทีมเยือนได้หลายต่อหลายหน และก็เป็น Nani ที่ซัดประตูออกนำไปก่อนในช่วงครึ่งแรก แต่ Manchester City ก็ตามตีเสมอได้ในครึ่งหลังจาก Edin Dzeko กองหน้าชาวบอสเนีย

แต่แล้ว United ก็มาได้ประตูชัย จากจังหวะที่ Luis Nani เปิดบอลจากทางนอกกรอบเขตโทษฝั่งขวามาให้ Wayne Rooney กระโดดโอเวอร์เฮดคิกเข้าประตูไปอย่างสวยงาม ชนิดที่ Joe Hart ได้แต่ยืนมองอย่างงง ๆ ซึ่งลูกยิงดังกล่าวก็ได้กลายเป็นที่กล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน

จบฤดูกาลนั้นทีมปีศาจแดงก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้สำเร็จ โดยทิ้งห่างทั้ง Chelsea และ Manchester City ที่มีคะแนนเท่ากันถึง 9 แต้มด้วยกัน ภายใต้การทำทีมของ Sir Alex Ferguson


UNITED 1 – 6 CITY

(2011/2012)

นี่คือนัดที่แฟนบอลปีศาจแดงจดจำไปจนวันตาย เพราะถูกทีมเพื่อนบ้านบุกมาถลุงแบบหน้าแหกหมอไม่รับเย็บด้วยสกอร์ 1-6 ในฤดูกาล 2011/2012 ซึ่งในครึ่งแรกรูปเกมก็ยังคงสูสี แต่ก็เป็น Manchester City ที่ออกนำไปก่อน 1 ประตู จากผลงานของ Mario Balotelli กองหน้าสุดแสบชาวอิตาเลียน

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมันมาในช่วงครึ่งหลัง เมื่อ Johnny Evans ไปดึง Mario Balotelli ล้มลงนอกกรอบเขตโทษ แถมดันเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว ทำให้กองหลังชาวไอร์แลนด์เหนือถูกใบแดงไล่ออกทันที และนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ เพราะหลังจากนั้นทีมเรือใบสีฟ้าเดินหน้าผลิตสกอร์จนนำห่าง 3-0 ก่อนที่ Darren Fletcher จะมายิงตีไข่แตกได้ 1 ประตู ทำให้ฝั่งเจ้าบ้านฮึดขึ้นมาอยากเปิดเกมบุกแลก แต่มันดันกลายเป็นเข้าทางฝั่งทีมเยือนที่เจาะเกมรับได้ง่ายขึ้น จนนำมาสู่การฝังด้วยสกอร์ 6-1

ฤดูกาลนั้นจบลงด้วยการที่ Manchester City คว้าแชมป์พรีเมียรลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไปครอง ภายใต้การคุมทีมของ Roberto Mancini ซึ่งมีคะแนนเท่ากับ Manchester United แต่ประตูได้เสียดีกว่า


CITY 2 – 3 UNITED

(2012/2013)

นี่คืออีกหนึ่งเกมที่ดราม่าเอามาก ๆ เพราะมันเข้มข้นตั้งแต่เริ่มต้นการแข่งขันจนไปถึงจบเกม ซึ่งแมตช์นี้เตะกันที่ Etihad Stadium เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2012 และทั้ง 2 ทีมคือตัวเต็งในการเบียดแย่งลุ้นแชมป์กันอย่างแท้จริง อีกทั้งฝั่งของ United ก็ต้องการล้างแค้นที่โดน City สอยทั้งไปและกลับเมื่อฤดูกาลก่อน

อย่างไรก็ตามเป็นฝั่งปีศาจแดงที่เริ่มต้นได้ดีกว่า จนสามารถทำประตูขึ้นไปก่อน 2-0 จากผลงานของ Wayne Rooney แต่ในช่วงครึ่งหลังเรือใบสีฟ้าก็ตามมาตีเสมอได้สำเร็จจาก Yaya Toure และ Pablo Zabaleta ก่อนจะยืดเยื้อมาถึงช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เกมทำท่าจะจบลงด้วยการแบ่งกันไปคนละแต้ม แต่แล้วในนาทีที่ 90+1 ทาง United ก็มาได้ฟรีคิกบริเวณหน้ากรอบเขตโทษฝั่งขวา ก่อนที่จะเป็น Robin Van Persie กองหน้าชาวดัตช์ปั่นฟรีคิกหนีมือ Joe Hart พุ่งเข้าเสา 2 ไปแบบสะใจกองเชียร์ฝั่งทีมเยือน และในจังหวะที่บรรดานักเตะปีศาจแดงกำลังดีใจ ปรากฏว่าทาง Rio Ferdinand กองหลังทีมชาติอังกฤษถูกแฟนบอลเจ้าถิ่นเขวี้ยงเหรียญมาโดนหัวคิ้วจนเลือดออก กลายเป็นเหตุวุ่นวายไปพักใหญ่ ๆ แต่สุดท้ายเกมนั้นก็เป็น Manchester United ที่คว้า 3 แต้มล้ำค่าไปได้สำเร็จ

สำหรับฤดูกาลดังกล่าวจบลงด้วยการเป็นแชมป์ของ Manchester United และเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ Sir Alex Ferguson ด้วยเช่นกัน


CITY 4 – 1 UNITED

(2021/2022)

สด ๆ ร้อน ๆ กับแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ นัดที่ 2 ในฤดูกาล 2021/2022 เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ปี 2022 เป็นเกมที่ทีม Manchester City สอนบอลทีม Manchester United จนเห็นได้ชัดว่ามันคนละคลาสกัน ต้องยอมรับว่าฤดูกาลแม้ว่าทีมปีศาจแดงจะได้ตัวของ Cristiano Ronaldo ย้ายกลับมาร่วมทีม แต่ถึงกระนั้นปัญหาภายในที่เกิดขึ้นภายในห้องแต่งตัวก็มากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคาราคาซังของ Paul Pogba รวมไปถึงการปลด Ole Gunnar Solskjare ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม

หลังจากนั้นทาง United ก็แต่งตั้ง Ralf Rangnick กุนซือชาวเยอรมนีเข้ามารับหน้าที่ผู้จัดการทีมรักษาการ ซึ่งมันก็มาพร้อมความคาดหวังจากแฟนบอล ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันว่าทุกคนต่างผิดหวังกับกุนซือคนนี้ เพราะไม่สามารถรวมสปิริตภายในทีมให้หนีขึ้นมาได้ หนำซ้ำฟอร์มยังย่ำแย่ เล่นบอลไม่เป็นทรง ที่เห็นชัด ๆ ก็นัดที่ดวลกับเรือใบสีฟ้าภายใต้การคุมทีมของ Pep Guardiola ที่เปิดบ้านตบเพื่อนบ้านคาถิ่นด้วยสกอร์ 4-1 แม้ฝั่งทีมเยือนจะได้ประตูตีเสมอ 1-1 จาก Jadon Sancho แต่ตลอดระยะเวลากว่า 90 นาที Manchester United ไม่สามารถต่อกรกับ Manchester City ได้แต่อย่างใด

จบฤดูกาล 2021/2022 ก็เป็นทีม Manchester City ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ตามคาด ส่วน Manchester United จบในอันดับที่ 6 ต้องไปเตะยูโรปาลีกแทน


UNITED 4 – 3 CITY

(2009/2010)

อีกหนึ่งเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ สุดมันส์ สุดระทึกใจ เกิดขึ้นในฤดูกาล 2009/2010 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2009 ทั้ง 2 ทีมโคจรมาพบกันนัดที่ 6 ของฤดูกาล ในช่วงนั้นทางทีม Manchester City เริ่มมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหลังจากที่ Al Mubarak กลุ่มนายทุนจากประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร ทำให้มีสภาพทางการเงินที่อู้ฟู่มาก อีกทั้งยังทำให้ City กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสำหรับ United ทันตาเห็น

เกมดังกล่าวทางปีศาจแดงออกนำไปอย่างรวดเร็วในนาทีที่ 2 จาก Wayne Rooney แต่ทีมเรือใบสีฟ้าก็มาตามตีเสมอได้ในช่วงนาทีที่ 16 จากความผิดพลาดของ Ben Foster ที่ปล่อยให้บอลไปเข้าทาง Carlos Tevez ก่อนจะไหลให้กับทาง Gareth Barry ยิงเข้าไปง่าย ๆ

เกมในครึ่งหลังเปิดมาได้เพียงแค่ 3 นาทีกว่า ๆ United ก็ได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากลูกโหม่งของ Darren Fletcher แต่ถัดมาไม่กี่นาที City ก็ตามตีเสมอได้อีกครั้งจากลูกยิงสุดสวยของ Craig Bellamy แนวรุกตัวเก่งสัญชาติเวลส์ ก่อนที่สถานการณ์จะพลิกอีกครั้งเมื่อ Fletcher โขกประตูที่ 2 ให้กับตัวเอง และส่งให้ทีมของเขาขึ้นนำเป็น 3-2

ใครจะไปรู้ว่าความมันส์ระดับ 5 ดาวเกินขึ้นช่วงท้ายเกม ก่อนที่จะครบ 90 นาที Rio Ferdinand จ่ายบอลพลาดไปติด Craig Bellamy ก่อนที่เป็นทาง Craig เองที่ฉกบอลไปและสปีดหนี Rio ตั้งแต่บริเวณเกือบครึ่งสนามหลุดเข้าไปยิงผ่านมือ Ben Foster ช่วยให้ City ตามตีเสมอเป็น 3-3

แม้เกมทำท่าจะจบลงด้วยผลเสมอ แต่แล้วในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 5 ทาง Ryan Giggs ได้บอลนอกกรอบเขตโทษก่อนจะทิ่มทะลุช่องให้ Michael Owen ที่ลงมาเป็นตัวสำรองจิ้มบอลผ่านมือ Shay Given กลายเป็นประตูชัยให้ United เอาชนะ City ไปได้อย่างสุดเดือด 4-3 เล่นเอา Mark Hughes ผู้จัดการทีมเรือใบสีฟ้าถึงกับหัวร้อน จนต้องไปโวยกรรมการที่ไม่ยอมเป่าหมดเวลาซักที


นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของความเร้าใจในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ มาลุ้นกันว่าวันอาทิตย์นี้สีของเมืองแมนเชสเตอร์จะออกเป็นสีฟ้าหรือสีแดงกันแน่ครับ

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line