Football

ย้อนรอยฟุตบอลโลก 2010 : การเถลิงแชมป์โลกสมัยแรกของทีมชาติสเปนด้วยสกอร์ 1-0 ตลอดรอบน็อคเอาท์

By: JEDDY October 29, 2022

ย้อนกลับไปยังช่วงสมัยสโมสร Barcelona ครองโลก ในยุคที่ Pep Guardiloa (2008-2012) นั่งบัญชาการคุมทีม ต้องยอมรับเลยว่าลูกทีมของพวกเขาในตอนนั้นที่นำโดย Xavi Hernandez, Andres Iniesta, Sergio Busquets, Gerard Pique, Carles Puyol รวมไปถึง Lionel Messi มีทีมเวิร์กที่ยอดเยี่ยม มีทักษะอันเหนือชั้นขั้นเวิร์ลคลาส เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างมารวมตัวกัน ทำให้ทีมดังแห่งแคว้นกาตาลุญญาไร้เทียมทาน ยากที่ทีมใดจะมาต่อกรได้ แถมเจอแทคติกการต่อบอลแบบตีกี-ตากา เข้าไปอีก ยิ่งทำให้คู่ต่อสู้ถึงกับจนปัญญาที่จะเข้าไปแย่งบอล

สไตล์การเล่นดังกล่าวมันไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในทีม Barcelona เท่านั้น แต่มันยังส่งอิทธิพลโดยตรงไปสู่ทีมชาติสเปน ในยุคการคุมทีมของ Vicente Del Bosque ในช่วงระหว่างที่คุมทีมกระทิงดุปี 2008-2016 แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคงต้องยกให้ฟุตบอลโลกปี 2010 ที่พวกเขาสามารถคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์


พลาดท่าตั้งแต่นัดแรก

สเปนทะลุเข้ามาสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และถูกจับมารวมอยู่ในกลุ่ม H ร่วมกับทีมชาติชิลี, สวิตเซอร์แลนด์ และฮอนดูรัส ซึ่งหากดูจากรายชื่อทั้งหมดและพิจารณากันจริง ๆ ใคร ๆ ก็ต้องมองว่าทีมชาติสเปนจะต้องผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างสบายแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชื่อชั้นของตัวนักเตะ แถมยังพ่วงดีกรีเพิ่งความแชมป์ฟุตบอลยูโรปี 2008 มาอีกต่างหาก

ขุนพลนักเตะในชุดฟุตบอลโลก 2010 ณ ประเทศแอฟริกาใต้ ตัวหลัก ๆ ประกอบไปด้วย Iker Casillas, Sergio Ramos, Carles Puyol, Gerard Pique, Joan Capdevila, Sergio Busquets, Xabi Alonso, Xavi Hernandez, David Silva, Andres Iniesta, David Villa รวมไปถึงตัวสำรองอย่าง Fernando Torres, Pedro Rodriguez, Cesc Fabregas และ Juan Mata  เป็นต้น

แต่แล้วเหตุการณ์ช็อกโลกก็เกิดขึ้นตั้งแต่นัดแรก เมื่อทีมชาติสเปนพลาดท่าพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ไปด้วยสกอร์ 0-1 จากประตูชัยของ Gelson Fernandes ในนาทีที่ 52 จากผลการแข่งขันดังกล่าวทำให้พวกเขาต้องตกที่นั่งลำบาก เพราะหากต้องการเข้ารอบได้แบบแน่นอนก็ต้องชนะ 2 นัดที่เหลือให้ได้


คว่ำโปรตุเกสรอบ 16 ทีมสุดท้าย

 

แม้ว่าสถานการณ์จะยากขึ้น แต่สุดท้ายสเปนก็สามารถผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ ด้วยการปราบฮอนดูรัสไป 2-0 และชิลี 2-1 โดยทั้ง 2 เกม ศูนย์หน้าตัวเก่งอย่าง David Villa ซัดรวมกันไป 3 ประตู ช่วยให้ทีมของเขาพลิกสถานการณ์เข้ารอบมาเป็นอันดับ 1 โดยมีแต้มเท่ากับชิลี แต่ประตูได้เสียดีกว่า

สเปนกรุยทางเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ด้วยการโคจรมาพบกับทีมชาติโปรตุเกส ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานที่ยาก เพราะทีมแดนฝอยทองก็เต็มไปด้วยยอดนักเตะมากมาย นำโดย Cristiano Ronaldo, Simao, Pepe และ Ricardo Cavalho โดยตลอดทั้งเกมทั้ง 2 ทีมมีโอกาสจบสกอร์กันหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็เป็นสเปนที่ช่วงชิงมันไปได้ และสามารถโค่นโปรตุเกสด้วยการเฉือนไปเพียง 1-0 จากประตูของ David Villa ในนาทีที่ 63


ผ่านปารากวัยแบบหืดจับในรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

รอบ 8 ทีมสุดท้ายทีมชาติสเปนต้องมาปะทะกับทีมชาติปารากวัย ซึ่งเพิ่งผ่านเข้ามาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังจากเอาชนะทีมชาติญี่ปุ่นมาได้ด้วยการดวลจุดโทษในรอบ 16 ทีมสุดท้าย

เป็นอีกครั้งที่บรรดาเซียนมองว่าทีมกระทิงดุเตรียมขวิดคู่ต่อสู้ย่อยยับอย่างแน่นอน เพราะถ้าว่ากันตามตรงนักเตะที่มีชื่อมากที่สุดของปารากวัยในตอนนั้นคือ Roque Santa Cruz อดีตศูนย์หน้าของ Bayern Munich โดยในตอนนั้นเขาเป็นนักเตะของทีม Manchester City แถมในนัดนี้เขาเป็นแค่ตัวสำรอง

ถึงแม้ระดับนักเตะจะเป็นรองสเปน แต่ปารากวัยก็ฮึดเต็มที่ แถมยังทำประตูขึ้นนำได้ก่อน 2 ครั้งจาก Nelson Valdez แต่โชคร้ายเพราะมันเป็นลูกล้ำหน้าทั้งหมด ทำให้จบครึ่งแรกเสมอกันแบบไร้สกอร์ และมันทำให้เห็นว่างานนี้ไม่ง่ายเลยสำหรับนักเตะเลือดสแปนิช

เข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง สเปนก็ต้องงานเข้าอีกครั้งเมื่อพวกเขามาเสียจุดโทษจากจังหวะที่ Pique ไปทำดึง Oscar Cardozo ล้มลงในเขตโทษ ผู้ตัดสินใจไม่รอช้าชี้เป็นจุดโทษพร้อมกับแจกใบเหลืองให้กองหลังทีม Barcelona เป็นของแถม และก็เป็น Cardozo ที่ลุกขึ้นมาสังหารด้วยตนเอง แต่ดันพลาดยิงไปติดเซฟ Casillas ที่พุ่งไปเซฟได้อย่างถูกทาง

แต่แล้วโมเมนตัมก็หันมาทางสเปนบ้าง เมื่อพวกเขามาได้ลูกจุดโทษในช่วงท้ายเกมนาทีที่ 83 โดยทาง Antolin Alcaraz กองหลังปารากวัยไปชน Villa ล้มลงในเขตโทษ และก็เป็นเจ้าตัวที่ลุกขึ้นมายิงเองซึ่งไม่พลาด ส่งให้กระทิงดุขึ้นนำ 1-0 ก่อนจะรักษาสกอร์ไว้ได้ ทำให้พวกเขาผ่านเข้าไปสู่รอบตัดเชือกได้สำเร็จ


พิชิตอินทรีเหล็กในรอบ 4 ทีมสุดท้าย

ในรอบ 4 ทีมสุดท้ายสเปนต้องเจอกับเยอรมนี ซึ่งในตอนนั้นเต็มไปด้วยนักเตะเลือดใหม่มากมาย อายุไม่เกิน 25 ปีกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น Thomas Muller, Sami Khedira, Lukas Podolski, Mezut Ozil, Toni Kross, Bastian Schweinsteiger และ Manuel Neur พร้อมด้วยตัวรุ่นเก๋าอย่าง Miloslav Klose, Philip Lahm และ Arne Friedrich

อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์นักเตะของทีมชาติสเปนที่มีมากกว่า รวมไปถึงแทคติคที่ถูกวางหมากมา ก็ทำให้พวกเขามีรูปเกมที่ดูเป็นต่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถเบิกสกอร์ให้กับตัวเองได้ซักที จนต้องปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาสู่ครึ่งหลัง

สเปนได้ลูกเตะมุมทางกราบซ้าย  Xavi รับหน้าที่เปิดบอลลอยโค้งเข้าไปยังจุดนัดพบ และเป็น Puyol ปราการหลังร่างเล็กลอยตัวขึ้นมาโหม่งเต็มแรง บอลพุ่งเข้าไปสู่ประตูไปอย่างงดงาม กลายเป็นประตูชัยนำทางให้พวกเขาเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ส่วนเยอรมนีทำได้เพียงเข้าไปชิงที่ 3 กับทีมชาติอุรุกวัย


คว้าแชมป์โลกสมัยแรกด้วยการล้มเนเธอร์แลนด์

นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 2010 ณ ประเทศแอฟริกาใต้ เกิดขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคม ณ สนาม Moses Mabhida Stadium ซึ่งจุคนได้ 55,000 คน วันนั้นแฟนฟุตบอลของทีมชาติสเปนและเนเธอร์แลนด์เข้ามาชมกันเต็มความจุ เพราะมันคือนัดสำคัญของประวัติศาสตร์ ซึ่งหากใครชนะก็จะคว้าแชมป์โลกสมัยแรกให้กับชาติของตัวเองได้

เนเธอร์แลนด์ภายใต้การคุมทีมของ Bert Van Marwijk นำโดย Mark Van Bommel, Arjen Robben, Wesley Sneijner, Dirk Kuyt และ Robin Van Persie พวกเขาทำผลงานได้ดี เพราะยังไม่แพ้ใครมาเลยตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม รวมไปถึงรอบน็อคเอาท์ก็สามารถชนะมาได้ทั้งสโลวะเกีย, บราซิล และอุรุกวัย ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีนัดไหนต้องถึงขั้นดวลจุดโทษเลย

นัดชิงชนะเลิศเกมนี้ถือว่าดุเดือดเป็นอย่างมาก เพราะ Howard Webb แจกใบเหลืองไปมากถึง 14 ใบ เพราะมีจังหวะตัดฟาล์วแรง ๆ ค่อนข้างบ่อยมาก แต่ตลอดระยะเวลา 90 นาทีก็ไม่มีใครทำประตูได้ ทำให้ต้องยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ

และแล้วก็มาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในนาทีที่ 109 เมื่อ John Heitinga กองหลังของเนเธอร์แลนด์ไปดึง Iniesta ล้มลงหน้ากรอบเขตโทษ ทำให้เขาได้ใบเหลืองที่ 2 กลายเป็นใบแดงไล่ออกจากสนาม กลายเป็นทีมชาติสเปนได้เปรียบตัวผู้เล่นมากกว่า 1 คนโดยทันที

เกมต่อเนื่องมาจนถึงนาทีที่ 116 ทาง Fernanado Torres ได้บอลทางฝั่งซ้าย ก่อนจะเปิดหยอดเข้ามาในกรอบเขตโทษ แต่กองหลังของเนเธอร์แลนด์สกัดเคลียร์ไม่ดี บอลมาเข้าทางของ Cesc Fabregas และส่งต่อไปทางขวาบริเวณในกรอบเขตโทษให้กับ Iniesta แต่งบอลหนึ่งจังหวะก่อนจะซัดวอลเลย์เต็มข้อด้วยเท้าขวา บอลพุ่งหนีมือ Maarten Stekelenburg เข้าประตูไป และกลายเป็นประตูชัยทำให้ทีมชาติสเปนคว้าแชมป์โลกมาครองหนแรกได้เป็นผลสำเร็จ ทำเอาบรรดานักเตะของทีมกังหันลมเศร้าน้ำตาซึมกันไปตาม ๆ กัน


นอกจากแชมป์โลกที่ได้มาครอง ทีมชาติสเปนยังครองสถิติอีกหลายอย่าง เช่น

  • เป็นชาติยุโรปทีมแรกที่ได้แชมป์นอกทวีปของตนเอง
  • เป็นทีมแรกในฟุตบอลโลกที่แพ้นัดแรกแต่ได้แชมป์โลก
  • เป็นทีมแรกต่อจากเยอรมนีตะวันตกที่ได้แชมป์โลกต่อจากแชมป์ฟุตบอลยูโร

แม้จะชนะด้วยสกอร์ 1-0 มาตลอดในรอบน็อคเอาท์ (แถมยิงแต่ในครึ่งหลัง) แต่นั่นก็เพียงพอที่ทำให้ทีมชาติสเปนประสบความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์นี้ได้อย่างยิ่งใหญ่ นี่คืออีกหนึ่งประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของฟุตบอลโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศกาตาร์ วันที่ 20 พฤศจิกายน นี้ แฟนฟุตบอลห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะ 4 ปีมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นครับ

 

 

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line