กลับมาอีกครั้งกับโกลบอลแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ โมเอ็ท ปาร์ตี้ เดย์ 2017 (MOËT PARTY DAY 2017) จัดโดย โมเอ็ท แอนด์ ชองดอง (MOËT & CHANDON) แชมเปญสุดหรูจากประเทศฝรั่งเศส นับเป็นปีที่สองของโลก และเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นำโดย คุณชยานนท์ จุลดุสิตพรชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด โมเอ็ท แอนด์ ชองดอง และ คุณธชิวา ทิพย์มโนวร ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ โมเอ็ท ชองดอง บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองโมเอ็ทโมเมนต์พร้อมกันกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ในวันที่ 17 มิถุนายน ตั้งแต่เที่ยงวันที่ประเทศนิวซีแลนด์เรื่อยไปจนถึงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ประเทศเม็กซิโก ในงานนี้มีเซเลบริตี้แถวหน้าของเมืองไทยเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง อาทิ ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล, กรณ์ ณรงค์เดช, ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก, กุญช์ณิชา
ถ้าพูดถึงหนึ่งในมอเตอร์ไซค์รุ่นที่มียอดจำหน่ายมากที่สุดตลอดกาล หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อ Honda Super Cub ติดโผอยู่แน่นอน ด้วยอายุที่เก่าแก่เกิดมาตั้งแต่ปี 1958 เก๋ามาถึงทุกวันนี้ก็ร่วมปีที่ 60 เข้าไปแล้ว โดยมีตัวเลขการผลิตสะสมถึงปี 2014 เป็นจำนวนมากถึง 87 ล้านคัน มากกว่าจำนวนประชากรไทยทั้งประเทศซะอีก จุดเด่นของ Honda Cub ทุก generation นั้นขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบ ที่เก็บรายละเอียด จุดเด่นของ Cub ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น icon of 20th century เคียงข้าง VW Beetle หรือ Ford Model T ส่งต่อกันมาได้อย่างมีสไตล์ เรียกว่าทุกวันนี้ก็ยังดู Vintage ไม่เคยล้าสมัย และไม่เคยลดความน่าสนใจลงไปเลย จนกระทั่งในปี 2009 เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็น Honda EV Scooter แบบ Cenceptual Version แต่ก็ไม่ได้มีข้อมูลอะไรเปิดเผยออกมามากมายนัก ปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานถึงปี 2015
เรื่องของดีไซน์และแฟชั่น ไม่เคยมีคำว่าล้าสมัย และไม่มียุคสมัยไหนจะมีความหลากหลายของงานดีไซน์และแฟชั่นกว้างขวางเท่าในยุคปัจจุบันแน่นอน ต้องยอมรับว่าความรวดเร็วของเทรนด์แฟชั่นที่ Speed Up ระดับชั่วข้ามคืนในหมู่คน Millennial เป็นผลลัพธ์ที่แปรผันโดยตรงกับความรวดเร็วของโลกออนไลน์ ยิ่งผู้คนเข้าถึง Internet ได้มากเท่าไหร่ กำแพงเทรนด์แฟชั่นก็น้อยลงมากเท่านั้น แต่ลำพังเพียงข้อมูลอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่การสรุปที่ถูกต้องนัก สิ่งที่น่าสนใจคือการจับคู่ที่เข้ากันของเทคโนโลยีที่ช่วยให้เข้าถึงเทรนด์แฟชั่น กับอุปนิสัยของกลุ่มคน “Millennial” ที่ประกอบไปด้วยคน Gen Y จากยุค 1980 – 1998 และคน Gen Z จากยุคหลัง 1998 เป็นต้นไป ด้วยความกล้าคิด กล้าทำ กล้าลอง กล้าตัดสินใจ ซึ่งดูจะเป็นคุณสมบัติพิเศษของคนกลุ่มนี้ที่ทำให้มีไฟในการไล่ตามเป้าหมายของตัวเองสูงกว่ากลุ่ม Baby Boomers รุ่นพ่อแม่ ปัจจุบันคน Millennial จึงมีบทบาททางสังคมและเศรษฐกิจมาก เมื่อบวกกับการเข้าถึงแฟชั่นที่หลากหลายในปัจจุบัน จึงมีการเลือกตอบรับและนำไปปรับแต่ง ผสมผสานกันตามสไตล์ความชอบส่วนบุคคล คล้ายกับกลุ่มวัยรุ่นที่มีความเป็น Rebellion ด้านแฟชั่นในยุค Mid-Century ช่วง 1950 เป็นต้นไปไม่มีผิด และหนึ่งในความนิยมกระแสหลักที่ผู้ชายเกือบทั้งหมดให้การยอมรับ เป็นสไตล์ที่ UNLOCKMEN ชื่นชอบอยู่เสมอ
ผมคิดว่าทุกท่านที่ได้อ่านบทความนี้คงต้องรู้จักนาฬิกาแบรน์ดังอย่าง ROLEX อยู่แล้วแต่ความพิเศษของ ROLEX กับการสร้างประวัติศาสตร์ที่ ROLEX สรรสร้างขึ้นมากับนาฬิกาในแต่ละรุ่นนั้น ผมรู้สึกถึงความมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก มันดึงดูดให้ผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาหลงไหลในความพิเศษของแบรน์นี้ได้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งตัวผมเอง ครั้งนี้ผมจึงอยากหยิบความพิเศษของ ROLEX ที่สร้าง “การกันนํ้า” ที่เรียกได้ว่าเป็นที่ขึ้นชื่อลือชามาแนะนำให้รับรู้กันครับ ในปีค.ศ. 1926 ROLEX ได้คิดค้น Oyster Case ซึ่งเป็นกรอบนาฬิกาแรกของโลกที่สามารถกันนํ้าได้เนื่องจากฝาหลังและเม็ดมะยมที่มีลักษณะเป็นเกลียว ซึ่งเราจะสังเกตุเห็นจะมีคำว่า Oyster ข้างหน้า Perpetual ปรากฏอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาของทาง ROLEX โดย ROLEX ได้จดสิทธิบัตรระบบขันสกรูยึดขอบด้านหลังของตัวเรือนและเม็ดมะยมเข้ากับตัวเรือนตรงกลาง แต่ความสุดยอดของการกันนํ้าของ ROLEX ไม่ได้จบเพียงเท่านี้ ในปี 1960, วันที่ 23 มกราคม ยานสำรวจนํ้าลึก TRIESTE ที่ร้อยโท Don Walsh ผู้ขับเรือและ Jacques Piccard ผู้ร่วมเดินทาง ได้ทดสอบการดำดิ่งลงไปที่ร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนาซึ่งเป็นบริเวณการยุบตัวลงไปลึกที่สุดบนผิวโลกและประสบความสำเร็จในการเดินทางสุดเหลือเชื่อจากความลึก 10,916 เมตร (35,814 ฟุต) ยานสำรวจนํ้าลึกทำงานได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าท่ามกลางกระแสว่าเศรษฐกิจไม่ดี เรากลับพบว่ารอบตัวเต็มไปด้วยธุรกิจใหม่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ ภายใต้การขับเคลื่อนของผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผลจากรอยต่อของ Generation X ปลาย ๆและ Y ต้น ๆ กลุ่มคนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ กล้าลองผิดลองถูก และสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางต่าง ๆ มาทำเป็นธุรกิจได้อย่างสวยงาม นับตั้งแต่วงการ StartUp เริ่มบูมขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้ก็ไม่รอช้าที่จะใช้ความรู้ ความสามารถ และเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน จนเกิดเป็น Unicorn StartUp ก็หลายราย ในทางการตลาดเราเรียกคนกลุ่มนี้รวมกันว่า “Mass Affluent” กลุ่ม Mass Affluent ที่เข้าใจง่าย ก็คือบรรดาผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ซึ่งไม่ใช่คนกลุ่มน้อยอย่างที่คิด ใน ภาพใหญ่ระดับเอเชีย คนกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2020คนกลุ่มนี้จะมีทรัพย์สินรวมกันสูงถึง 43.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยเองก็มี Mass Affluent อยู่ไม่น้อย โดยตัวเลขปัจจุบันระบุว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 500,000 ราย ที่อัตราเติบโตประมาณ
“กิ่งไม้หนึ่งกิ่งหักง่าย แต่ถ้านำกิ่งไม้หลายกิ่งมารวมกันเป็นมัดใหญ่ กลายเป็นยากที่จะหัก” ถ้าจะให้อธิบายข้อดีของความสามัคคี ประโยคที่ถูกใช้สอนกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้น่าจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด แน่นอน! พวกเรารู้ประโยชน์ของความสามัคคีเป็นอย่างดี เรารู้ว่าถ้าผู้คนในสังคมช่วยเหลือกัน ร่วมมือกันทำสิ่งต่าง ๆ ความสำเร็จ ความสุขในทุกระดับ ความเจริญก้าวหน้าของชาติจะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าแปลกใจ ที่เมื่อเราโตขึ้นมา กลับพบว่าสังคมสามัคคีในอุดมคตินั้น เป็นจริงได้ยากเหลือเกิน กระทั่งเราได้เจอกับ copy ที่โดนใจจากแคมเปญ #WECULTURE ของ Ananda Development ทำให้ฉุกคิดได้ว่า จุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนไปสู่สังคมอุดมคตินั้น ง่ายกว่าที่คิด เริ่มจากเปลี่ยนคำว่า “ME” เป็น “WE” “ยาก” แต่ไม่ได้แปลว่า “เป็นไปไม่ได้” เราได้เห็นพลังของการช่วยเหลือกันในสังคมเมื่อถึงคราวจำเป็น เช่นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ปัญหาที่ดูใหญ่โตระดับที่คนไทยไม่เคยพบเจอมาก่อน กลับถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็วจากการช่วยเหลือกันของคนทั้งประเทศ ต่างคนต่างงัดความสามารถออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ หรือการร่วมมือกันในเลเวลเล็กลงมา อย่างการหลบรถพยาบาลฉุกเฉินบนท้องถนน ก็เป็นพฤติกรรมที่คนในสังคมทำตามกันโดยไม่ต้องรณรงค์มากมายอะไร เราจึงมีความเชื่ออยู่เสมอว่า ขอแค่มีผู้นำที่มีความพร้อม เป็นตัวตั้งตัวตี ก็น่าจะสามารถชักชวนคนในสังคมให้เกิดความสามัคคีร่วมมือกันได้ ทั้งหมดคือเหตุผลที่เรารู้สึกว่า #WECULTURE campaign ของ ANANDA DEVELOPMENT ทำออกมาได้ตรงใจคนไทยหลายคนแน่นอน #WECULTURE แคมเปญชื่อตรงตัวแบบไม่ต้องตีความหมายให้ยากเย็น
สำหรับผู้ชายอย่างพวกเรา นาฬิกานับเป็นของสะสมที่อายุยืนยาวนานที่สุด ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปเป็นสิบ ยี่สิบปี กลไกก็พร้อมทำงานเสมอ และนาฬิกาที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีก็ไม่เคยหลุดเทรนด์ หรือดูเก่าจนใช้งานไม่ได้แม้แต่เรือนเดียว ดังนั้นการซื้อนาฬิกาจึงเป็นเหมือนการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดทางหนึ่ง เมื่อคิดได้ดังนี้เราจึงอยากแนะนำนาฬิกาที่น่าจะโดนใจชาว UNLOCKMEN ที่รักความเร็วและรถแข่งอีกหนึ่งเรือน นั่นก็คือ Tissot T-Race MotoGP Automatic Limited Edition 2017 “ทิสโซต์” (Tissot) เผยโฉม Tissot T-Race MotoGP Automatic Limited Edition 2017 คอลเลกชั่นใหม่ล่าสุด ที่ไม่ใช่แค่หรูหรา แต่ยังเพิ่มดีกรีความเป็นสปอร์ตที่บ่งบอกถึงสไตล์ของผู้สวมใส่ ผสานดีไซน์คล่องแคล่ว นาฬิกาคู่ใจสำหรับนักแข่งขันหรือนักสะสมที่มอบทั้งความเที่ยงตรงแม่นยำในการจับเวลา รวมไปถึงความแข็งแกร่งทนทานสำหรับกิจกรรมสปอร์ตต่างๆ ความพิเศษของ Tissot T-Race MotoGP Automatic Limited Edition 2017 มีอยู่มากมายหลายจุด เริ่มจากเป็นปีแรกที่ Tissot ออกแบบมาในตัวเรือนเคลือบด้วยพีวีดีสีโรสโกลด์ โดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นโครโนกราฟ แม่นยำเที่ยงตรงด้วยกลไกออโตเมติก C01.211 ขนาดหน้าปัด 45 มิลลิเมตร พื้นหน้าปัดสีดำ เคลือบซูเปอร์ลูมิโนวาที่ช่วยให้มองเห็นชัดเจนในความมืด
“แบรนด์ช้าง” เดินหน้าสานต่อโกลบอลแคมเปญสุดยิ่งใหญ่ “ช้าง เซนซอรี่ เทรลส์” (Chang Sensory Trails) เป็นปีที่ 2 มุ่งมั่นนำรสชาติและรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของอาหารไทยและความเป็นไทย สู่ระดับโลกในรูปแบบเพลย์กราวด์อีเว้นท์สุดฮิป ซึ่งการเดินทางครั้งใหม่นี้ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว ณ มหานครลอนดอน ประเทศอังกฤษ และลัดฟ้าสู่ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา อันได้รับการตอบรับจากชาวต่างชาติที่มาร่วมงานกันอย่างคึกคัก พร้อมปิดท้ายความสำเร็จที่ประเทศสิงคโปร์ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ แคมเปญ ช้าง เซนซอรี่ เทรลส์ ปีที่ 2 ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งลอนดอน และซาน ฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา โดยในแต่ละอีเว้นท์มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก ต่างเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์ความเป็นไทย และลิ้มรสอาหารที่ได้รับการชื่นชมและยอมรับจากทั่วโลก ในปีที่ 2 นี้ แบรนด์ช้างได้รับเกียรติจากเชฟคู่สามีภรรยาเจ้าของร้าน โบ.ลาน ร้านอาหารที่ดีที่สุดอันดับที่ 19 จาก 50 ร้านในเอเชียในปี 2017 จัดอันดับโดย Asia’s 50 Best Restaurants 2017 โดย เชฟโบ ดวงพร ทรงวิศวะ ซึ่งรั้งตำแหน่งเชฟหญิงที่ดีที่สุดในเอเชียปี
บางทีสิ่งที่เราพยายามตามหา กลับอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ด้วยความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน มนุษย์พยายามสรรหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความทุกข์ บำรุงความสุข ซึ่งความสุขของแต่ละคนนั้นก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็สุขเมื่อได้เสพ Sex บางคนก็สุขเมื่อได้เสพยา แต่ผลวิจัยของ Montreal’s McGill University พบว่า ที่จริงแล้วดนตรีทำให้สมองเรามีความสุขได้ไม่ต่างกับ Sex หรือความ high ได้ไม่ต่างกับ Drugs รู้แบบนี้ยิ่งช่วยประหยัดเงินค่ายาได้มากเลยทีเดียว ผลวิจัยเรื่องความฟินจากเสียงดนตรีครั้งใหม่นี้ เพิ่งจะถูกตีพิมพ์บน Nature journal Scientific Reports โดยการวิจัยหาประโยชน์จากเสียงดนตรีชิ้นล่าสุด นำโดย cognitive psychologist “Daniel Levitin” ผู้มุ่งมั่นศึกษาผลของดนตรีที่มีต่อสมองมนุษย์มาช้านาน โดยก่อนหน้านี้ได้ทำการสแกนดูปฏิกิริยา dopamine receptor ส่วนสร้างความสุขที่ทำงานเมื่อได้ยินเสียงเพลงโปรด เช่นเดียวกับการเล่นยาเสพติด ที่หลายคนน่าจะเคยผ่านตาผลวิจัยชิ้นนี้มาบ้างแล้ว ส่วนผลวิจัยชิ้นล่าสุด เป็นการทำงานแบบย้อนแย้ง คือการใช้ยาที่ชื่อ Naltrexone (นาลเทรกโซน) ยาที่ใช้สกัดกั้นส่วน opidoid receptor ไม่ให้ทำปฏิกิริยากับ opioids (โอปิออยด์) ซึ่งมาจากทั้งธรรมชาติสร้างเมื่อเราได้สิ่งเร้าที่ทำให้มีความสุข
รองเท้าตระกูลคอร์เทซ เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมือง LA ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980