2025 BMW 1 Series F70 ลำดับที่ 4 เปิดตัวใหม่แบบ all-new แทนที่รหัส F40 หลังทำตลาดไปได้ราว 5 ปี เป็นโมเดลแรกที่ใช้ดีไซน์กระจังหน้าใหม่คล้ายใน neue klasse concept และเป็นโมเดลแรกที่ BMW เริ่มทิ้งตัวอักษร “i” จากชื่อรุ่นเพื่อไม่ให้สับสนกับรุ่นพลังงานไฟฟ้าในอนาคต ขนาดมิติของ 1 Series ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบันเล็กน้อย ความยาวเพิ่มขึ้น 42mm สูงขึ้น 25mm แต่มีความกว้างและระยะฐานล้อเท่าเดิม กระจังหน้าของรุ่นปกติจะใช้การผสมระหว่างเส้นแนวตั้งและแนวขวางที่คล้ายเส้นจากสัญลักษณ์ ///M รวมเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนรุ่น M135 xDrive จะใช้กระจังหน้าแนวนอนเหมือนใน M2 ไฟหน้าใหม่ double arrows และไฟท้ายใหม่ดีไซน์เดียวกับใน X2 ภายในอัพเกรดเป็นแบบใหม่ควบคุมรถผ่านจอสัมผัส 10.7-inch ที่รวมอยู่ใน panel เดียวกับจอ 10.25-inch ของคนขับ ช่องแอร์แบบใหม่เหมือนใน 3 Series
ทุกคนคงจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดตัว Porsche 992.2 generation 911 ตามหน้าจอกันไปเยอะแล้ว เราจึงขอเน้นข้อมูลในรุ่นที่น่าสนใจที่สุด นั่นก็คือ Carrera GTS เพราะนอกจากจะได้เครื่องยนต์ใหม่รหัส 9A3 ความจุ 3.6-liter ที่มาพร้อม electric turbocharge แทนที่ 3.0-liter twin-turbo boxer engine ยังเป็นครั้งแรกที่ Porsche คิดค้นการใช้งานขุมพลัง “T-Hybrid” ใน 911 ซึ่งช่วยให้ GTS มี output รวมมากถึง 532 hp แรงบิด 609 Nm ระบบ T-Hybrid ของ Porsche นั้นแตกต่างจาก hybrid ทั่วไป ในขณะที่รถยนต์ปกติจะใช้หลักการผสมอากาศกับเชื้อเพลิงจำนวนมากขึ้นเพิ่อสมรรถนะที่แรงขึ้น แต่ก็มาพร้อมการสร้างมลพิษเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ระบบ T-Hybrid ของ Porsche ถูกคิดค้นใหม่ด้วยการรักษาอัตราส่วน air:fuel ratio เอาไว้เท่าเดิมเสมอที่
เช่นเดียวกับ Porsche จะเล่น Carrera อย่างน้อยต้องมี S และหากจะเล่น BMW M ก็ต้องไปให้สุดทาง นี่คือโมเดลที่เหล่า M Lover เฝ้ารอ all-new BMW M4 CS รุ่นย่อยที่เหนือกว่า M4 Competition เป็นรองเพียงแค่ CSL ซึ่งทีม BMW เน้นว่า M4 CS รุ่นนี้ถูกพัฒนาให้มี driving experience ที่แตกต่างจาก M4 และ M4 Competition เน้นความรู้สึกและอารมณ์สปอร์ตที่เข้มข้นจัดจ้านแบบเต็มพิกัด และดีไซน์ที่ยกมาจาก CSL ในหลาย ๆ จุด หากใครจำรายละเอียดของ M3 CS ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ได้ อาจจะไม่ตื่นเต้นกับ M4 CS มากนัก ใต้ฝากระโปรงของ M4 CS ใช้เครื่องยนต์ S58
เอ็มบี แอนด์ เอฟ (MB&F) เชื่อมโยงความหลงใหลในโลกแห่งยานยนต์ นับตั้งแต่ปี 2012 ด้วยผลงาน HM5 ตามมาด้วย HMX ในปี 2015 และ HM8 ในปี 2016 ผลงานแต่ละรุ่นด้านข้างตัวเรือนสะท้อนความเท่ผ่านมาตรวัดความเร็วที่สามารถจดจำได้ตั้งแต่แรกเห็น ชวนให้นึกถึงการออกแบบที่ท้าทายและล้ำสมัยของปี 1970 หนึ่งทศวรรษหลังจากเครื่องบอกเวลา MB&F ได้รับแรงบันดาลใจจากรถยนต์ ทางแบรนด์ได้ต่อยอดด้วยการเปิดตัว HM8 Mark 2 ในปี 2023 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซุปเปอร์คาร์ หลังจากประสบความสำเร็จในการเปิดตัวสองรุ่นในปี 2023 – ด้วยเคสตัวเรือนสีขาวหรือสีเขียว โดยรุ่นหลังผลิตจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือน – ผลงาน HM8 Mark 2 กลับมาพร้อมกับรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นอีกครั้งในปี 2024 มาพร้อมตัวเรือนสีน้ำเงินเงาวาว ผลิตเพียง 33 เรือน เม็ดสีเมทัลลิกที่มีลักษณะเป็นวัสดุโปร่งแสง ตัวเรือนสีน้ำเงินชวนให้นึกถึงสีรถสุดหรูทั้งทางด้านเทคนิคและความสวยงาม นาฬิกา HM8 Mark 2 มีให้เลือกระหว่าง
Ferrari 12Cilindri ชื่อรุ่นใหม่มาจากภาษา Italian แปลว่า “12 cylinders” เป็นการตอกย้ำถึงเครื่องยนต์ 6.5 ลิตร NA V12 ที่ถูกเลือกมาอัพเกรดวางใต้ฝากระโปรงหน้าของ Super Grand Tourer โมเดลล่าสุดที่มาแทน 812 Superfast ให้พละกำลังแรงสะใจถึง 819 แรงม้า แรงบิด 678 นิวตันเมตร รอบจัดลากได้ถึง 9,500 rpm เครื่องยนต์ 6.5 ลิตร NA V12 ซึ่งเป็น flagship engine ของ Ferrari ผ่านการเปลี่ยนไส้ในด้วยวัสดุ titanium และ aliminum alloy เคลือบด้วยสาร Diamond-Like-Carbon coating ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ราบรื่นมากขึ้น ลดน้ำหนักพร้อมเสริมความทนทานในระดับเดียวกับรถแข่ง Formula 1 นอกจากนี้ยังมีการเขียน software เรียก max torque
โมเดลที่ขายดีที่สุดของ Lamborghini Urus เปิดตัวขุมพลัง Plug-in Hybrid ที่ทั้งแรงและเร็วยิ่งขึ้นโดยไม่ลดไซส์เครื่องเล็กลง ยังคงเป็นเครื่องขนาด 4.0-liter V8 ทำงานร่วมกับ e-motor ให้กำลังรวมมากถึง 789 hp แรงบิด 701 lb-ft มาตั้งแต่ 1,750 rpm ทำเวลา 0-100 km/h ได้ 3.4 วินาที เร็วกว่า Urus S อยู่ 1 วินาที แต่ยังเป็นรอง Performante อยู่ 1 วินาทีเช่นกัน ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 310 km/h Lamborghini Urus SE ใช้แบตเตอรี่ความจุ 25.7 kWh ซ่อนอยู่ใต้ที่เก็บสัมภาระด้านหลัง ขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะทาง 60 km ใน EV Mode ขับความเร็วสูงสุดได้
New Mercedes-Benz Electric G-Class ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ The Geländewagen ที่ไม่ใช้เครื่องยนต์ แทนที่ด้วยพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังคงความแกร่งพร้อมลุยเส้นทาง off-road ได้เหมือนเดิม ใช้ชื่อโมเดลว่า G580 with EQ Technology แทนที่ EQG ขุมพลัง quad-moto มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัวครั้งแรกของ Mercedes-Benz ประกบสร้างพลังงานให้แต่ละล้อ ให้พละกำลังรวม 579 แรงม้า แรงบิดมากถึง 1,165 นิวตันเมตร แรงบิดมากกว่าตัว AMG G63 ถึง 315 นิวตันเมตร ทำเวลา 0-100 ใน 4.4 วินาที แบตเตอรี่ความจุ 116.0-kWh เก็บอยู่ในเคสซึ่งรวมอยู่กับเฟรมของรถเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษด้วยแผ่นปิดใต้รถผลิตจาก carbon-reinforced plastic ปกป้องจากเศษฝุ่นและน้ำ ช่องชาร์จอยู่ด้านหลังมาแทนที่ตำแหน่งล้ออะไหล่ของรุ่นปกติ ขับได้ระยะทางสูงสุด 384 กิโลเมตร ค่อนข้างน้อยไปหน่อยในยุคนี้ การชาร์จ
Maurice Lacroix AIKON ถือเป็น Iconic Swiss Watch ใน collection ของนักสะสมมานับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2016 หนึ่งในผลงานสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ Watchmaker จากย่าน Franches Montagnes ประเทศ Switzerland คอลเลกชัน Maurice Lacroix AIKON เป็นโมเดลที่ต่อยอดมาจาก Maurice Lacroix Calypso ต้นแบบสุดคลาสสิกตั้งแต่ปี 1990s ทำให้ AIKON ซึ่งหมายถึงสไตล์เมืองอันหรูหราทันสมัย ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความหรูหรา มีความโดดเด่นในด้านงานดีไซน์ที่ทันสมัย รวมถึงการเลือกใช้วัสดุและคุณภาพการผลิตที่ประณีตสูงสุด ผ่านการสร้างสรรค์ด้วยผลงานรุ่นใหม่ ๆ ภายใต้ความหลากหลายของขนาด สีสัน และความซับซ้อนของเรือนเวลามาอย่างต่อเนื่อง สมกับปรัชญา ‘การประดิษฐ์คิดค้น’ ที่หลอมรวมอยู่ในทุกงานฝีมือและการสร้างสรรค์ของ Maurice Lacroix เชื่อว่าหากคุณหันไปหา Watch Collector รอบตัว จะพบว่ามี Maurice Lacroix AIKON ติดตัวกันเกือบครบทุกท่านไม่มากก็น้อย ล่าสุด Maurice
แม้จะเป็น AMG แบบมีช่องชาร์จไฟ แต่ก็สบายใจได้เพราะเครื่องยนต์ไม่ลดไซส์ ยังคงใช้ขุมพลัง 3.0 ลิตร 6 สูบเรียง ให้แรงให้แรงม้ามากกว่าที่ผ่านมา จากเดิม AMG E53 มีม้าประจำการ 429 hp แต่ใน E53 รุ่นใหม่ทำงานพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังรวมมากถึง 577 hp แถมมีสูตรลับปรับโหมด Activating Race Start เพิ่ม output รวมสูงสุดเป็น 603 hp แรงบิด 750 Nm พาบอดี้ใหญ่และหนักของ Sedan ทะยานถึง 100 km/h ได้ใน 3.8 วินาที ส่วน Wagon ก็อยู่ที่ 3.9 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 250 km/h สามารถปลดล็อคเป็น 280 km/h แบบประกันไม่หายได้ด้วย AMG
ตั้งแต่ปี 2015, TAG Heuer ได้ก้าวสู่แนวหน้าของโลกแห่งนาฬิกาสมาร์ทวอชอันหรูหรา และกลายเป็นนาฬิกายอดนิยมอย่างรวดเร็วในกลุ่มนักกอล์ฟ การเปิดตัว Connected Caliber E4 Golf Edition ของ TAG Heuer ในปี 2022 ได้สร้างชื่อเสียงให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น สานต่อประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ในด้านกีฬา ในช่วงเวลาที่กีฬากอล์ฟดึงดูดความสนใจของคนรุ่นใหม่มากขึ้น TAG Heuer และ Malbon Golf ผนึกกำลังกันเพื่อมอบมุมมองที่สดใหม่ให้แก่เกมการแข่งขัน โดยทั้งสองแบรนด์มีหลักปฏิบัติร่วมกัน นั่นคือความมุ่งมั่นที่จะทำในสิ่งที่แตกต่าง ปฏิเสธที่จะทำตามกระแส และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาเอง ความสัมพันธ์ที่เหมือนกันระหว่าง TAG Heuer ซึ่งมีประวัติศาสตร์ด้านการผลิตนาฬิกาอันยาวนาน การออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ และภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งในโลกกีฬา และ Malbon Golf ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในด้านความหลงใหล นวัตกรรม และไลฟ์สไต์การเล่นกอล์ฟ ได้ปูทางไปสู่ความร่วมมือที่มีจุดประสงค์สุดพิเศษ Malbon Golf ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 โดยผู้ที่ชื่นชอบในกีฬากอล์ฟ Stephen และ Erica Malbon ได้รับการยอมรับและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในกลุ่มของเหล่าผู้หลงใหลในกีฬากอล์ฟและการแสดงออกผ่านแฟชั่น