เปิดตัวโมเดลที่แรกกว่า XM ครั้งแรกของ BMW กับรหัสแรงพิเศษ “LABEL RED” กับตำแหน่ง “แรงที่สุด” เท่าที่ BMW production car เคยมีมา นับตั้งแต่ BMW เปิดตัว M standalone car ในร่าง XM ออกมา อาจจะทำให้หลายคนผิดหวังเล็ก ๆ แม้จะมีตัวเลข 644 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร แต่ความดิบอารมณ์สปอร์ตและความคล่องตัวช่างแตกต่างจาก M1 ที่ยิ่งใหญ่ในอดีตชนิดเทียบกันไม่ได้เลย ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจ BMW เพราะต้องยอมรับว่าวันนี้รถยนต์ SUV เป็นตลาดที่ขายดีสร้างรายได้มากกว่ารถสปอร์ตหลายเท่าตัว แต่ BMW ก็ไม่ปล่อยให้แฟน M ผิดหวังนานเกินไป ด้วยการเผยรหัสร้อนแรง XM LABEL RED อัพเกรดเครื่องยนต์ S68 ความจุ 4.4 ลิตร V8 twin-turbo
New Defender 75th Limited Edition (ดีเฟนเดอร์ 75 ปี ลิมิเต็ด อิดิชั่น ใหม่) การเฉลิมฉลองความสำเร็จครบรอบ 75 ปีของแลนด์โรเวอร์ด้วยรถยนต์รุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นจำนวนจำกัดและมีเพียง 10 คันในประเทศไทย มาพร้อมสีภายนอกสุดพิเศษและการตกแต่งรายละเอียดที่ไม่เหมือนใคร ราคาจำหน่าย 7,599,000 บาท เมื่อปี 1948 รถยนต์ Series I ได้รับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานอัมสเตอร์ดัมมอเตอร์โชว์ (Amsterdam Motor Show) และ Defender 75th Limited Edition ก็ถือเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปีของแลนด์โรเวอร์ ด้วยการออกแบบภายนอกที่พิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ ครั้งแรกกับสีภายนอก Glasmill Green สุดโดดเด่น ซึ่งเป็นเฉดสีที่สงวนไว้สำหรับรุ่น 75th Limited Edition โดยเฉพาะ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วมาในสี Grasmere Green เช่นกัน พร้อมฝาปิดเซ็นเตอร์แคปที่เข้าชุด การตกแต่งภายนอกสมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยกราฟิกฉลอง
ในปีค. ศ. 1949 Kihachiro Onitsuka (คิฮาชิโร โอนิซึกะ) ได้ก่อตั้ง บริษัท Onitsuka Co. Ltd. ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก ASICS แบรนด์เริ่มต้นจากความมุ่งมั่นในการส่งเสริมสุขภาพของเยาวชน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Onitsuka Tiger Stripes ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในแบรนด์กีฬาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตำนานยังคงสืบเนื่องมาจนปัจจุบันในการผสมผสานของมรดกญี่ปุ่นและสไตล์สมัยใหม่ ด้วยงานดีไซน์ตั้งแต่รูปทรงคลาสสิกที่ได้รับการอัปเดตไปจนถึงสไตล์ใหม่ๆ และความร่วมมือกับศิลปินที่มีความคิดที่ตรงกันและผู้ชื่นชอบวัฒนธรรม จิตวิญญาณของญี่ปุ่นสะท้อนให้เห็นในคอลเล็กชั่นใหม่ของรองเท้า เสื้อผ้าและเครื่องประดับ Onitsuka Tiger เสมอมา ล่าสุด Onitsuka Tiger เปิดตัวรองเท้า MEXICO 66™ GDX™ ซึ่งเป็นรุ่นไฮเอนด์ที่สุดของรองเท้ารุ่นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ อย่าง MEXICO 66™ รองเท้าซีรี่ย์ GDX ถือเป็นรุ่นที่เกิดขึ้นใหม่จากไลน์ NIPPON MADE คอลเล็กชั่นรองเท้า ‘Made in Japan’ ของแบรนด์รองเท้าในซีรี่ย์ GDX ผสมผสานงานฝีมือของญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เข้ากับเทคโนโลยีขั้นสูงและองค์ประกอบร่วมสมัย ที่สร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชาวญี่ปุ่น ซึ่งรูปลักษณ์ใหม่นี้โดดเด่นด้วยหนังญี่ปุ่นชั้นดีตลอดส่วนบนของรองเท้าและตกแต่งด้วยลายปัก Onitsuka
ครั้งแรกของ Ferrari 4 ประตู 4 ที่นั่ง ที่ดูคล้าย SUV มากที่สุดเท่าที่ Ferrari เคยมีมา เครื่องยนต์ NA 6.5 ลิตร V12 Dry Sump 725 แรงม้า 716 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยชุดเกียร์แยกอีกชุด ทำเวลา 0-100 km/h ได้ภายใน 3.3 วินาที และความเร็วสูงสุดทะลุ 300 km/h ชื่อรุ่น “Purosangue” เป็นภาษาอิตาลี หมายถึงสายพันธุ์ม้าแข่งที่โด่งดังซึ่งมีทั้งความเร็วและความแข็งแกร่ง ซึ่งแม้คนทั้งโลกจะเรียกมันว่ารถ SUV แต่ Ferrari ยังคงยืนยันว่า “นี่ไม่ใช่รถ SUV” เสียงแข็ง เพราะมันมีความสูงเพียง 62.6 นิ้ว เตี้ยกว่า Lamborghini Urus ถึง
ตั้งแต่เราเห็น C63 เปิดตัวด้วยเครื่อง 4 สูบ ก็เริ่มไม่แน่ใจว่ารุ่นใหญ่ตระกูล 63 จะถูกลดความจุเครื่องยนต์กันทั้งแผงเลยหรือไม่ แต่ S 63 คันนี้น่าจะทำให้ชาวแม่ยกเครื่องใหญ่ได้ยิ้มออกกันบ้าง แต่อาจจะต้องหุบยิ้มทันทีที่เห็นป้ายราคาขายในเยอรมนีราว 8 ล้านบาท ถ้า Benz ไทยนำเข้ามาขายน่าจะไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท Mercedes-AMG S 63 E เปิดตัวด้วยรุ่นพิเศษ Edition 1 ใช้เครื่องยนต์รหัส M177 4-liter twin-turbocharged V8 พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าประกบเพลาขับพลังพร้อม electronically-controlled limited-slip differential มีเกียร์ 2-speed ในตัว ทำงานคู่กับเกียร์ 9-speed torque converter พร้อม wet clutch ขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้พละกำลังรวมมากถึง 790 horsepower แรงบิดมหาศาลถึง 1430 Nm of torque
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่โมเดลสุดไอคอนิกของอาดิดาส ออริจินอลส์อย่าง Superstar, Gazelle และ Forum ยืนหยัดในฐานะสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมและชุมชน – หยั่งรากลึกในใจของผู้คนในฐานะผู้เปลี่ยนเกมและผลักดันขอบเขตอย่างต่อเนื่อง สำหรับฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2023 อาดิดาส ออริจินอลส์ได้นำทั้งสามโมเดลกลับมาอีกครั้งภายใต้แคมเปญล่าสุด “Home of Classics” แคมเปญนี้ประกอบด้วยบุคคลผู้บุกเบิกทางวัฒนธรรมจากทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ลิลเดร (Lil Dre), คาลยา มอนโตยา(Kalya Montoya) และ มาร์คอส มอนโตยา (Marcos Montoya) จากลอสแองเจลิส และ ดี โคอาลา (Dee Koala), มาสวันดิเล ซิทโฮล (Mzwandile Sithole) และ แอนดิล ดลามินี (Andile Dlamini) จาก Broke Wear แบรนด์หัวก้าวหน้าของเคปทาวน์ การเชื่อมโยงภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมเปลี่ยนเคปทาวน์ให้เป็นสนามการทดลอง ซึ่ง Home of Classics ได้แสดงให้เห็นว่าขอบเขตของความคิดสร้างสรรค์ถูกขยายกว้างออกไปอย่างไรเมื่อชุมชนมารวมตัวกัน ลิลเดร
สำหรับคาร์เทียร์ เวลานั้นหมุนเวียนเป็นวัฏจักร มิใช่เดินเป็นเส้นตรงอย่างที่นำเสนอทั่วไป วิสัยทัศน์นี้จึงเป็นหนึ่งในคำอธิบายว่าทำไมเมซงคอยพัฒนาปรับเปลี่ยนนาฬิกาและรังสรรค์ทั้งดีไซน์และกลไกขึ้นใหม่อย่างไม่รู้จบ เพื่อนำพาผู้ที่หลงใหลในเรือนเวลาไปสู่อนาคต เรือนเวลาของคาร์เทียร์ประสบความสำเร็จจากการเดินทางด้วยพลังแห่งจินตนาการจากอดีตไปสู่อนาคต ตราบเท่าที่วิวัฒนาการยังดำเนินไปไม่สิ้นสุด ไร้ขีดจำกัดของกาลเวลา ความคิดสร้างสรรค์เป็นอนันต์ และในปีนี้ คอลเลคชั่นใหม่ของคาร์เทียร์ได้สะท้อนสิ่งนี้ ผ่านเรือนเวลาที่พรั่งพร้อมทั้งรูปทรงและคาแรกเตอร์ ปรับโฉมใหม่ผ่านการสร้างสรรค์ อันทรงคุณค่า Tank คือไอเดียแรกที่หลุยส์ คาร์เทียร์ทำนายว่าจะประสบความสำเร็จ และในปีนี้มีตัวแทนคือ Tank Normale รุ่นใหม่ที่อ้างอิงเรือนแรกสุดจากปี 1917 กับ Tank Américaine อันภูมิฐาน สองเอกลักษณ์การรังสรรค์เรือนเวลาของคาร์เทียร์ มาเคียงคู่เรือนเวลาที่ได้รับการตีความขึ้นใหม่ อันได้แก่ Pasha, Baignoire, Panthère และ Santos de Cartier รวมถึง Clash [Un]Limited เรือนเวลาที่หลอมรวมมรดกเชิงสุนทรียะของคอลเลคชั่น Clash อย่างสร้างสรรค์และและสร้างวิวัฒนาการให้ก้าวไกลกว่าเดิมจากปัจจุบันที่มุ่งหน้าสู่อนาคต TANK NORMALE แต่ละปีเรือนเวลาหายากหนึ่งรุ่นจะได้รับเลือกเข้าสู่คอลเลคชั่น Cartier Privé จุดนัดพบของนักสะสม ซึ่งเฉลิมฉลองและสำรวจเรือนเวลารุ่นตำนานของเมซงผ่านเรือนเวลารุ่นลิมิเต็ดโดยสลักหมายเลขกำกับไว้ วันนี้ Cartier Privé เปิดตัว Tank Normale ผลงานชิ้นที่ 7
ก่อนหน้านี้เราได้ชวนทุกคนไปบอกลาขุมพลัง V12 ล้วนของ Lamborghini กันไปแล้ว และวันนี้เราก็ได้เปิดตัว DNA ใหม่ที่เพิ่มพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปตามยุคสมัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายท่านทราบดีว่า Lamborghini มักจะตั้งชื่อรุ่นตามสายพันธุ์กระทิงที่น่าเกรงขาม แต่สำหรับ Revuelto น่าจะเป็นโมเดลแรกที่ฉีกแนว ไม่ได้ตั้งชื่อตามกระทิงในตำนานของสเปนเหมือนในอดีต ขุมพลัง V12 วางกลาง mid-engine ที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคของ Miura ในช่วงปี ’60s วันนี้มาพร้อมเทคโนโลยี plug-in hybrid มอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลังรวมกันมากถึง 1,000 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 km/h ได้ใน 2.5 วินาทีเท่านั้น เร็วกว่า Aventador ถึง 0.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 350 km/h มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวแรกประกบล้อซ้ายขวาควบคุมแรงบิดอย่างอิสระ ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่สามถูกติดตั้งรวมอยู่ในชุดส่งกำลัง เกียร์ 8-speed dual-cluth automatic มีหน้าที่ส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อหลังโดยเฉพาะ แค่พิมพ์ก็ได้กลิ่นยางเบิร์นกันเลยทีเดียว ที่น่าสนใจคือ Lamborghini Revuelto
หลังจากสาวกต่างเฝ้ารอนาฬิกาที่ถือเป็น The holy grail of Rolex อย่าง Daytona ซึ่งราคาก็แข็งชนเพดาน และ demand ก็สูงจนหาของยากสุด ๆ แต่ในโอกาสฉลองครบรอบ 60 ปี Rolex Daytona นี้ ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกับ edition ใหม่สักที เป็นความใหม่ที่คนทั่วไปอาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ไปดูกันว่ามีรายละเอียดอะไรใหม่บ้างใน Daytona เริ่มจากตัวเรือนยังคงมีขนาด 40mm เหมือนเดิม ส่วนหน้าปัดมีการปรับดีไซน์ใหม่เล็กน้อยเพื่อบาลานซ์ความแตกต่างของหน้าปัดและตัวบอกรายละเอียดรวมถึงใน sub-dial ต่าง ๆ ให้ชัดเจนลงตัวมากขึ้น ตัว Oyster case มีการขัดเงาบริเวณ lugs และด้านข้างมากขึ้น ส่วนรุ่นหน้าปัดทองหรือ pink gold บน Cerachrom bezel จะได้สายที่ใช้เหล็กที่ข้อกลางเป็นสีเดียวกัน ทำให้ดูต่อเนื่องและภูมิฐานมากขึ้น จุดสำคัญที่สุดใน New Daytona คือกลไกที่ผลิตแบบ In-house ของ Rolex ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี
Nothing แบรนด์เทคโนโลยีในลอนดอนได้ทำการเปิดตัว Ear (2) ซึ่งเป็นหูฟังไร้สายที่ได้รับการดีไซน์แบบโปร่งใสอีกเช่นเคย ซึ่งแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของ Nothing อย่างชัดเจน และยังได้รับการปรับแต่งให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประสบการณ์เสียงอันทรงพลังขั้นสูงสุด Ear (2) มอบประสบการณ์เสียงอันทรงพลังอย่างแท้จริง เพราะได้รับการรับรองคุณภาพเสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio) และมีเทคโนโลยี LHDC 5.0 ผู้ใช้ยังสามารถสร้างโปรไฟล์เสียงส่วนตัวของตนเองได้โดยทำการทดสอบการได้ยินผ่านแอป Nothing X จากนั้น Ear (2) จะปรับการตั้งค่าอีควอไลเซอร์แบบเรียลไทม์เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด หูฟังมีไดร์เวอร์ขนาด 11.6 มม. ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ เพื่อเสียงเบสที่ลึกและทรงพลังและเสียงสูงที่ชัดใส และได้รับการออกแบบ Dual-Chamber ใหม่ที่จะมาช่วยเพิ่มคุณภาพเสียงโดยรวม ด้วยการไหลเวียนของอากาศที่ลื่นไหลยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Ear (2) ยังสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์สองเครื่องพร้อมกัน พร้อมทั้งมีการอัปเกรด Clear Voice Technology ที่สามารถป้องกันเสียงลมและผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดีและการอัปเกรดของการตัดเสียงรบกวนแบบแอ็คทีฟส่วนบุคคลที่จะถูกปรับให้เข้ากับรูปร่างหูของผู้ใช้แต่ละคน เสียงสมจริงอย่างแท้จริง Ear (2) ได้รับการรับรองคุณภาพเสียงความละเอียดสูง (Hi-Res Audio) เพื่อสัมผัสประสบการณ์เสียงอันดื่มด่ำ เสมือนพาคุณไปยังสตูดิโอบันทึกเสียง เทคโนโลยีตัวแปลงสัญญาณ LHDC 5.0