ซูม่า (Zuma) ห้องอาหารญี่ปุ่นสไตล์อิซากายะร่วมสมัยยอดนิยมในกรุงเทพฯ ชวนทุกท่านเฉลิมฉลองไปกับช่วงเวลาแห่งความสุขส่งท้ายปี กับเทศกาลคริสต์มาส และวันปีใหม่ นำเสนออาหารญี่ปุ่นแบบเทสติ้งเมนูแสนอร่อยสไตล์ ‘ไดโกกุ’ ที่มีให้บริการทั้งมื้อค่ำ และมื้อสาย พร้อมแพ็คเกจเครื่องดื่มฟรีโฟลวแบบเติมได้ไม่อั้น สร้างบรรยากาศให้คึกคักด้วยเสียงเพลงสุดสนุก และประสบการณ์เคานท์ดาวน์ในวันขึ้นปีใหม่ที่จะเปิดให้บริการถึงเวลา 03:00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2567 โดยเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองจะเริ่มตั้งแต่วันเปิดไฟต้นคริสต์มาสที่ห้องอาหาร ที่จะส่องสว่างสร้างบรรยากาศของเฟสทีฟตั้งแต่ วันที่ 8 ธันวาคม 2566 จนถึงวันที่ 6 มกราคม 2567 ‘ไดโกกุ’ ลิ้มลองเทสติ้งเมนูประจำเทศกาล พร้อมแพ็คเกจไวน์แบบดื่มไม่อั้น ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2566 – 6 มกราคม 2567 ห้องอาหาร ซูม่า จะเสิร์ฟอาหารแบบเทสติ้งเมนูประจำเทศกาล ในราคา 5,600 บาทต่อท่าน ออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสุขและการแบ่งปันผ่านเมนูไฮไลท์มากมาย อาทิ ทาร์ทาร์ปลาทูน่า เสิร์ฟพร้อมไข่ปลาคาเวียร์และข้าวเกรียบ สลัดปูท้อปด้วยไข่กุ้ง กุงกังซูชิหน้าวากิวราดซอสทรัฟเฟิล ปลากะพงขาวแล่บางราดซอสยูซุและน้ำมันทรัฟเฟิล ปลาแบล็กค็อดห่อใบโอบะย่าง เนื้อวากิวระดับ
The Ultra Rare BMW 333i E30 ตัวหายากจากการร่วมมือกันระหว่าง BMW South Africa และ Alpina รูปทรงบอดี้เดิม เพิ่มเติมคือเครื่องยนต์ M30B32 6 สูบเรียง จากรุ่นใหญ่อย่าง 533i, 633CSi และ 733i ทำให้มันแรร์ยิ่งกว่า E30 M3 เพราะมีเพียง 210 คันในโลก รวม prototypes และรถเทส สาเหตุที่ BMW South Africa มี E30 รุ่นพิเศษแบบนี้วางขายแค่ที่เดียว เป็นเพราะคนที่นั่นก็ชื่นชอบและบ้า BMW มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่รถยนต์เป็นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา และในเมื่อ M3 E30 หรือ Alpina B6 3.5S เป็นพวงมาลัยซ้าย จึงยากที่จะทำตลาดเพราะต้องกลับพวงมาลัย ทาง BMW
“Dream Project #2” Ref. G-D001 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธีมการพัฒนาที่มีชื่อว่า “BREAK THE BOUNDARY” โปรเจ็กต์ใหม่นี้เดินตามรอย Dream Project ก่อนหน้านี้ที่เป็นที่ระลึกการครบรอบ 35 ปีของ G-SHOCK ออกแบบโดยใช้ AI เข้ามาช่วยปรับแต่งดีไซน์ภายนอก ตัวเรือน กรอบ และสายใช้วัสดุทอง 18K ผ่านการขัดเงาด้วยมืออย่างละเอียดและพิถีถันโดยช่างฝีมือชั้นเลิศ ซึ่งลงลึกไปถึงจุดที่ยากต่อการเข้าถึงทำให้ส่วนประกอบมีความเงางามอย่างน่าเหลือเชื่อ การออกแบบดีไซน์แบบ Generative ที่ใช้ประโยชน์จาก AI ถูกนำมาใช้กับกระบวนการออกแบบภายนอก ข้อมูลที่สะสมมานานกว่า 40 ของการพัฒนา G-SHOCK ที่อ้างอิงตามกรอบการออกแบบที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์ ได้รับการป้อนเข้าสู่ระบบ AI เพื่อสร้างโมเดล 3 มิติที่เหมาะสำหรับปัจจัยต่างๆ รวมถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง ลักษณะของวัสดุ และวิธีการที่จะใช้ มีการแก้ไขซ้ำด้วยมนุษย์เพิ่มเติมหลังจากที่ได้คำแนะนำจาก AI เพื่อสร้างส่วนประกอบภายนอกที่ให้สัมผัสของการออกแบบที่สร้างสรรค์และเป็นต้นฉบับรวมถึงการใช้งานที่เหนือกว่า ในฐานะที่เป็นวัสดุสำหรับส่วนประกอบภายนอกที่สำคัญ ทองคำ 18k ได้รับการนำมาใช้เพื่อให้ความแวววาวที่ลึกซึ้งและสวยงาม รูปแบบที่ซับซ้อน ดั้งเดิม และแม่นยำของกรอบและสายสร้างขึ้นด้วยกระบวนการหล่อแบบ Lost-wax ที่มักจะใช้ในการทำเครื่องประดับและเครื่องใช้ชั้นดีอื่นๆ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2506 ที่งานตูริน มอเตอร์ โชว์ (Turin Motor Show) ครั้งที่ 45 หนึ่งในงานมหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสมัยนั้น มาเซราติ ได้สร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัว “มาเซราติ ควอตโตรปอร์เต้ (Maserati Quattroporte)” สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก จนถึงปีนี้ นับว่าเป็นการครบรอบ 60 ปีพอดีที่รถยนต์ซีดานสุดหรูตระกูลนี้ยืนยงในวงการยานยนต์และได้ส่งรถรุ่นใหม่ลงตลาดต่อเนื่องมาแล้วถึง 6 เจเนอเรชั่น ในงานฉลองโอกาสพิเศษนี้ มาเซราติได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญของมาเซราติไว้ด้วยกันอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านความก้าวหน้าด้านการผลิต ดีไซน์สุดล้ำ นวัตกรรม ความก้าวหน้าด้านเทคนิค และทุกองค์ประกอบที่ทำให้รถยนต์ของมาเซราติเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาตลอดกว่าสองศตวรรษที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เต เป็น ยนตรกรรมขั้นสุดที่ได้รวบรวมความโดดเด่นทุกด้านแห่งวงการยานยนต์มาไว้ในคันเดียว และเป็นซีดานหรูที่ตอบทุกโจทย์ของนักขับหลากหลายกลุ่มในสังคม รวมทั้งกลายมาเป็นเซกเมนต์ที่สำคัญของธุรกิจยานยนต์ด้วย เช่นเดียวกันกับรถที่เป็นไอคอนแห่งวงการในแต่ละยุค ควอตโตรปอร์เตได้รับการยกย่องและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วมากมายนับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในยุค 1960 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เตไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองแบบไม่เกรงกลัวอะไร เป็นยนตรกรรมที่มุ่ง สรรค์สร้างความเป็นเลิศด้านดีไซน์ สมรรถนะ และสะท้อนจิตวิญญาณของมาเซราติซึ่งเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างสรรค์รถยนต์ที่เปี่ยมนวัตกรรมอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร และตลอดกว่าร้อยปีที่ผ่านมา มาเซราติได้ผลิตควอตโตรปอร์เตออกสู่ตลาดแล้วกว่า 75,000 คัน
ร้อนแรงออกจากโรงงานก็จัดเต็มมาให้ถึง 816 แรงม้า กลายเป็น SL ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ ผลพวงจากการเสริมมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปช่วยเครื่องยนต์ twin-turbocharged 4.0-liter V8 ใน Mercedes-AMG SL63 S E Performance แบ่งเป็นม้าจากเครื่องยนต์ 612 ตัว และมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 204 ตัว รวมให้แรงบิดเต็มกราฟถึง 1,420 นิวตันเมตรพร้อมให้ใช้งานได้ทุกรอบความเร็ว สามารถเปิดหลังคารับลมปะทะใบหน้าที่ความเร็ว 0-100 ได้ใน 2.9 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดล็อคไว้ที่ 317 km/h Mercedes-AMG SL63 S E Performance ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 400-volt แบตเตอรี่ 6.1-kWh พัฒนาโดยทีมงาน AMG’s Electric Drive Unit สำหรับรถตระกูลไฟฟ้า high-performance ของแท้โดยเฉพาะ สามารถคายกระแสไฟได้รวดเร็วพร้อมระบายความร้อนควบคุมอุณหภูมิยืดอายุขัยให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น สามารถขับด้วยไฟฟ้าล้วนได้ 13 กิโลเมตร การจะเป็นรถ
ในปี 1986 ยุคที่ AMG ยังไม่ถูกรวมเข้ากับ Mercedes-Benz เป็นเพียงสำนักแต่งของ Aufrecht (Hans Werner Aufrecht) และ Melcher (Erhard Malcher) แห่งเมือง Großaspach ทีมอาวุธลับหลังบ้านที่ถนัดการปลุกเสกเครื่องยนต์ Mercedes-Benz ให้ทรงพลังสำหรับลงแข่ง Group A และ Group N โดยเฉพาะ ซึ่งมีผลงานระดับ Icon แห่งประวัติศาสตร์คือ Mercedes 300 SEL “Red Pig” คันสีแดงที่เราคุ้นตา ตามมาด้วย AMG ‘The Hammer’ สุดดุดันคันนี้ 1986 500 SEC AMG 6.0 “Wide-Body” คันนี้เป็นรถ original ของแท้มาจากยุคที่ได้รับขนานนามว่า The Hammer ด้วยเลขไมล์เพียง 4,716 km แสดงให้เห็นถึงการเก็บรักษาโดยนักสะสมเป็นอย่างดี
อดีตเป็น Concept ปัจจุบันใกล้เข้าสู่ Production version ภายในปี 2026 แล้วสำหรับ two-seater coupe คันใหม่จาก Toyota จากที่เคยเดากันไปว่าอาจจะเป็น MR2 แต่สรุปแล้วไม่น่าใช่ เพราะมันใช้ขุมพลังไฟฟ้าล้วน ด้านหน้าเน้นดุดันใส่ความสปอร์ตมาเต็มด้วยช่องดักอากาศและกระจังหน้าขนาดใหญ่ ไฟ daytime running lights แนวตั้งที่ฉีกแนวคิดการออกแบบที่ผ่านมาไปอย่างสิ้นเชิง เส้นสายที่เฉียบคมยังลากต่อเนื่องไปถึงด้านท้าย ทำให้ประตู ซุ้มล้อ และ diffuser หลังมีความเป็น Sports car อย่างชัดเจน ซึ่งแม้จะเป็น concept แต่ก็มีรายละเอียดที่ครบสมบูรณ์พร้อมผลิตมาก ๆ สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับขุมพลัง Mr. Fumihiko Hazama, chief engineer บอกว่า FT-Se จะใช้ระบบ dual-motor ประกบเพลาหน้าหลังส่งกำลังแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ใช้แบตเตอรี่ high-performance ตัวเดียวกับใน Lexus LF-ZC และหวังว่าจะสามารถทำความเร็ว 0-100 ได้ในเวลาไม่ถึง 3
เห็น Cybertruck โผล่มาอยู่บนเว็บ Tesla Thailand ก็เลยสนใจและลุ้นไปด้วยว่าจะมาขายจริงหรือไม่ ถ้ามาแล้วราคาน่าสนใจ เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากลอง รวมถึงแอดเองด้วย แต่ด้วยสเปคที่ล้ำยุคสมัยไปไกลก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า “แล้วถ้าต้องซ่อม บ้านเราจะทำได้มั้ย?” เอาแค่บอดี้ Metal Alloy ที่ผลิตจาก Stainless Steel panels หนา 3mm แข็งแรงถึงขั้นกันกระสุนได้ ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตขึ้นรูป ซึ่ง Musk เคยบอกว่าเครื่องบีบอัดที่ใช้โรงงานรถยนต์ทั่วไปไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นอู่นอกหรือช่างแถวบ้านไม่น่าจะมีเครื่องมือที่ซ่อมแซมมันได้ หรือได้ แต่อาจจะใช้เวลานานจนช่างไม่อยากรับงาน เส้นสายที่ตรงและลากยาว แปลว่าช่างต้องซ่อมถึง เคาะจนตรงเป๊ะเท่าโรงงาน จะโปะสีทับ ๆ ก็ไม่ได้อีก เพราะตัวถังเป็นวัสดุเปลือยไม่มีการพ่นสี หรือแม้แต่การเปลี่ยนใหม่ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ราคาถูก ๆ แน่นอน เพราะต้องเปลี่ยนทั้งชิ้น ในต่างประเทศพึ่งจะมีเจ้าของรถ Rivian R1T โดนชนท้ายมุมบุบธรรมดา แต่เจอบิลราคาค่าซ่อมสูงถึง 1.5 ล้านบาท เพราะมันซ่อมไม่ได้ และบอดี้ที่ผลิตแบบชิ้นเดียว ทำให้ต้องยกเปลี่ยนทั้งชุด หากเป็นวัสดุ Metal Alloy
Ventura Dragon คอลเลคชั่นใหม่ของ แฮมิลตัน (HAMILTON) ถือว่าเป็นตัวแทนแห่งความแข็งแกร่งและโชคดี รวมถึงจิตวิญญาณแห่งพลัง จึงเป็นสัญลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับโอกาสและความสำเร็จ ซึ่งสามารถผสมผสานกับการออกแบบที่ประณีตและสวยงามได้อย่างลงตัวด้วยตัวเรือนแสดงใบหน้าของมังกรที่เต็มไปด้วยพลังและความกล้าหาญ ใบหน้าของมังกรหัน 90° ทางเข็มนาฬิกา ที่เข้ากับความเป็น Ventura มาพร้อมตัวเรือนสแตนเลสสตีล หน้าปัดขนาด 42.5 x 44.6 มล. และความหนา 12 มล. การขับเคลื่อนด้วยกลไกระบบไขลานอัตโนมัติ ที่สามารถสำรองพลังงานได้ 80 ชั่วโมง และมีความทนทาน โดยมีให้เลือกถึง 2 สี คือเคลือบ PVD สี Rose Gold สุดหรูหรา และ สีดำสุดคลาสสิก ความพิเศษที่มากกว่านั้นคือตัวเรือนที่มีการเคลือบป้องกันการสะท้อนแสงและ Super-LumiNova® สีขาวทำให้นาฬิกาเหมาะสำหรับการสวมในทุกช่วงเวลาตั้งแต่กลางวัน จนถึงกลางคืน พร้อมสายลวดลายมังกร 3 มิติเพิ่มความสมบูรณ์ในการสวมนาฬิกานี้ และนอกจากนี้ แฮมิลตัน (HAMILTON) ยังมาพร้อมกับ Boulton 4 สีใหม่สดใส ในคอลเลคชั่นนี้นาฬิกา Boulton
บ่งบอกเอกลักษณ์ให้ชัดเจนไปอีกขั้น พร้อมฉลองครบรอบ 40 ปี G-Shock ด้วยโมเดลที่เหมาะสำหรับการสะสมที่สุดแห่งปี “Full Metal Polychromatic Accent Series” ดีไซน์ไล่ระดับสีที่ออกแบบอย่างประณีตทุกขั้นตอน ตั้งแต่กรอบโครงสร้างภายนอก ผ่านขั้นตอนการขัดเงาด้วยเทคนิคพิเศษแบบ Hairline สุดพิถีพิถันบน GMW-B5000 และ GM-B2100 FULL METAL ที่ใช้วัสดุโลหะทั้งตัวเรือน G-Shock FULL METAL Series ขึ้นชื่อเรื่องการเลือกใช้วัสดุที่ทันสมัยและทนทาน โครงสร้าง shock-resistant structure และ water resistance กันฝุ่นกันน้ำ ผ่านกระบวนการออกแบบเฉพาะที่เรียกว่า CMF (Color, Material, and Finish) เสริม Resin กันสะเทือนระหว่างตัวเครื่องกับขอบ bezel อีกชั้น ข้อต่อ joint เชื่อมสายกับเคสด้วยระบบ tripod structure เสริมประสิทธิภาพกันกระแทกได้ทั่วทั้งเรือน กันน้ำได้ลึกถึง 20 ATM (200