ในฐานะที่เป็นผู้ชายก็พอรู้ละครับ ว่าเหล่าสุภาพบุรุษนั้นชื่นชอบความท้าทายและหลงรักการเสี่ยงอันตราย ถ้ามีกองไฟเร่าร้อนตั้งอยู่ตรงหน้าคุณคงเลือกจะวิ่งผ่านด้วยความเร็วแสง เพื่อสัมผัสกับความตื่นเต้นเร้าใจและไอร้อนวูบวาบ มากกว่าวิ่งหนีแล้วปล่อยกองไฟนั้นให้มอดดับลง นอกจากความร้อนของเปลวเพลิง อีกเรื่องร้อนที่ปลุกเร้าผู้ชายให้ตื่นเต้นได้ไม่แพ้กันคือการมีเซ็กซ์กับเพื่อน (Sex Friend) หรือเรียกแบบสุภาพขึ้นมาหน่อยก็คงจะเป็น Friend With Benefits ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่เกิดขึ้นบนเตียง โดยมีหลักง่าย ๆ คือการทาบทับและรุกล้ำอวัยวะแข็งบางอย่างเข้าไปยังอวัยวะนุ่มนิ่มอีกอัน มันถือเป็นความสัมพันธ์ไม่ได้ผูกมัดหรือผูกพันแต่อย่างใด ทำให้ Friend With Benefits เป็นสิ่งที่ดีต่อใจหนุ่มเพลย์บอยหลาย ๆ คน แต่คงมีผู้ชายไม่น้อยที่ยังครุ่นคิดและชั่งใจอยู่ว่าการมีเซ็กซ์กับเพื่อน มันถูกหรือผิดกันแน่วะ? ก่อนที่เจ้ามังกรในกางเกงของคุณจะตื่นตัวจากสิ่งเร้าที่เรียกว่า “เพื่อนคนสวย” ไปมากกว่านี้ UNLOCKMEN อยากพาหนุ่ม ๆ มาเปิดตำราและสำรวจตัวเองไปพร้อม ๆ กัน ว่าแท้ที่จริงแล้วคุณพร้อมจะมีเซ็กซ์กับเพื่อนคนสนิทมากน้อยแค่ไหน? บทเรียนที่ 1: ซื่อสัตย์กับความต้องการของตัวเอง เมื่อใดที่ผู้ชายอย่างเราต้องเจรจาถึงขอบเขตและความคาดหวังในความสัมพันธ์ ต้องบอกว่ามันเป็นประเด็นที่ค่อนข้างยากและละเอียดอ่อนที่จะอธิบาย เราเลยอยากให้คุณลองถามตัวเองว่า “ทำไมคุณถึงไม่มีเซ็กซ์กับเพื่อนผู้หญิงทุกคน และทำไมเพื่อนผู้หญิงคนนี้ถึงต่างจากคนอื่น ๆ ?” ถ้าคำถามง่าย ๆ ยังยากจะตอบสำหรับคุณ อาจแปลว่าคุณต้องการลงลึกในความสัมพันธ์รักโรแมนติก ที่มากกว่าแค่ความสัมพันธ์แบบเพื่อน และนั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่หากยังอยากเก็บความสัมพันธ์แบบ Friend With
แฟชั่นถือเป็นกระแสที่ไม่เคยหยุดนิ่ง บางครั้งผ่านมาแล้วก็หายไป หรือบางทีภาวะ Nostalgia (หวนระลึกอดีต) ก็เปิดโอกาสให้แฟชั่นวันวานกลับมาฮิตอีกครั้ง แต่ใช่ว่าทุกสไตล์จะได้กลับมาเป็นกระแสเสมอไป ด้วยคลื่นกระแสของแฟชั่นที่น่าสนใจทำให้ในวันนี้ UNLOCKMEN เลือกพูดถึงแฟชั่นญี่ปุ่นอันเต็มไปด้วยเป็นเอกลักษณ์ โดยหยิบเรื่องราวของแบรนด์ดังอย่าง HOMME PLISSE ISSEY MIYAKE กับคอลเลกชันล่าสุดอย่าง Autumn/Winter 2019 ที่นำไลฟ์สไตล์ยุคเอโดะปัดฝุ่นมาเล่าใหม่ ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าเท่ ๆ ให้สวมใส่ได้ลงตัวในยุคนี้ แต่ก่อนจะก้าวไปสัมผัสกับคอลเลกชัน Autumn/Winter 2019 คงต้องขอเท้าความถึงตัวแบรนด์กันก่อน โดย HOMME PLISSE ISSEY MIYAKE (ออมม์ พลิซเซ่ อิซเซ่ มิยะเกะ) เป็นแบรนด์เสื้อผ้าน้องใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2013 โดดเด่นเรื่องไอเทมการจับจีบสุดประณีตที่ถูกคิดค้น ดีไซน์อย่างสร้างสรรค์ และพัฒนาด้วยทีมดีไซเนอร์มากความสามารถของ Issey Miyake แบรนด์แฟชั่นตัวพ่อที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1988 สไตล์อันชัดเจนของ HOMME PLISSE ISSEY MIYAKE คือการเน้นดีไซน์เสื้อผ้าให้สวมใส่สบาย เคลื่อนไหวได้คล่องตัว ซัพพอร์ตสรีระของผู้ชาย เนื้อผ้าไม่ยับ แห้งง่ายระบายอากาศได้ดี แถมยังน้ำหนักเบาเพราะใช้ยูนิฟอร์มพลีต (uniform plests) เสื้อผ้าจึงไม่เสียดสีกับผิวกาย คุณสมบัติเหล่านี้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลายของเหล่าชายหนุ่มยุคปัจจุบัน เพราะคนรุ่นใหม่ต่างต้องการแต่งตัวตามสไตล์ของตัวเองพร้อมกับทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ตัวตนภายนอกที่ไม่ขัดกับการแสดงออก แต่ส่งเสริมให้ดูดีทุกท่วงท่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกคนมองหา
Green Day กับการเมืองเรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน! หากคุณเป็นสาวกตัวจริงของวงนี้ คงจะพอจำกันได้ว่า ในงาน American Music Awards ปี 2016 ซึ่งเป็นปีที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ชนะการเลือกตั้งพอดิบพอดี เสด็จพ่อ บิลลี โจ อาร์มสตรอง ฟรอนต์แมนของวง เคยกระทำการอุกอาจบนเวทีระดับชาติ ด้วยการตะโกนว่า “No Trump! No KKK! No fascist” ระหว่างเล่นเพลง Bang Bang อยู่บนเวที เล่นเอาเรียกทั้งเสียงฮือฮา และได้ใจผู้ไม่ฝักใฝ่ทรัมป์ไปทั้งประเทศ เพิ่มเติม: KKK คือ ‘เดอะ แคลน’ องค์กรเหยียดสีผิวหัวรุนแรง และ Fascist หมายถึงลัทธิฟาสซิสต์ กลุ่มเผด็จการชาตินิยม แน่นอนว่าการที่พวกเขาลุกขึ้นต่อต้านผ่านการแสดงนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นสนุก ๆ แต่อย่างใด ก่อนหน้านี้ไม่นาน บิลลี โจ เพิ่งจะให้สัมภาษณ์จิกกัดทรัมป์อย่างเปิดเผยผ่านนิตยสาร Kerrang! ไปหยก ๆ ว่า “ผมไม่ได้แรงบันดาลใจใด
เบื่อจะนั่งฟังเสียงฝนกระทบหน้าต่างที่ห้องเหงา ๆ คนเดียวหรือยัง? เบื่อการติดแหง็กไปไหนไม่ได้เพราะฝนตกมาเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วหรือเปล่า? ถ้าใช่ เปลี่ยนวันฝนโปรยเหน็บหนาวให้เป็นวันที่อุณหภูมิพุ่งสูงกันหน่อยไหม? ลองชวนใครคนนั้นที่อยากอยู่ใกล้ ๆ มาดูหนัง 5 เรื่องนี้ไปด้วยกัน แม้ไม่มีฉากฝนตกเป็นประเด็นหลักของเรื่องให้เราอิน แต่ก็อาจทำให้เปียกแฉะหรืออุ่นจนร้อนกันไปข้าง THE DREAMERS เรื่องราวความสัมพันธ์ของฝาแฝดหนึ่งชายหนึ่งหญิงชาวฝรั่งเศสกับหนึ่งหนุ่มอเมริกันที่มาพบเจอกันในเมืองที่โรแมนติกและเต็มไปด้วยศิลปะอย่างปารีส คุณจะได้อุ่นจนร้อนคลั่งไปกับบทสนทนาเผ็ดเดือดว่าด้วยสังคม การเมือง ปรัชญา ศิลปะ แต่ในขณะเดียวกันหัวใจก็อาจเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยฉากร้อนเร่าเกินบรรยายของตัวละครทั้งสามที่ผูกพันกันไว้ด้วยทัศนคติ วิธีคิดและเรือนร่างที่จะชวนให้วันฝนตกอุณหภูมิพุ่งทะลัก LOLITA เมื่อพ่อเลี้ยงหนุ่มใหญ่ ย้ายเข้าบ้านผู้หญิงที่คบหากัน แต่เธอคนนั้นก็มีลูกสาววัยกระเตาะพักอยู่ด้วย หนังจะพาเราไต่เขตแดนศีลธรรมของหนุ่มรุ่นพ่อกับสาวรุ่นลูกในพื้นที่อย่างบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ดูจะมีเหตุให้ต้องใกล้ชิดเบียดแน่นกันอยู่ตลอดเวลา จะดูเพื่อร้อนวูบวาบทางใจกายก็ไม่เลว แต่หากอยากเดือดพล่านไปด้วยความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมที่สังคมอาจต้องช่วยกันหาคำตอบ เรื่องนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังแน่ ๆ STEALING BEAUTY เมื่อสาวสะพรั่งวัย 19 ปีเดินทางไปยังเมืองหนึ่งในอิตาลี เธอหอบสัมภาระ หัวใจ และตัวเธอที่ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับใครไปเยี่ยมเพื่อนของแม่ แต่อีกเป้าหมายที่เธอตั้งไว้คือเธอจะต้องได้ร่วมรักกับใครสักคนที่นี่ เมืองที่แม่ของเธอก็มามอบเซ็กซ์ครั้งแรกให้ใครบางคนไว้เหมือนกัน บอกเลยว่าแค่ตัวเรื่องเล่าก็ชวนอุ่นผะผ่าวที่แก้มแล้ว แต่ด้วยบรรยากาศของเมืองในยุโรปที่ชวนฝัน แดดอบอุ่นและความงามของหญิงสาวและเรื่องราวของหนุ่ม ๆ ที่ผ่านเข้ามา
เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ นักท่องเที่ยวหลายคนคงไม่พลาดจะที่หาเวลาไปเยือนเมืองเกาะอย่างประเทศญี่ปุ่น เพื่อชื่นชมความงดงามของ ‘มหานครโตเกียว’ ที่เป็นเมืองหลวงและสัมผัสกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมที่สอดแทรกอยู่ตามจุดต่าง ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยว แต่คงมีผู้ชายน้อยคนที่จะรู้จัก ‘เกียวโต’ อดีตเมืองหลวงของประเทศนี้ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขาของภูมิภาคคันไซ ที่นี่ไม่เพียงเป็นเมืองเก่าแก่ที่รวมเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และมรดกโลกเอาไว้ หากยังเป็นที่ตั้งของคาเฟ่ช็อกโกแลตแบรนด์ดังใต้ชายคาบ้านเก่าสองชั้นที่มีอายุร่วมร้อยปี Fumihiko Sano Studio ได้สร้างร้านกาแฟควบช็อปช็อกโกแลตภายใต้แบรนด์ ‘Dandelion Chocolate’ ซึ่งถือเป็นบริษัทผลิตช็อกโกแลตอันโด่งดังที่มีสาขากระจายตัวอยู่ทั่วอเมริกาและญี่ปุ่น เมื่อเล็งเห็นเสน่ห์บางอย่างของเมืองเกียวโต แบรนด์ช็อกโกแลตรายนี้จึงเนรมิตบ้านเก่าสองชั้นที่มีอายุกว่าร้อยปี ให้กลายเป็นคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นและถอดแบบรสชาติช็อกโกแลตดั้งเดิมของซานฟรานซิสโกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน Dandelion Chocolate ตั้งอยู่บนนถนนที่เงียบสงบในย่าน Ichinenzaka ของเมืองเกียวโต ภายในพื้นที่ 200 ตารางเมตร มีช็อปช็อกโกแลตขนาดย่อมสำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อกลับบ้าน มีบาร์โกโก้ให้สั่งเครื่องดื่มหรือแอลกอฮอล์แกล้มกับช็อกโกแลตของทางร้าน แถมภายนอกยังรายล้อมไปด้วยบรรยากาศสวนแบบดั้งเดิมสไตล์ญี่ปุ่น การตกแต่งภายในร้านเลือกใช้ไม้ซีดาร์เป็นวัสดุหลักของตัวโครงสร้าง พร้อมวางต้นซีดาร์ไว้บริเวณจุดศูนย์กลางของร้าน เพื่อสะท้อนถึงความสอดรับกันของเมนูช็อกโกแลตและไม้ซีดาร์ ซึ่งต้องใช้ทักษะงานคราฟต์และส่วมผสมที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจึงจะสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาได้ นอกจากนั้นไม้ซีดาร์ที่ประดับประดาตามจุดต่าง ๆ ยังบ่งบอกเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย จากความตั้งใจอยากรื้อฟื้นบรรยากาศเมืองเกียวโตแบบดั้งเดิมและสอดแทรกความเป็นซานฟรานซิสโกเข้าไว้ด้วยกัน ทีมสถาปนิกจึงรีโนเวตพื้นที่ภายให้ดูร่วมสมัย แต่ก็ไม่ทิ้งโครงสร้างเก่าของตัวบ้านอย่างคานและเสา ออกแบบพื้นที่ให้โปร่ง โล่ง สบาย ด้วยบานหน้าต่างกระจกทรงสูงที่ประดับแนบผนังตามทิศต่าง ๆ ของร้าน ช่วยเชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน แถมยังเป็นการสร้างสเปซกว้างขวางในพื้นที่ขนาดย่อมได้อย่างไร้ที่ติ Dandelion Chocolate
บ่อยครั้งที่เรามีโอกาสเห็นการ์ตูนหรือแอนิเมชันชื่อดังเข้ามาวนเวียนจับคู่กับแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือรองเท้าก็ตาม และในครั้งนี้ Reebok ก็ได้จับมือกับ Sanrio ออกรองเท้าผ้าใบคอลเลกชันพิเศษที่เต็มไปด้วยความน่ารักแบบกวน ๆ เพราะไข่ขี้เกียจที่หลายคนรู้จักจะมาอยู่บนรองเท้าผ้าใบ Sanrio เป็นชื่อของบริษัทออกแบบและครอบครองลิขสิทธิ์ลายเส้นของตัวการ์ตูนดังของญี่ปุ่นจำนวนมากทั้ง Hello Kitty, My Melody, Bad Badtz-maru, Little Twin Stars รวมถึงไข่ขี้เกียจแสนคุ้นตาอย่าง Gudetama หลาย ๆ คนอาจจะเคยเห็นเจ้าไข่หน้าตาง่วงนอนผ่านตาอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะแฟนชอบดู หรือเห็นแล้วจำได้เพราะหน้าตาของไข่มันน่ารักแบบกวน ๆ โดย Gudetama เป็นชื่อตัวการ์ตูนที่เกิดจากการรวมกันของคำว่า Gudegude (ぐでぐで) ที่แปลว่า ทรงตัวไม่ได้ และคำว่า Tama (たま) แปลว่าไข่ ตรงกับคาแรกเตอร์ของตัวละครเป๊ะ เพราะเราแทบจะไม่เคยเห็นไข่ขี้เกียจยืนทรงตัวดี ๆ ได้สักครั้ง แต่ใครจะคิดว่าไข่หน้าโง่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างจะเกิดจากไอเดียพร้อมจิกกัดสังคมทุนนิยมของ Amy ผู้สร้างตัวการ์ตูน Gudetama เพราะไข่ขี้เกียจ หมดเรี่ยวหมดแรงไร้ความกระตือรือร้น เปรียบเหมือนกับเหล่าวัยรุ่นผู้สิ้นหวังกับสังคมและเศรษฐกิจจนไม่อยากจะลุกออกไปไหนหรือทำอะไรทั้งที่ตัวเองก็มีความสามารถ (ว่าไปนั่น) ด้วยเรื่องราวสะท้อนสังคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้าตาเมา ๆ ของไข่ขี้เกียจ
ใคร ๆ ก็รู้ว่านาฬิกาทุกเรือนมีไว้เพื่อบอกเวลา แต่สิ่งที่ทำให้นาฬิกาทุกเรือนแตกต่างกันคือคอนเซ็ปต์ เช่นเดียวกับแบรนด์นาฬิกาแบรนด์หนึ่งนามว่า Richard Mille มีจุดขายคือความแพง แต่เมื่อก่อนยังถือเป็นแบรนด์ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักและไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ Rolex หรือ Patek Philippe ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้ในตอนนี้คนไทยส่วนมากจดจำชื่อรวมถึงรูปร่างหน้าตาของ Richard Mille ได้แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า Richard Mille เริ่มเป็นที่จดจำ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปพบกับนาฬิกาเรือนล่าสุดของแบรนด์ว่าอะไรคือความพิเศษที่ทำให้นาฬิกาสุดอินดี้แบรนด์นี้กลายเป็นของหายากมีราคาเหยียบล้าน Richard Mille เป็นนาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ได้แรงบันดาลใจจากกีฬามอเตอร์สปอร์ต ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1999 ซึ่งแต่ละรุ่นก็โดดเด่นต่างกันไป บางรุ่นชูเรื่องความแข็งแรงมาพร้อมกับน้ำหนักแสนเบา อย่าง RM 50-03 Mclaren F1 มีน้ำหนักเบากว่าเหล็ก 6 เท่าแต่แข็งแกร่งมากกว่าถึง 200 เท่า ด้วยส่วนประกอบของไทเทเนียมและอื่น ๆ ทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีราคาสูงถึง 1 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยราว 33 ล้านบาท RM27-02 Rafael Nadal Edition ชูเรื่องน้ำหนักสุดเบา ด้วยนาฬิกาทั้งเรือนมีน้ำหนักเท่ากับเหรียญ 1
ถ้าเทียบกับส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ย่าน “เมือง” จะเป็นที่แรก ๆ ที่โดนเปลี่ยนแปลงก่อน แถมยังต้องปรับเปลี่ยนหน้าตาบ่อย ๆ เพื่อพัฒนาพื้นที่ตอบโจทย์คนมาใหม่และคนที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม หนึ่งในพื้นที่นั้นคือ “สามย่าน” โซนความเจริญที่มีแหล่งร้านอาหารเพียบ เลยไปหน่อยก็เจอหัวลำโพง ใกล้ MRT มีวัด ขยับไปอีกด้านมีห้าง มหาวิทยาลัย ศูนย์รวมความทันสมัยมากมายที่พวกเราต่างไปที่นั่นกันบ่อย ๆ แล้วนอกจากพื้นที่สาธารณะล่ะ? พื้นที่ส่วนตัวประเภทที่อยู่อาศัยมีอะไร เขาอยู่กันแบบไหน ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพื้นที่ใหม่? Art of Ars ครั้งนี้เราขอชวนชาว UNLOCKMEN ที่กำลังกระหายศิลปะกับความรู้สึกแปลกใหม่ กำลังอยากเติมไอเดียไปดูนิทรรศการในสามย่านที่ The Shophouse 1527 พื้นที่ทดลองแห่งใหม่จากความร่วมมือของ Cloud Floor, If และ soi | ซอย ที่เพิ่งเปิดตัวนิทรรศการแรกเล่าความสัมพันธ์กับคนและสถาปัตยกรรม โดยใช้ชื่อว่า Resonance of Lives at 1527 คุณเคยเห็นตึกเก่า คุณเคยเห็นตึกใหม่ที่โดนรีโนเวตแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเห็นตึกนั้นตอนเปลี่ยนแปลง นี่คือคอนเซ็ปต์ตั้งต้นของ Resonance
สำหรับผู้ชายทุกคน เรามักเอาชนะหรือพิชิตแต่ละเป้าหมายในชีวิตได้ด้วยความพยายามเสมอ เช่น หากผลงานที่ทำออกมายังไม่ดีพอก็ต้องพัฒนาความสามารถของตัวเองให้เพิ่มขึ้นไป หรือถ้ารู้ว่าตัวเองยังขาดความรู้ที่จำเป็นในเรื่องอะไร ก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจจนเชี่ยวชาญ จนท้ายที่สุดสิ่งที่เราลงมือลงแรงไปก็สำเร็จออกมาเป็นผลด้านบวกตามความพยายามเสมอ แต่หนึ่งเรื่องที่หนุ่ม ๆ อย่างเราไม่เคยควบคุมได้เลย คือเรื่องของการเริ่มต้นและสานความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ชอบ โดยเฉพาะถ้าสาวคนนั้นอยู่ในฐานะเพื่อนหรือเพื่อนสนิทที่รู้จักกันดี พอมีโอกาสรุกคืบเริ่มจีบทีไร ก็รู้สึกกลัวการสูญเสียความสัมพันธ์ที่เคยมีไปจนทำให้เกิดคำถามว่า ผู้ชายจะเข้าหาเพื่อนเพื่อพิชิตใจอย่างไร ? วิธีที่ทาง UNLOCKMEN อยากเสนอเป็นตัวเลือกวันนี้คือ การเข้าหาพวกเธอผ่านทาง “เสียงดนตรี” เพราะสิ่งนี้คือตัวบ่งบอกถึงรสนิยมและตัวตนของพวกเธอได้เป็นอย่างดี รวมถึงเป็นพื้นฐานความชอบที่สามารถปรับตัวเข้ากันได้ง่ายซึ่งวิธีและขั้นตอนควรมีเทคนิคอย่างไร มาเรียนรู้ไปพร้อมกัน ทำความรู้จักแนวเพลงและศิลปินที่เธอชอบ เราจะไม่มีวันเข้าใกล้เธอผ่านทางเสียงดนตรีได้สำเร็จ ถ้าไม่เคยล่วงรู้เลยว่าเพื่อนสาวที่แอบชอบอยู่ มีรสนิยมการฟังเพลงแบบไหนหรือศิลปินที่ชื่นชอบของเธอคือใคร เพราะแนวดนตรีที่เธอหลงใหลจะเป็นตัวบอกให้เรารู้จักรสนิยมส่วนตัว รวมถึงเรื่องความหมายของเนื้อเพลงที่เธอเลือกฟังบ่อย ๆ สามารถนำมาตีความออกมาได้ว่าลึก ๆ แล้วเธอกำลังมองหาความสัมพันธ์แบบไหนให้ชีวิตอยู่กันแน่ แน่นอนว่าการจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปถามว่า เธอชอบฟังเพลงแบบไหนอยู่ ขอฟังด้วยคนสิ คงเป็นวิธีการที่ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย แถมอาจทำให้เธอรู้ตัวจนไม่กล้าแสดงตัวตนจริง ๆ ออกมา ลองหันมาใช้วิธีการสังเกตและใส่ใจเพื่อดูว่าลิสต์เพลงโปรดของเธอจะมีเพลงแบบไหนรวบรวมเอาไว้อยู่บ้าง อาจขอเป็นคำแนะนำว่ามีเพลงแนวไหนที่น่าสนใจเป็นพิเศษ หรือไม่ก็ลองยืมเพลย์ลิสต์ใน Spotify ของเธอมาฟังแบบที่ไม่แสดงออกเจตนาว่าเรากำลังอยากทำความรู้จักเธอให้มากขึ้นเพื่อเริ่มต้นความสัมพันธ์ลับ ๆ ข้างเดียวอย่างราบรื่น แบ่งปันบทเพลงของคุณให้เธอได้รู้จัก หลังทำความรู้จักแนวเพลงที่เธอชอบไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะแบ่งปันความเป็นตัวเองให้เธอได้ทำความรู้จักตัวตนของคุณบ้าง ด้วยการแอบเนียนแบ่งปันเพลงและศิลปินที่คุณหลงใหลกลับไป แต่การจะหยิบความชอบส่วนตัวไปยัดใส่ใครตรง
‘โจ้ อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต’ หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อนามสกุลนี้ เพราะฟังแล้วคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นชื่อของดาราหรือนักการเมืองคนไหน แต่ถ้าหากเอ่ยชื่อ ‘Joey Boy’ (โจอี้ บอย) ขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ อยู่ส่วนไหนในประเทศ เราเชื่อว่าคุณจะต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน บทเพลงของเขาคือยาปลุกความสนุกที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านาน ตลอด 25 ปี ที่เหยียบย่างเข้ามาในวงการ โจอี้ บอยเป็นทั้งนักร้อง นักแสดง โค้ช กรรมการรายการประกวดร้องเพลง นักกีฬายิงธนู หรือแม้กระทั่งนักกีฬาทีมชาติพารามอเตอร์ก็เป็นมาแล้ว เขาคือชายที่ผ่านมาหมดทุกเวที ไม่แปลกที่หลายคนจะยกย่องให้เขาเป็นมากกว่าแค่ศิลปิน แต่เป็นถึง ‘เอนเตอร์เทนเนอร์’ ระดับพระกาฬ ที่ยากจะมีใครเทียบเท่า และวันนี้ UNLOCKMEN จะมานั่งคุยสบายกับเซียนเวทีผู้นี้ ที่บอกกับทางทีมเราว่า “วันนี้ไม่ได้มาในร่างโจอี้ บอยนะ แต่มาในร่างพี่โจ้” จำเวทีแรกของตัวเองได้ไหม จริง แล้ว ออดิชันแรกของผมคือการเปิดหมวกครับ ตอนนั้นผมยังไม่ได้เป็นโจอี้ บอยเลย แค่เข้าไปคุยกับพี่ ๆ ที่เบเกอรี่มิวสิคว่าผมอยากเป็นนักร้อง อยากทำอัลบั้ม เขาก็ให้ทำแบบนี้ คือเอาเครื่องเสียงไปตั้งอยู่หน้าร้าน ‘เปี๊ยก ดีเจสยาม’ ร้องเพลงอย่างไรก็ได้ให้คนเข้ามาดู