หากพูดถึงชื่อผู้กำกับในดวงใจ เชื่อว่าชื่อของ J.J. Abrams จะขึ้นมาเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของคอหนัง Sci-Fi อย่างแน่นอน นอกจากจะเป็นผู้กำกับในดวงใจแล้ว ตอนนี้อาจจะเป็นเจ้าของค่ายเพลงในดวงใจอีกต่างหาก เพราะเขากำลังจะเปิดค่ายเพลงอินดี้ มาดูกันว่าผู้กำกับคนเก่งคนนี้ทำไมถึงหันมาเปิดค่ายเพลงกัน About J.J. Abrams เราอาจจะคุ้นเคยกับชื่อของ J.J. Abrams ในฐานะผู้กำกับมือฉมังชาวอเมริกัน ที่ฝากผลงานเอาไว้ให้เราได้จดจำมากมายนับไม่ถ้วน นอกจากผลงานกำกับแล้ว เขาไม่หยุดตัวเองไว้แค่นั้น ทั้งงานเขียนบท Producer โดยผลงานที่สร้างชื่อให้เขามักจะเป็นภาพยนตร์แนว Sci-Fi อย่าง Armageddon, Cloverfield, Star Trek, Star Wars: The Force Awakens ความอัจฉริยะของเขานั้นถูกส่งต่อจากคุณพ่อของเขา Gerald W. Abrams ก็เป็นผู้กำกับละครทีวีเช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ ในตอนแรกเขาตัดสินใจอยากจะเข้าโรงเรียนศิลปะแบบเฉพาะทาง แต่สุดท้ายเขาก็เข้ามหาวิทยาลัยตามคำแนะนำของพ่อเขา เขาฉายแววความสามารถในวงการจอเงินตั้งแต่อายุ 15 เขาเริ่มทำเพลงให้กับภาพยนตร์ของ Don Dohler และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มจับงาน Producer จนมาถึงภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาเขียนบทอย่าง Taking Care
ถือว่าข่าวแรงพอสมควรในช่วงนี้ สำหรับกระแสการเฟ้นหา James Bond คนใหม่ เพื่อมาแทนที่ Daniel Craig ซึ่งจะอำลาบทบาทพยัคฆ์ร้าย 007 หลังจากจบตอนที่ 25 ของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชุดสายลับอันโด่งดังนี้ โดยที่แคนดิเดทที่กำลังถูกพูดถึงอย่างมากคงจะหนีไม่พ้น Idris Elba นักแสดงผิวสีชาวอังกฤษ ขึ้นแท่นมาเป็นเต็งหนึ่งตามที่สื่อหลาย ๆ เจ้าคาดการณ์กันว่าจะเข้ามารับช่วงต่อ และกลายเป็น James Bond ผิวสีคนแรกอีกด้วย ซึ่งอันที่จริงแล้ว Idris Elba เป็นนักแสดง Under Radar มากที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะภาพยนตร์ที่เขานำแสดงส่วนใหญ่จะไม่ได้โด่งดังและเป็นที่พูดถึงมากนัก ยกเว้นบทในภาพยนตร์ซีรีส์ John Luther แต่ทว่าบทสมบทต่าง ๆ ที่ Idris ไปร่วมแจมมักจะขโมยซีนตัวเอก อาทิ Heimdall ใน Thor หรือบทตัวร้ายอย่าง Krall จาก Star Trek : Beyond ดังนั้นก็ต้องมาลุ้นกันว่าสุดท้ายแล้ว Idris Elba จะกลายมาเป็น James Bond
เพราะความเท่ของยานพาหนะไม่จำกัดอยู่แค่ซูเปอร์คาร์คันหรูเท่านั้น รถที่บึกบึนแข็งแกร่งพร้อมลุยทุกสภาพการเดินทางจากแบรนด์ Hummer ก็เท่ไม่แพ้กัน วันนี้ UNLOCKMEN ขอพูดถึงรถรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายนี้ Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 เจ้า Hummer คันนี้สมบุกสมบันไม่ต่างจากรถที่ใช้กันในกองทัพ มันถูกออกแบบมาให้สามารถทนต่อความโหดร้ายสภาพแวดล้อมและภูมิประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสนามรบ ทะเลทรายร้อนระอุ หรือแม้กระทั่งทุ่งหิมะแห่งอาร์กติกก็ไม่ใช่ปัญหา มาเหอะพร้อมลุย! Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 คือรถกระบะ 4 ประตูที่พัฒนาจากรุ่นก่อน ๆ หลายด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางขึ้นถึง 8 นิ้วทั้งด้านหน้าด้านหลัง เครื่องยนต์ขนาด ทอร์โบชาร์จเจอร์ขนาด 6.6 ลิตร พร้อมความแรง 500 แรงม้า และแรงบิด 1000 lb-ft Mil-Spec Hummer H1 Launch Edition No. 003 ไม่ได้มีดีแค่ความแข็งแกร่งสมบุกสมบันลุยได้ทุกที่เท่านั้น เพราะภายในก็สะดวกสบายไม่แพ้รถยนต์หรูหราทั่วไปเลย เบาะหนังกันน้ำเย็บมือชั้นดีมาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงดำกระหึ่ม ดังนั้นไม่ว่าสภาพแวดล้อมภายนอกจะโหดร้ายแค่ไหน
‘งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา’ คือสัจธรรมความจริงของทุกอย่างบนโลก เช่นเดียวกับวงการมังงะที่ตอนนี้งานเลี้ยงซึ่งเฉลิมฉลองต่อเนื่องยาวนานมากว่า 15 ปีกำลังจะสิ้นสุดลง เพราะล่าสุดมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า ‘Gintama’ มังงะจอมกวนที่อยู่คู่นิตยสาร Shonen Jump มาอย่างยาวนานจะจบบริบูรณ์ในอีก 5 ตอนข้างหน้า ถึงแม้ว่าจะพอรู้อยู่บ้างแล้ว แต่เมื่อมีประกาศออกมาจริง ๆ เราก็อดใจหายไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่แฟนเดนตายแต่ก็ติดตามมาโดยตลอด และตัวละครอย่าง ‘ซากาตะ กินโทกิ’ ก็กลายเป็นหนึ่งใน Iconic ของ Shonen Jump ไปแล้วก็ว่าได้ เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง นารูโตะ, ลูฟี่, และกอร์น ดังนั้นอย่างน้อยก่อนจากลากันเราจึงอยากเขียนถึง Gintama ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้มังงะเรื่องนี้ครองใจนักอ่านและอยู่ยั้งยืนยงใน Shonen Jump มากว่า 15 ปี ผสมความสนุกกับเกร็ดประวัติศาสตร์เข้าด้วยกัน เรื่องราวของ Gintama เกิดขึ้นในยุคเอโดะ เป็นช่วงที่กำลังเปลี่ยนผ่านอำนาจการปกครองจากระบบโชกุนสู่ระบบบริหารโดยรัฐบาลกลาง ซึ่งผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือการที่เหล่าซามูไรผู้อารักษ์ขาบรรดาโชกุนต่างพากันตกงานกันอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนต่างต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความหวังในการมีชีวิต Gintama อ้างอิงบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนอยู่จริงมากมายหลายคน จึงทำให้ผู้อ่านอย่างเราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่เสิร์ฟมาพร้อมความสนุกไปในตัว ใครบอกว่า Gintama เป็นการ์ตูนตลกโปกฮาไร้สาระไปวัน ๆ เราขอเถียงขาดใจ! ทุกตัวละครต่างมีด้านดี ไม่เว้นแม้แต่ตัวร้าย ตัวละครฝ่ายร้ายส่วนใหญ่ที่เราเจอในมังงะมักจะมีแค่มิติเดียว สีดำสนิทจิตใจเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
เราเคยปัดโทรศัพท์จนสุดรายชื่อ แต่ไม่รู้จะโทรไปเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังบ้างไหม… ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างที่มาพร้อมเพศ หลาย ๆ ครั้งเรามักสะสมความผิดหวังไว้กับตัวโดยไม่ระบายออก มองความท้อแท้เป็นศัตรูที่ต้องพุ่งเข้าไปพิชิต และเมื่อพบกับความพ่ายแพ้ เราตำหนิตัวเองอย่างรุนแรง จนมันกลายเป็นรอยแผลเป็นน่าเกลียดที่เราหันไปมองซ้ำแล้วซำ้เล่าและทวีขนาดขึ้นในวันที่เราจิตใจเศร้าหมอง แด่คนที่บรรยากาศในใจเหมือนสภาพอากาศนอกหน้าต่างในวันนี้ (ฝนตกฟ้าครึ้ม) ไม่รู้จะอธิบายความอึดอัดใจที่เจอกับใคร UNLOCKMEN ขอพาคุณมาตามหาเหตุผลที่เราควรคุยกับคนแปลกหน้า และพาคุณไปรู้จักทางออกที่ทำให้รู้ว่า เมื่อคุณเจอปัญหาและต้องการใครสักคนรับฟัง ควรจะมุ่งหน้าไปที่ไหน เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราถึงควรคุยกับคนแปลกหน้าสักคน ไม่ว่าเราจะมีปัญหาหรือไม่ก็ตาม หรือเวลาไม่สบายใจทำไมเราถึงอยากเล่าเรื่องที่เจอให้คนไม่รู้จักฟังมากกว่า นักพูดสร้างแรงบันดาลใจจากเวที Ted ที่ชื่อว่า Kio Stark คือคนหนึ่งที่เลือกประเด็นนี้มาเป็นหัวข้อทอล์กของเธอ และท้าให้ทุกคนที่ฟังลุกขึ้นมาพูดคุยกับคนแปลกหน้าอย่างไม่ต้องเขินอายหรือพะวงมากนัก แก่นของการทอล์กครั้งนี้ คือประโยชน์ที่เธอพบมันด้วยตัวเองหลังจากเริ่มปฏิสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จัก 2 ประการใหญ่ที่เปลี่ยนความคิดไปตลอดการ เรื่องแรกคือเราได้ปลดปล่อยความรู้สึกเป็นอิสระ ทั้งทางความคิดและทัศนคติ เพราะเมื่อเราคุยกับคนแปลกหน้า เราจะเลิกตัดสินคนที่พบเจอ ไม่แบ่งเพศ สีผิว และความสัมพันธ์ว่าคนเหล่านั้นคือเพื่อนหรือไม่ แต่มอง “คน” ในฐานะ “บุคคล” แทน ซึ่งเธอเองก็ได้รับการปฏิบัติมาในแบบเดียวกัน…การรับความรู้สึกว่ามีใครสักคนรับรู้การมีอยู่และตัวตนของเราทำให้รู้สึกดีและมีค่ายิ่งขึ้น ประการที่สองคือการส่งผ่านความรู้สึกถึงกันได้ผ่านความใกล้ชิดชั่วขณะได้ดี เหตุผลที่ทำให้เราสุขมากกว่าเมื่อคุยกับคนแปลกหน้าเพราะเราปราศจากอคติ และไร้ความคาดหวังต่อกัน ถ้าเป็นคนใกล้ชิดที่รู้จักกันเราอาจต้องระวังคำพูดทั้งส่วนที่เราจะพูดออกไป และระวังคำพูดที่จะตอบกลับมา ในขณะที่คนแปลกหน้า เรามีโอกาสเจอกันครั้งนี้แต่อาจจะไม่เวียนกลับมาคุยกันอีก แล้วคนที่พร้อมจะฟังเราอยู่ที่ไหน? ถ้าผู้ชายอย่างเราอยากระบายความอ่อนแอในใจให้ใครสักคนฟัง ว่าควรทำอย่างไร
นับตั้งแต่รองเท้าซี่รี่ย์ Air Jordan คู่แรกถูกวางขายในปี 1984 เป็นต้นมา ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี กับบทบาทในวงการกีฬาและแฟชั่น ทำให้มันกลายมาเป็นหนึ่งในรองเท้าที่ได้รับความนิยมสูงสุด พร้อมกับราคาที่อัพขึ้นทุกปี ทำให้มีหลายคนคิดจะหาเงินแบบผิด ๆ จากความต้องการทำกำไรจากตลาด Sneakers ที่หอมหวาน ล่าสุดจึงมีคดีใหญ่สะเทือนวงการ Sneakers โดยค่ายที่เกี่ยวข้องแบบเต็ม ๆ ก็คือ Nike หลังตำรวจนิวยอร์กได้จับกุมนักลักลอบขนของเถื่อนเข้าประเทศ 5 คน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวของกับการนำเข้ารองเท้า Nike และ Air Jordan ปลอมมากกว่า 385,280 คู่ เข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เดือน มกราคม 2016 ถึง มีนาคม 2018 โดยซุกซ่อนแฝงเข้ามากับสินค้าอื่น ๆ ในตู้คอนเทนเนอร์กว่า 42 ตู้ ซึ่งคาดว่าถูกสั่งมาจากโรงงานในประเทศจีน เช่นเดียวกับสินค้าปลอมส่วนใหญ่ที่สหรัฐต้องจัดการล้วนมาจากที่นี่ทั้งสิ้น ถ้าประเมินผลกระทบด้านมูลค่า หากรองเท้าปลอมเหล่านี้หลุดรอดเข้าไปในสหรัฐได้สำเร็จ จะสร้างความเสียหายต่อตลาดรองเท้าและต่อ Nike มากถึง $73 ล้านเหรียญ
หลายคนบ่นกันเหลือเกินว่า 24 ชั่วโมงมันไม่พอ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์เคลียร์ Duty ทั้งหลายไม่ค่อยลงเท่าไหร่ หัวฟูตั้งแต่ต้นสัปดาห์ยันวันหยุด ลองมาเปลี่ยนตัวเองให้ใช้เวลากันแบบชาญฉลาดดีกว่า UNLOCKMEN ขอแนะนำเทคนิคบริหารเวลาที่มีแบบเจ๋ง ๆ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วมาจัดการตัวเองแบบมีสติ จะได้มีเวลาเหลือ ๆ นอนชิลกันบ้าง เพื่อให้ทุกวันจันทร์ของเราไม่เป็นวันที่แสนน่าเบื่ออย่างที่คนอื่นเขามีกัน แถมยังเป็นวันที่เราอยากให้มาถึง เพื่อที่จะได้ปล่อยพลังของเราให้เต็มที่ และใช้ชีวิตในวันหยุดแบบสุดเหวี่ยงได้แบบไม่มีภาระมาเกาะหลัง ปรับนิสัย รู้ว่านิสัยไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ แต่เคยลงมือหรือยังว่าตัวเองจะเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน การทำอะไรซ้ำ ๆ กัน 21 วัน หรือ 30 วัน ถูกยืนยันมาแล้วว่าช่วยให้เปลี่ยนพฤติกรรมของเราได้จริง ๆ ไม่ว่าจะเคยมีนิสัยแบบไหนมาก่อน ดูอย่างเวลาเข้างาน ไม่ว่าเราเคยตื่นสายตอนมหาวิทยาลัยแค่ไหน แต่พอมาทำงาน เราก็ต้องปรับตัวเองไปเรื่อย ๆ แม้ว่าช่วงแรกมันจะรู้สึกยากแค่ไหน แต่ถ้าหากความจำเป็นมันบังคับ เราจะค่อย ๆ หาทางให้ตัวเองทำมันได้ในที่สุดเอง ปรับพลัง แพลนก็ก็อปเพื่อนมาเลยนี่หว่า ทำไมของเรายังไม่ลงตัวซะที จริง ๆ แล้วแพลนที่เรามีมันอาจจะลงตัวแล้วก็ได้ แต่เราอาจจะทำมันด้วยพลังที่ไม่มากพอ ลองเติม Energy เข้าไปให้ตัวเองมากขึ้นมากกว่านี้
ภาพยนตร์ Begin Again เคยบอกไว้ว่า เราสามารถดูได้ว่าเขาเป็นคนยังไงได้จาก Playlist ที่เขาฟัง นั่นคงเป็นเพราะเรามักจะมองหาคนที่เข้าขาถูกคอกันบนจุดร่วมอะไรสักอย่าง อย่างเรื่องเพลงที่ฟังเหมือนกันก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย แล้วเพลงประเภทไหนใน Playlist กันล่ะ ถึงจะถูกใจสาว ดึงดูดเพศตรงข้ามให้เข้ามาสปาร์คกัน ได้สานสัมพันธ์ต่อ UNLOCKMEN จะพามาดูกันว่าหนุ่มคอเพลงแนวไหนที่มีโอกาสได้คู่เดตมากกว่าคนอื่น มันไม่แปลกเท่าไหร่นักหรอกที่คนรสนิยมเดียวกันจะดึงดูดเข้าหากัน คนเดียวกันก็มักจะคุยกันไหลลื่นเป็นสายน้ำอยู่แล้ว และเชื่อเถอะว่าเรามักจะแอบบวกคะแนนให้อยู่ในใจสำหรับคนที่รสนิยมใกล้เคียงกับเรา แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่ามีคนฟังเพลงประเภทไหนที่จะมาถูกใจเราบ้าง ตอนนี้ขอแจ้งข่าวดีกับหนุ่มที่ฟังเพลงคันทรี่ และสาวที่ฟังเพลงร็อกแอนด์โรล มีโอกาสได้คู่เดตมากกว่าคนที่ฟังแนวเพลงประเภทอื่น ผู้ให้บริการ Online Dating ที่มีโปรไฟล์ของหนุ่มสาวโสดกว่า 9 ล้านคน เลือกที่จะให้ใส่ประเภทของดนตรีที่ให้ความสนใจลงไปในโปรไฟล์ด้วย จากการศึกษาพบว่า ผู้ชายที่ฟังเพลงคันทรี่ และระบุมันลงในโปรไฟล์หาคู่เนี่ย ได้รับความสนใจจากคู่เดตมากถึง 32% ส่วนสาว ๆ ที่ฟังเพลงร็อกอย่าง Led Zeppelin, Queen และ The Rolling Stones ได้รับความสนใจล้นหลามไปถึง 68% มาดูกันที่หนุ่มคันทรี่ของเรากันบ้าง นอกจากจะได้รับความสนใจมากกว่าแล้ว ในบรรดาสาว ๆ ที่ให้ความสนใจ พวกเขายังมีโอกาส Match
ผ่านพ้นไปที่เรียบร้อยสำหรับงาน MTV Video Music Awards ประจำปี 2018 ซึ่งถือเป็นเวทีใหญ่ของวงการอุตสาหกรรมเพลงทางฝั่งอเมริกา สำหรับเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่ค่อยอิน แล้วสงสัยว่า MTV เพราะเกิดมาในยุคที่วิดีโอทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ใน YouTube หรือ Vimeo แต่ทว่าคนวัย 25 อัพล้วนเติบโตมากับยุคของ MTV ที่ต้องเฝ้ารอมิวสิควิดีโอจากศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ โดยในปีนี้ศิลปินที่เข้าชิงรางวัลมากที่สุดได้แก่ Cardi B ด้วยจำนวนทั้งหมด 13 รางวัล ซึ่งงานนี้ถือเป็นการปรากฎตัวครั้งแรกต่อสาธารณะชน หลังจากเธอให้กำเนิดลูกสาวเมื่อเดือนกรกฎามที่ผ่านมา วันนี้ UNLOCKMEN ขอนำเสนอ Music Video ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในสาขาต่าง ๆ มาให้ทุกคนได้ติดตามกัน Video of the Year Camila Cabello (featuring Young Thug) — “Havana” Artist of the Year Camila Cabello Song of the
“การนอนหลับ” คือหนึ่งในความสุขของมนุษยชาติ แต่ด้วยภาระหน้าที่และชีวิตประจำวันที่แตกต่างกัน ทำให้พวกเรามีเวลาพักผ่อนมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนได้นอนยาวจนเพียงพอ บางคนต้องปะติดปะต่อให้เต็มอิ่ม บางคนนอนหัวค่ำ บ้างก็นอนเช้า ไม่ก็อดนอนบ้างในบางวัน ซึ่งมันไม่มีผิดมีถูกอะไร เพราะเงื่อนไขคนเราย่อมไม่เหมือนกัน แม้ว่าเวลาการนอนของหนุ่ม ๆ อย่างเราจะเป็นเรื่องปัจเจก แต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่บริหารชีวิตประจำวันของตัวเองให้สามารถเข้านอนในเวลาที่เหมาะสม แถมตื่นแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเสียอีก แค่คิดก็รู้สึกง่วงแล้ว เราเองคงงัดตัวเองออกจากที่นอนตอนเช้าขนาดนั้นไม่ได้แน่ ๆ ขอชื่นชมอยู่ห่าง ๆ ดีกว่า (ฮา) แต่พอมานอนนึกดูดี ๆ ข้อดีของการตื่นแต่ไก่โห่มันก็มีหลายอย่างนะ ลองดูสักตั้งดีมั้ย ปรับเวลานอนของตัวเองให้เร็วขึ้น แล้วมาตื่นก่อนหรือพร้อม ๆ กับดวงอาทิตย์ แล้วเริ่มชีวิตตั้งแต่เช้ากันดีกว่า น่าจะมีอะไรดี ๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งนี้ไม่มากก็น้อย ประโยชน์ของการตื่นนอนแต่เช้า เพิ่มประสิทธิผลในการทำงาน โลกของเราในเวลา 6 โมงเช้ามันช่างเงียบสงบ คนรอบข้างและสังคมส่วนใหญ่ยังไม่มีใครตื่น ห้างร้าน บริษัท สถานที่ราชการต่าง ๆ ก็ยังไม่เปิด เพราะฉะนั้นเวลานี้คือเวลาดีที่เราจะเริ่มต้นวันใหม่ เวลาดี ๆ เช่นนี้เหมาะกับการวางแผนการใช้เวลาในวันนี้ จัดการงานเล็กงานน้อย เคลียร์งานนอกเพื่อไม่ให้กระทบกับงานหลัก เริ่มไล่เช็กอีเมล หรือออกกำลังกายก็ดี