รถยนต์และผู้ชายแยกออกจากกันไม่ได้เพราะมันคือสัญชาตญาณที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด สังเกตได้จากทุก ๆ ครั้งที่ Supercar คันงามเคลื่อนตัวผ่านไปด้วยความเร็ว เสียงของเครื่องยนต์มันจะกระตุ้นให้หัวใจเต้นรัว เลือดลมสูบฉีด จนเราต้องหันไปมองตามแบบอัตโนมัติเสมอ แต่ถ้าพูดถึง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ Electric Car ผู้ชายอย่างเรากลับพากันเบือนหน้าหนี Say No กันเป็นแถบ เพราะภาพลักษณ์ของคอนเซ็ปต์รักโลก ทำให้จินตนาการแทบไม่ออกว่าจะทำความเร็วได้สะใจแค่ไหน เสียงมอเตอร์ไฟฟ้าจะมันส์เท่าเสียงเครื่องยนต์เผาไหม้ได้ยังไง แต่วันนี้กรอบความคิดเก่า ๆ นั้นจะถูกทลายลงด้วยพระเอกจากสองโลก Vanda Dendrobium หลังจาก Vanda Electrics บริษัทด้านนวัตกรรมการขนส่งและไฟฟ้าสัญชาติสิงคโปร์เปิดตัวโมเดลรถต้นแบบของ Vanda Dendrobium ในงาน Geneva International Motor Show 2017 พร้อมกับเสียงตอบรับในด้านบวกมากมาย แต่ของในฝันมักต้องรอคอยเสมอ เมื่อ Vanda Electrics ได้ทิ้งคอนเซ็ปต์คร่าว ๆ เรียกน้ำย่อยไว้ แต่กลับเงียบหายไปเกือบ 1 ปีเต็ม ๆ จนในที่สุด Larissa Tan ซีอีโอของ Vanda Electrics ได้ออกมายืนยันแล้วว่ากำลังจะเริ่มพัฒนาและสร้าง
แม้เทคโนโลยีล้ำ ๆ ในปัจจุบันจะก้าวหน้าไปมาก ทำให้เราสามารถเข้าถึงเสียงเพลงได้ง่าย เพียงแค่ควักสมาร์ตโฟนออกมาและเสียบหูฟังเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันเครื่องเล่นเพลงดี ๆ สักเครื่องก็เป็นสิ่งที่ผู้ชายผู้รักในเสียงเพลงควรจะมีติดบ้านไว้เช่นกัน เพราะนอกจากเพลงที่เลือกฟังแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกของมันยังสามารถบ่งบอกรสนิยมได้ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลใน American Muscle Car คงไม่มีอะไรตอบโจทย์ได้ดีไปกว่า ION : Mustang LP เครื่องนี้ ดีไซน์ของ Mustang LP อาจดูคุ้นตากันดีสำหรับแฟนพันธุ์แท้ที่ติดตามซีรีส์ของม้าป่ามานาน เพราะการออกแบบได้รับแรงบันดาลใจมาจาก หน้าปัดวัดความเร็วของ Ford Mustang ปี 1965 พร้อมปุ่ม Tuning แบบแอนาล็อก ทำให้ตัวเครื่องดูคลาสสิกโดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่ม แต่ขณะเดียวกันกลับดูโฉบเฉี่ยวเข้ากับยุคสมัยได้อย่างลงตัว นอกจากเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกอันสวยงามแล้ว Mustang LP ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันการใช้งาน แบบ 4 in 1 คือ Turntable , Radio , USB และ AUX ที่สามารถเล่นและอัดเสียงพร้อมรับการเชื่อมต่อทุกรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการ ทั้งยังมีลำโพงภายในขนาด 1.2 วัตต์อีก
เป็นเรื่องที่กำลังฮือฮาใน Reddit เว็บไซต์พูดคุยครอบจักรวาล เมื่อมี User ที่ใช้ชื่อว่า Eriegin โพสต์ภาพรถ Supercar 2 คันจอดในโรงรถสภาพฝุ่นเกาะแน่นพร้อมข้อความว่า “ ถึงจะเต็มไปด้วยสนิมและฝุ่น แต่ Lamborghini Countach ของคุณยายแม่งก็ยังเจ๋งอยู่ดี!” จนทำให้คนคลั่งรถจำนวนมากร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเมามัน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาอยากทำหน้าที่หลานชายผู้น่ารัก เลยอาสาทำความสะอาดโรงรถให้คุณย่าของเขา แต่เมื่อเลื่อนประตูโรงรถขึ้นกลับต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อมีรถ Supercar 2 คัน จอดนิ่งสงบเหมือนไม่มีใครเคยแตะต้องเป็นเวลานาน! ความจริงปรากฏเมื่อคุณย่าเล่าให้เขาฟังว่า มันเคยเป็นของปู่ ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ในเวลาต่อมาราคาประกันรถยนต์ Supercar ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแพงมาก ๆ เริ่มพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของบริษัท จึงจำเป็นต้องจอดปีศาจทั้งสองตัวทิ้งไว้จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลารวมกันเกือบ 20 ปี รถคันแรกคือ Ferrari 308 GTS สีแดงสด มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 2.9 ลิตร กำลังขับ 237 แรงม้า ซึ่งคาดว่าหากออกขายทอดตลาดราคาจะอยู่ที่ ประมาณ 25,000 – 80,000
กลิ่นเท้าคือสิ่งที่ผู้ชายอย่างเราไม่ควรมองข้าม เพราะมันทำให้เราไม่น่าเข้าใกล้ในสายตาคนอื่นได้ หากหล่อ เท่ มาแต่ไกล แต่ถอดรองเท้าออกกลับมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ปะปนมาด้วย ใคร ๆ ก็คงเบือนหน้าหนี UNLOCKMEN โคตรเข้าใจว่าการรอซัก-ตาก นอกจากต้องมีเวลาว่างแล้ว ยังต้องวัดดวงกับฝนฟ้าที่ตกลงมาแบบไม่เคยให้ได้ตั้งตัวอีก แต่ปัญหาเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องเล็กทันที ถ้ามี Shoe Deodorizer : MS-DS100 เครื่องนี้คอยช่วยชีวิต MS-DS100 ถูกออกแบบและพัฒนาโดย Panasonic โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยี “Nanoe X” ที่มีอนุภาคไอออนพิเศษ คุณสมบัติของมันช่วยขจัด Isovakeric Acid ซึ่งคือการทำปฏิกิริยากันระหว่างเหงื่อที่เท้ากับเชื้อแบคทีเรียที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์ในรองเท้าผู้ชายอย่างเรานั่นเอง ทั้งนี้ MS-DS100 ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้ในบ้านและสะดวกต่อการพกพา ด้วยฟังก์ชันซึ่งถูกออกแบบมารองรับการทำงานร่วมกับแบตเตอรี่โทรศัพท์ ทำให้คุณไม่ต้องกังวลว่าจะมีข้อจำกัดเรื่องสถานที่ วิธีใช้ก็เรียบง่ายเพียงแค่วาง Shoe Deodorizer : MS-DS100 ไว้บนรองเท้าคู่ที่ต้องการกำจัดกลิ่น โดยมีโหมดทำงานให้เลือก 2 รูปแบบคือ Normal Mode ที่ใช้เวลาในการกำจัดกลิ่นประมาณ 5 ชั่วโมงหรือ Long Mode ซึ่งใช้เวลา 7 ชั่วโมง
นั่งทำงานไปนาน ๆ ก็ออกจะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ลุกขึ้นไปยืดเส้นยืดสาย บุหรี่ยามบ่ายสักตัว และถ้าได้ฟังเพลงปลุกพลังสักหน่อยคงจะช่วยให้สดชื่นขึ้นไม่น้อย สำหรับใครที่เป็นสายปลุกพลัง เพลงมันส์ ๆ เร้าใจ เราขอแนะนำ WAKE UP YOUR PASSION PLAYLIST : 10 เพลงปลุกไฟให้ลุกพรึบสำหรับปั่นงานให้หมดโต๊ะ แต่สำหรับใครที่สายชิล อยากจะได้เพลงชวน Keep Calm ยามบ่าย ปลุกไฟด้วยความชิล ลองกด PLAY กับเพลย์ลิสต์นี้กันสักหน่อย แล้วปล่อยสมองให้โลดแล่นไปกับเสียงเพลง สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify เราจัด Playlist ไว้ให้ฟังกันง่าย ๆ เหมือนเดิม Elliott Smith – Say Yes Iron and Wine – Time after Time Bon Iver – Holocene Fleet Foxes – If You
แม้ว่าเซ็กซ์จะเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์เราดำรงเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต แต่เซ็กซ์ดูจะเป็นกิจกรรมที่ให้เราได้เสพความสุขกับมันเสียมากกว่า เมื่อเราเริ่มที่จะใส่ลูกเล่นเข้าไปในเซ็กซ์ให้มันหฤหรรษ์ยิ่งขึ้น แม้ว่าแต่ละคนจะมีรสนิยมเกี่ยวกับเซ็กซ์แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกหวังจากเซ็กซ์เหมือนกันคือความสุขที่ถึงฝั่งฝันทั้งระหว่างทางและตอนจบ จากประสบการณ์เสพสุขในเซ็กซ์มาเนิ่นนานของมนุษย์ จนเผ่าพันธุ์เพศชายได้มีวลีเด็ดอย่าง “The Crazy Ones Are Better In Bed” ไว้เป็นเรื่องโจ๊กบนความจริงกันว่าผู้หญิงที่ดูเพี้ยน ๆ นี่แหละ ถึงเวลาแล้วเด็ดจริง แต่นั่นเป็นเพียงวลีบอกเล่าปากต่อปากหรือว่าวิทยาศาสตร์ยืนยันได้กันแน่ ? คำตอบจาก UNLOCKMEN คือ วิทยาศาสตร์ยืนยันเรื่องนี้ได้จริง ๆ มาดูกันว่าคำตอบของมันคืออะไรกันแน่ จากการศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่าง Journal Of Sex ของ Julia Velten และทีมพบความเชื่อมโยงระหว่างนิสัยส่วนตัวและความพึงพอใจบนเตียงว่า “ผู้ชายที่มีคู่นอนเป็นสาวอารมณ์ไม่คงที่ กลับมีความพึงพอใจในเซ็กซ์อย่างมาก” หนุ่มคนไหนมีแฟนขี้เหวี่ยง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอาจจะยิ้มกว้างเมื่อได้ยินแบบนี้ ถ้ามองในเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์นั่นคงเป็นเพราะคนที่มีอารมณ์ไม่คงที่ มักจะมีปัญหาทางอรมณ์อื่น ๆ ด้วย อย่างรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ค่อยนับถือตัวเอง หรือรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเท่าที่ควร นั่นเลยทำให้สาวที่มีนิสัยแบบนี้มักจะไม่ค่อยออกคำสั่งอย่างที่ตัวเองต้องการ เพราะมักจะเก็บงำความคิดและความต้องการไว้ที่ตัวเองคนเดียว และปล่อยมันออกมาเมื่อระเบิดลงนั่นเอง พอไม่เอ่ยปากสั่งแบบนี้แล้วก็เข้าทางหนุ่ม ๆ ที่จะได้บรรเลงเพลงรักตามสไตล์ของตัวเองแบบเต็มที่ ทำหน้าที่ฝ่ายรุกได้แบบเต็มข้อนั่นเอง พอฝ่ายชายได้คุมเกมเองก็ถือว่าเข้าทางเลยล่ะ เพราะเท่ากับว่าทุกอย่างมันจะเป็นไปตามความต้องการของฝ่ายชาย ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายรุกก็ไม่สำคัญ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายหญิงอยากทำตามความพอใจของฝ่ายชายมากกว่า
แม้ว่าผู้ชายอย่างเราจะชอบออกกำลังกายแค่ไหน แต่มันก็มักจะเป็นเรื่องยากที่จะตื่นแต่เช้าเพื่อมา workout ก่อนทำอย่างอื่น เพราะว่ามันค่อนข้างฝืนเมื่อเทียบกับชีวิตประจำวันที่ทุ่มเทกับการทำงานจนถึงค่ำมืด จากนั้นก็แบ่งเวลาให้คนรอบข้าง กว่าจะกลับบ้านนอนก็ดึกดื่น แบบนี้ใครมันจะไปตื่นไหว !? แต่ถ้าปล่อยให้ชีวิตประจำวันเป็นเหตุผลในการไม่เริ่มต้นปฏิวัติตัวเองก็คงดูไม่เข้าที มาลุยกันสักตั้งดีกว่า พยายามเข้านอนก่อนห้าทุ่มให้ได้ จะได้ตื่นเช้า ๆ ราวหกเจ็ดโมง แล้วมาออกกำลังกายตามโปรแกรมนี้ที่ UNLOCKMEN แนะนำเลย ขอบอกว่าโปรแกรม workout ยามเช้าที่เอามาแชร์กันนี้ใช้เวลาไม่นาน ไม่ยาก และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตได้ดี ส่งผลให้พวกเรามีพลังทั้งวัน เอ้า เริ่มได้! โปรแกรมนี้แบ่งเป็น 5 ชุด ให้ไล่ลุยต่อเนื่องตามลิสต์นี้เลย เหนื่อยหน่อย แต่ถ้าตื่นเช้ามาทำได้บ่อย ๆ แล้วจะโคตรดี Workout 1 Jumping Jacks – 60 วินาที Body-Weight Squats – 30 วินาที Plank – 60 วินาที Mountain Climbers – 30 วินาที พัก 30 วินาที
การสั่งซื้อรองเท้าออนไลน์กลายเป็นอีกช่องทางช็อปปิ้งของผู้ชายสาย Sneakerhead อย่างเรา เพราะปัจจัยหลายอย่างที่ไม่เอื้อให้เราไปซื้อเองที่ร้านอีกต่อไป หรือบางครั้งรุ่นที่ต้องการก็เป็นของหายากซึ่งมีขายแค่ในต่างประเทศเท่านั้น ลำบากต้องมานั่งรอพ่อค้าสายหิ้วไปอีก แต่เมื่อเรากลายร่างมาเป็นนักช็อปฯ ออนไลน์มือใหม่ กลับต้องนั่งกุมขมับงงเป็นไก่ตาแตกกับสารพัด Code แปลก ๆ ที่คนขายพิมพ์ต่อจากชื่อรุ่น ไม่ว่าจะเป็น DS , VNDS , OG , PE , LE สำหรับคนที่โปรอยู่แล้ว คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าเป็นบางคนซึ่งยังไม่เชี่ยวชาญ แต่อยากได้รองเท้าดี ๆ มาครอบครองสักคู่แล้วละก็ กว่าจะทำความเข้าใจด้วยตัวเองของจะพาลหมดสต๊อกไปเสียก่อน วันนี้ UNLOCKMEN จะขออาสาไขความกระจ่างของรหัสอักษรเหล่านี้ให้เอง 1. รหัส DS หมายถึง Deadstock DS คืออักษรย่อที่บ่งบอกว่ารองเท้าคู่ดังกล่าวไม่มีวางขายตามร้านทั่วไปแล้ว และไม่มีการเก็บไว้ในสต๊อก พูดง่ายๆ คือขายดีจนเกลี้ยงไปแล้ว บางรุ่นอาจยกเลิกสายการผลิต ไม่มีคู่ใหม่แน่นอน ตัวอย่างเช่น Converse ที่ผลิตใน ปี 60 s , 70 s ,
ช่วงสามถึงสี่ปีที่ผ่านมา วงการแฟชั่นสปอร์ตแวร์ถือว่าคึกคัก และก้าวกระโดดอย่างมาก เพราะแต่ละแบรนด์ต่างงัดเอาของดีออกมาปล่อย พร้อมขยับปรับกลยุทธ์ เพื่อสอดคล้องกับเทรนด์การแต่งตัวของคนในยุคปัจจุบันที่หันมาสนใจเรื่องของแอคทีฟสไตล์ จนเราจะสามารถเห็นคนใส่สูทกับรองเท้าผ้าใบ หรือคนแต่งตัวสบาย ๆ ไปทำงานได้มากขึ้นอย่างเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว โดยวันนี้ UNLOCKMEN ได้นำข่าวซึ่งถือว่าน่าสนใจไม่น้อยสำหรับแบรนด์ยักษ์หลับอย่าง Reebok มาฝากกัน โดยถ้าพูดกันตามความจริงแล้ว หลังจากยุค 90’s เป็นต้นมาถือเป็นดาวร่วง ที่ไม่สามารถสร้างผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จับโปรเจ็คต์ไหนก็ดูจะเจ๊งไปเสียหมด ทว่ายังโชคดีที่ยังมีบุญเก่า และรองเท้าเก๋า ๆ โมเดลคลาสสิคก่อนหน้านี้ จึงทำให้ยังสามารถพยุงบริษัทให้ดำเนินกิจการต่อไปได้ แต่จากข่าวล่าสุดน่าจะเป็นทิศทางอันยอดเยี่ยมอีกครั้ง เมื่อ Matt O’Toole ประธานบริษัท Reebok ได้เปิดเผยถึงการว่าจ้างอดีตผู้บริหารระดับสูงจาก Nike อย่าง Kelly Hibler ให้มารับตำแหน่ง General Manager ของไลน์ Reebok Classic เพื่อหวังจะฟื้นฟูสินค้าให้กลับมาโด่งดังอีกครั้ง ในส่วนของ Kelly Hibler จะเข้ามารับหน้าที่ดูแลภาพรวมของไลน์สินค้า Reebok Classic ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต ประชาสัมพันธ์ และการกระจายตลาด โดยเบื้องต้นเขามีความคิดที่จะนำโมเดล Classic
นี่คือเรื่องราวและรายละเอียดของ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ซูเปอร์คาร์ที่เดินทางผ่านยุคสมัยมาจากยุค 60 และตอนนี้มูลค่าของมันพุ่งสูงถึง 2-3 ล้านเหรียญหรือกว่า 70-120 ล้านบาท เช่นเดียวกับรถยนต์ราคาแพงระยับคันอื่น ๆ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมากมาย เรื่องแรกและเป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือรถรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ตอนนี้เดิมทีเป็นโมเดลที่ทาง Ferrari สร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบและพัฒนาเท่านั้นไม่ใช่โมเดลที่สร้างขึ้นมาเพื่อวางจำหน่าย ถ้าใครเป็นสาวกรุ่นเก๋าของแบรนด์รถยนต์สัญชาติอิตาลีแบรนด์นี้คงสังเกตเห็นความแตกต่างของทั้ง 2 โมเดลได้ เนื่องจากขนาดและตำแหน่งของไฟเลี้ยวด้านหน้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับไฟท้ายด้านหลังที่โมเดลต้นแบบจะมี 3 ดวงแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่จะมีเพียงแค่ 2 ดวง ด้วยความแตกต่างและมีจำนวนจำกัดนี้จึงเป็นสาเหตุให้ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ราคาพุ่งสูงจนทะยานเข้าไปอยู่ในลิสต์หนึ่งในรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ตัวต้นแบบใช้เครื่องยนต์ V-6 ขนาด 2 ลิตร โดยติดตั้งตามแนวยาวซึ่งแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่ติดตั้งตามแนวขวาง นอกจากนั้นแถบโครเมียมด้านข้างและที่ปัดน้ำฝนขนาดใหญ่ซึ่งจะมีเพียงในโมเดลต้นแบบเท่านั้น แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโมเดลการผลิตหลักแต่ทาง Ferrari ก็ผลิตออกมาเพียง 152 คันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารุ่นโมเดลต้นแบบนั้นจะหายากและมีจำนวนน้อยแค่ไหน บางทีราคา