“แก้วใครเป็นแก้วใครวะเนี่ย?” เชื่อว่าผู้ชายอย่างเรา ๆ ต้องเคยเจอปัญหาแบบนี้เวลา hangout กับเพื่อน หรือระหว่างพักเบรกกินของว่างตอนสัมมนา คุยเพลิน ๆ วางแก้ววางกระป๋องไว้หันมาอีกทีเจอแฝดหน้าเหมือนกันเด๊ะ ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครเลยยอมช่างแม่งเรื่องอนามัย หยิบของใครได้ก็กิน ๆ ไปก่อน ถ้าคนไหนพอรู้หลบหลีกเก่ง ๆ ก็อาจจะใช้วิธีปักหลักตรงจุดที่วางแก้วไว้แล้วส่องเรื่อย ๆ หรือสแกนจากสายตา กะ ๆ ปริมาณเครื่องดื่มในแก้วกันพลาด แต่แค่นั้นก็ประกันไม่ได้หรอกว่าเราจะโดนวางยาจากเพื่อนสายเติมของเราไหม ทั้งที่เรื่องพวกนี้เป็นปัญหาง่าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรามาตลอด แต่ดันไม่มีใครมาแก้มันสักที วันนี้เราเลยไปเสาะหาวิธีทำให้ชาว UNLOCKMEN ล้ำกว่าใครไปอีกระดับ ด้วยการแนะนำกับโปรดักส์ดีไซน์เท่ ๆ ที่เห็นได้เลยว่าคนออกแบบแม่งก็คิดง่าย ๆ แต่ดันไม่มีใครทำกันมายั่วน้ำลายให้ซื้อ My Can กระป๋องบอกเจ้าของ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เปลี่ยนกระป๋องชีวิตก็เปลี่ยนจากการดีไซน์ง่าย ๆ แค่เพิ่มตัวเกาะขอบนิดหน่อยก็บอกได้แล้วของใครเป็นของใคร คอนเซ็ปต์งานดีไซน์ครั้งนี้ชื่อว่า My Can เป็นของดีไซน์เนอร์แดนมังกร 3 คน ชื่อ Binglin Wei, Fang Lu
อินโนเวชั่นของแต่ละยุคเรียกได้ว่าวิ่งแข่งแซงกันไปมาในแต่ละปีแบบไม่หยุดยั้ง รวมถึงเจ้าแป้นพิมพ์หรือที่เรียกทับศัพท์กันจนติดปากว่า “คีย์บอร์ด” ด้วยก็ตาม ยิ่งนับวันจะยิ่งบาง เรียบ ใช้ง่าย และไร้เสียงรบกวน แต่ความทรงจำอันหอมหวานของเรายังคงอยู่กับเจ้าเครื่องพิมพ์ดีด ที่หน้าตาโคตรเชยแต่มันคือจุดเริ่มต้นของการพิมพ์ความเร็วแสงของเราในปัจจุบัน แต่จะนำมาใช้อีกก็คงลำบาก วันนี้ UNLOCKMEN ขอแนะนำคีย์บอร์ดวินเทจแบบเครื่องพิมพ์ดีด ให้ทุกคนได้รำลึกถึงความหลังกันแบบเท่ ๆ Gadget สุดเจ๋งจาก AZIO คีย์บอร์ดสุดวินเทจ “RETRO CLASSIC BT Vintage Typewriter Bluetooth Backlit Mechanical Keyboard” ที่ให้คุณได้ย้อนเวลาไปฟังเสียงต๊อกแต๊กอันเป็นเอกลักษณ์เวลาใช้พิมพ์ดีด มีสี่สีสุดคลาสสิคให้เลือกกันแบบตรงใจ แม้หน้าตาจะวินเทจแต่ก็ใส่ฟังก์ชั่นล้ำ ๆ ของยุคนี้ลงไปแบบครบถ้วน เรียกได้ว่าไฮเทคในคราบวินเทจเลยจริง ๆ โดยฟังก์ชั่นเด่น ๆ มีดังนี้ รองรับกับทั้ง PC & MAC USB TYPE-C น้ำหนักเบาเพียง 1587 กรัม เท่านั้น แป้นมีเสียงแบบพิมพ์ดีด และไฟ backlight LED เพิ่มความสวยงาม แบตลิเทียม 6,000 mAh รายละเอียดและสเปกอื่น
ท่ามกลางคำว่ารักมากมายที่โผล่ขึ้นมาในห้วงความคิดของเรานั้น มันทำให้พาลคิดถึง ‘อำนาจ ชุติคุณากร‘ หรือที่คนส่วนใหญ่ในแวดวงยานยนต์รู้จักเขาในชื่อ ‘หนึ่ง – Muffler Design’ ชายผู้รักรถยนต์มากเป็นชีวิตจิตใจ ชายคนนี้ถือเป็นตัวอย่างอีกด้านของความรัก ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของความรู้สึกดี ๆ อันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์มีให้แก่กัน แต่มันเป็นความรักของคน ๆ หนึ่ง ที่มอบให้กับสิ่งที่เขาทำอย่างเต็มที่สุดหัวใจ แม้ก่อนหน้านี้จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในเส้นทางที่หลายคนอิจฉา แต่ในเมื่อความรู้สึกบอกว่านั่นมันไม่ใช่ทางที่เขารัก เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นทุกอย่างใหม่ เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้ว สิ่งที่เขารัก สิ่งที่เขาอยากทำมันคืออะไรกันแน่ และเมื่อได้คำตอบ เขาก็เลือกที่จะกระโจนเข้าไปลงมือทำมันอย่างไม่ลังเล แม้จะเป็นทางที่ยาก แม้จะเป็นทางที่ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่ด้วยคำว่า “รัก” มันคือพลังที่ทำให้เขามุ่งมั่นไปในเส้นทางที่ใจอยากอย่างตั้งใจ จนผลลัพธ์ที่ได้มันไม่ใช่แค่ความสำเร็จเรื่องเงินทอง แต่มันคือการได้ตื่นขึ้นมาทำสิ่งที่ตัวเองรักอย่างมีความสุขในทุก ๆ วัน และในวันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกท่านไปพูดคุยกับเขา เพื่อฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับที่มาที่ไปของร้าน Muffler Design ร้านออกแบบท่อไอเสียชื่อดัง ซึ่งเป็นผลิตที่เกิดจากความรัก ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ทำไมการทำท่อไอเสียรถยนต์มันถึงเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล จนยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาเริ่มต้นใหม่ และเหตุผลใหญ่ ๆ ที่คนมาเปลี่ยนท่อไอเสียกันมันคืออะไร แค่อยากให้เสียงดังสนั่นลั่นถนนคือคำตอบใช่หรือไม่ วันนี้เราจะพาไปไขข้อข้องใจกับทุกคำถามที่หลายคนอยากรู้ จุดเริ่มต้นของ Muffler
Mizuno ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์เก่าแก่ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาโด่งดังในด้านอุปกรณ์กีฬานานาชนิด ที่การันตีความคราฟต์ตามแบบฉบับ Made in Nippon โดยตลอดระยะกว่า 110 ปีที่ Mizuno ยืนเคียงคู่วงการกีฬาผลิตนวัตกรรมต่าง ๆ มากมายเพื่อโลกเสมอมา ด้วยเรื่องราวประวัติความเป็นมาขนาดนี้ ทีมงาน UNLOCKMEN จึงอยากจะหยิบประวัติศาสตร์ของแบรนด์ รวมถึงก้าวเดินต่อไปของพวกเขามาเล่าสู่กันฟัง จุดเริ่มต้นของ Mizuno Mizuno ก่อตั้งขึ้นในปี 1906 จากความตั้งใจของ Rihachi Mizuno และน้องชายที่ได้เดินทาไปท่องเที่ยวในประเทศสหรัฐอเมริกาจนเกิดความหลงใหลในกีฬาเบสบอล จึงหวังว่าจะกลับพัฒนาอุปกรณ์กีฬาคุณภาพสูงในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งในช่วงเวลาแรก Mizuno ทุ่มเทแรงงานไปกับการผลิตอุปกรณ์เบสบอล ก่อนที่จะเริ่มผลิตโปรดักช์อื่น ๆ อาทิ เทนนิส กอล์ฟ สกี ฟุตบอล หรือแม้กระทั่งแฮนด์บอล ตามมาในภายหลัง จุดมุ่งหมายของ Rihachi Mizuno ในการสร้าง Mizuno ก็เพื่ออยากจะรีดศักยภาพของนักกีฬาญี่ปุ่นที่มีขีดจำกัดกว่านักกีฬาชาติอื่น ๆ ให้มีผลงานยอดเยี่ยมทัดเทียมกัน เพราะเขาเชื่อว่าความสามารถถือเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จแต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่นักกีฬาได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นตลอดเวลา Mizuno ถึงหมกหมุ่นอยู่กับการหาเทคโนโลยีล้ำสมัยจนมีคำขวัญประจำบริษัทว่า “ไม่เคยหยุดนิ่ง” กระทั่งช่วงกลางยุค 80s พวกเขาก็ได้ค้นพบกับนวัตกรรมของตัวเองและเป็น
ความสูญเสียเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเสมอ แม้ว่าร่างกายจะจากไป แต่สิ่งที่อยู่คือตัวตนที่ยังอยู่ในฐานะของความทรงจำ เช่นเดียวกับ 2Pac แรปเปอร์ชื่อดังผู้ล่วงลับ เจ้าของเพลงดังยอดฮิตอย่าง “California Love” แม้ว่าเขาจะจากไปแล้วแต่ก็ยังคงเป็นที่รักของแฟนเพลง เพื่อน ๆ และครอบครัวอยู่เสมอ แต่ดูท่าเหล่าเพื่อน ๆ ของเขาอย่าง The Outlawz จะรักเขามากไปหน่อย เลยเอาอัฐิของเขามายำกับเนื้อแล้วก็โดนกันไปคนละหลุมสองหลุมซะอย่างนั้น! UNLOCKMEN จะมาเล่าให้ฟังกันว่าเรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ทำไมมันดันออกมาแบบนี้ได้ อย่างที่อ่านไป ไม่ผิดแน่นอนมีข่าวลือออกมาหนาหูว่า “The Outlawz เอาอัฐิ 2Pac ผู้ล่วงลับมายำเนื้อเพื่อรำลึกถึงเขา” VladTV จึงสัมภาษณ์ The Outlawz ถึงข่าวลือที่ว่านั่น แล้วก็ได้รับการยืนยันจากปากพวกเขาว่ามันคือ เรื่องจริง! เรื่องของเรื่องคือ The Outlawz กลุ่มเพื่อนคนสนิทของ 2Pac ที่ยังคงรำลึกถึงเพื่อนรักอยู่เสมอเลยรวมตัวกันไปแฮงเอาท์ริมทะเลแบบที่เขาชอบทำเสมอ สมัยที่ 2Pac ยังอยู่ จนกระทั่งพวกเขาฟังเพลง ‘Black Jesus’ และเกิดสะดุดหูกับท่อน “Cremated, last wishes niggas smoke my ashes” เลยเกิดปิ๊งไอเดียว่า เฮ้ย! นี่มันคำขอสุดท้ายของเพื่อนรักนี่หว่า
คุณมีรอยสักหรือเปล่า? ถ้ามี รอยสักก็เป็นบางสิ่งที่แสดงความเป็นตัวคุณได้แบบสุดขั้วมากพออยู่แล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราบอกคนอื่นว่า เฮ้ย รอยสักเรามาจาก Tattoo Artist ที่ไม่มีแขนว่ะ! อ้าวเฮ้ย! แล้วเขาใช้อะไรสักให้เรา แล้วมันจะออกมาสวยไหม Tattoo Artist ที่ไม่มีแขนเขาจะทำงานกันอย่างไร วันนี้ไม่ต้องทนสงสัยอีกต่อไป เพราะนี่คือเรื่องของ Tattoo Artist ที่โคตรสร้างแรงบันดาลใจ เพราะจากการไม่มีแขน สู่การมีแขนเทียม ไปจนถึงการมีแขนเทียมเป็นเครื่องสักอัจฉริยะที่สรรค์สร้างศิลปะได้แม้ไร้แขนจริง JC Sheitan Tenet เป็นชายชาวฝรั่งเศสผู้ สูญเสียแขนขวาท่อนล่างไปเมื่อ 24 ปีก่อน แน่นอนว่าในขณะนั้น ความหม่นเศร้าย่อมแผ่ขยายปกคลุมรอบ ๆ ตัวเขา เพราะเขาจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าชีวิตเขาจะไปในทิศทางไหนต่อ ยิ่งจินตนาการว่าเขาจะกลับมาวาดภาพ เขียนภาพอย่างที่เคยทำได้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ แต่โลกใบนี้ก็สอนให้เรารู้จริง ๆ ว่า ไม่มีอะไรใหญ่หรือไกลเกินความฝันของเราเพราะเมื่อปี 2016 JC Sheitan Tenet ได้แขนเทียมเป็นของตัวเอง แต่ที่แม่งโคตรจะคูลกว่านั้นคือมันเป็นแขนเทียมพิเศษที่โมดิฟายเข้ากับเครื่องสักอีกด้วย! JC Sheitan Tenet เป็น Tattoo Artist
วาเลนไทน์แล้วไปไหน? คำถามที่ยากพอ ๆ กับตายแล้วไปไหน? มีคู่ก็ดีไปสิ ไปไหนก็ได้ขอให้มีสาวข้างกาย แต่ผู้ชายสายนก สายเศร้า สายบ๊วย สายรักสนุกจะไปไหนกันดี? ก็เป็นเรื่องที่คิดหัวแทบแตกมา 364 วันแล้ว ถ้าจะคิดเยอะขนาดนั้น UNLOCKMEN จะไม่ปล่อยให้คุณปวดกบาลเพียงลำพัง เพราะวันนี้เรามี 5 อีเวนท์สุดแสบที่ไม่เอาใจคนมีคู่มากนักมาฝากกัน รับรองว่าวาเลนไทน์ของคุณจะไม่ใช่วันแห่งความรักดาด ๆ อีกต่อไป Tinder Valentine นี่เป็นอีเวนท์สุดกวนตีนจาก Bad Taste Cafe บาร์คราฟต์เบียร์ในซอยลาดพร้าว 21 (ติด MRT ลาดพร้าว) ที่ปกติก็จัดอะไรกวน ๆ ล้อกับ Internet Calture เป็นประจำอยู่แล้ว คราวนี้พวกเขากลับมาพร้อมอีเวนท์รับวันแห่งความรักที่เอาใจผู้ชายสายนกเป็นพิเศษ ด้วยการแจกเบียร์คราฟต์ฟรีปลอบใจให้กับผู้ชายที่ปัดขวาทินเดอร์ 10 ครั้ง แล้วไม่แมทช์สักครั้ง ไปเลย 1 ขวดถ้วน ที่สำคัญมันไม่ใช่การปัดซ้าย ปัดขวาธรรมดา ๆ ที่หน้าบาร์ แต่เขาจะเอาจอทินเดอร์เราขึ้นโปรเจคเตอร์ยักษ์กลางร้าน! เพื่อให้คนที่นั่งอยู่ในร้านเชียร์บอล เอ้ย เชียร์เราว่าเราจะปัดซ้ายคนไหน
ความฝันของผู้ชายทุกคนนั้นต่างกัน แต่ถ้าจะถามว่าหนึ่งในเป้าหมายชีวิตของหนุ่ม ๆ หลายคนคืออะไร การเป็นเจ้าของธุรกิจก็คงจะเป็นหนึ่งในคำตอบ แต่การจะทำอะไรของตัวเองให้เป็นชิ้นเป็นอันนั้นทุกคนรู้อยู่ว่ามันไม่ง่าย ไหนจะต้องศึกษาเรื่อง demand ของลูกค้า สร้างสรรค์สินค้าและบริการสุดประทับใจ รวมทั้งหาวิธีลดต้นทุนและความเสี่ยง ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำธุรกิจที่เราต้องเรียนรู้ คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะลุยกับมันสักตั้ง แต่ว่า… …มันจะต้องมีเสียงจากความเป็นห่วงของคนรอบข้างที่บางคอมเม้นต์อาจไม่สร้างกำลังใจ แต่กลับทำให้เรากลัวที่จะก้าวสู่โลกของการแข่งขัน อาจเป็นความเห็นจากเพื่อนของคุณเอง หรือคนที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์การทำธุรกิจก็ได้ เอาหละ อย่าเพิ่งถอดใจ UNLOCKMEN มีวิธีที่จะช่วยคุณก้าวผ่านความเห็นเหล่านี้และเริ่มต้นได้อย่างสบายใจขึ้น “นายต้องมีทุนหนานะเพื่อน” การจะทำธุรกิจส่วนตัวต้องเริ่มจากความตั้งใจจริงและมีวินัยในตัวเอง ไม่ใช่เริ่มจากเงินมหาศาล ถ้าเราไม่ได้มีกองเงินกองทอง การค่อย ๆ ลงทุนและได้กำไรพอหอมปากหอมคอ แล้วค่อยขยับขยายตามจังหวะที่สมควรก็เป็นทางออกที่ดี หลาย ๆ บริษัทที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ทั้ง Dell, Facebook, Apple, Microsoft, eBay และ SAP ต่างเริ่มจากค่อย ๆ ประคองตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน “นายต้องใช้เวลานานนะ กว่าจะเริ่มทำธุรกิจได้” นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่าง Bob Adams เริ่มต้นกิจการภายในไม่กี่สัปดาห์ แผนธุรกิจของเขาที่ Cape Cod ใช้เวลา 5 อาทิตย์ในการสร้างกำไร ค่อย
เดือนกุมภาพันธ์ ภาพความรักหวานสดใสอบอวลไปทั่วพื้นที่ บรรยากาศเทศกาลชวนให้หัวใจสูบฉีด ภาพของคนที่เรารักพร้อมเลือดฝาดแต้มพวงแก้ม รอยยิ้ม ลมหายใจ และอุณหภูมิร่างกายอุ่น ๆ ที่สัมผัสแล้วชวนให้รู้สึกดี แต่มักไม่ค่อยมีใครคิดถึงสิ่งตรงข้าม วันที่หัวใจหยุดเคลื่อนไหว ร่างเย็นเฉียบ ไร้การตอบสนอง และรอวันเน่าเปื่อย กลิ่นหอมคุ้นเคยที่จางผันกลายเป็นความคลุ้งคลื่นเหียนชวนสะอิดสะเอียน ถึงเวลานั้นเราจะยังมั่นคงอยู่เคียงข้างหรืออยากเบือนหน้าหนีกันแน่? กับประเด็นคำถามทิ้งท้ายนั้น เราได้มีโอกาสฟังบทสัมภาษณ์ของพี่วิโรจน์ สุริยเสนีย์ ทายาทรุ่นที่ 2 ของสุริยาหีบศพในรายการ podcast ของ The Secret Sauce มีหลายมุมที่เราไม่เคยรู้และไม่เคยได้ยินจึงอยากเก็บมาแบ่งปันให้ชาว UNLOCKMEN ได้เพิ่มมิติรักให้ครบรส เปลี่ยนมุมมองที่เราอาจจะมีทั้งรักทั้งชังเมื่อได้ยินว่าเขากำลังทำ “ธุรกิจหีบศพ” งานที่แลกลมหายใจคนอื่นเป็นเม็ดเงิน งานอัปมงคล เติบโตจากความรัก ถึงความตายจะเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่มักไม่ค่อยมีใครอยากทำงานกับความตาย เพราะมีความเชื่อว่า “ศพ” หรือร่างไร้ลมหายใจที่เกี่ยวพันกับดวงวิญญาณและความเชื่อนั้นผูกกับความซวยล้วน ๆ ทำไปก็ไม่เจริญ จึงเป็นเหตุผลผู้บุกเบิกกิจการหีบศพอันดับหนึ่งของประเทศไทยอย่าง คุณสมชาย สุริยเสนีย์ เจ้าของกิจการสุริยาหีบศพ ต้องฝ่าฟันกระแสคำต่อต้านของครอบครัวมากมาย แต่สุดท้ายด้วยทัศนคติที่ดีในการทำงานที่ต้องการส่งความรักสุดท้ายของคนเป็นถึงคนตาย และเป็นเพื่อนที่เคียงข้างความเสียใจทุกมิติ จึงทำให้ธุรกิจนี้เติบโตและเป็นท่อน้ำเลี้ยงสำคัญและเป็นหลักพิงให้กับทุกชีวิตในบ้าน และยืนยงมายาวนานถึง 4 ทศวรรษโดยไม่มีใครแทนที่ได้ และมีโอกาสได้รับเกียรติรับใช้ราชสำนัก
ห้วงเวลาของความผิดหวังเป็นเวลาที่ทุกคนต้องเคยเผชิญกันมาแล้วอย่างแน่นอน แม้ว่าจะเป็นคนร่าเริงขนาดไหน แต่ความเศร้าที่เป็นเหมือนเมฆหมอกคอยบดบังแสงอาทิตย์ พาให้ความสดใสที่เคยมีหายไป เหลือแต่คนที่ห่อเหี่ยวเหมือนผักเหี่ยวค้างในตู้เย็น ไม่ว่าจะเศร้าเรื่องอะไรก็ตาม แต่ให้ตายเถอะ เปิดเพลงฟังทีไรก็ยังจะเลือกเพลงเศร้าไว้คอยตอกย้ำตัวเองอยู่ดี (ถ้ายังไม่มีไอเดียเพลงเศร้า เราขอเสนอ Drunk and Drown: Playlist คนเศร้า ขอเหล้าขม ๆ ให้จมน้ำตากันไปข้าง) UNLOCKMEN จะพามาหาเหตุผลว่าทำไมเราถึงฟังเพลงเศร้าแม้ว่าเราจะเศร้าจะตายอยู่แล้วก็ตาม ทบทวนเหตุการณ์ เราไม่ได้อยากจะซ้ำเติมตัวเองกันนักหรอก แต่ในเมื่อเรื่องราวมันแย่ขนาดนี้ เราก็แค่อยากทบทวนตัวเองเท่านั้นเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา แล้วเราทำอะไรลงไปบ้าง การฟังเพลงก็เหมือนเป็นการรีรันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกเพลงที่เรื่องราวตรงกับเรื่องของตัวเองกันอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? เราก็จะได้ทบทวนเรื่องราวของตัวเองที่ซ่อนอยู่ในแต่ละโน้ตของเพลง เหมือนเราได้กลับมาทบทวนกับสิ่งที่ทำลงไปด้วย ความเจ็บปวดบนความสวยงาม ปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่า “ดนตรี” ยังคงเป็นอีกความสุนทรีย์ที่เรารื่นรมย์ไปกับมันได้เสมอ แม้ว่ามัน(และเราเอง)จะอยู่ในมู้ดแห่งความเศร้าก็ตาม อาจจะมีเนื้อเพลง มู้ดแอนด์โทนของเพลงที่เศร้าไปบ้าง แต่ดนตรีก็คือสิ่งที่เราดื่มด่ำกับหลายอย่างประกอบกัน คุณค่าทางสุนทรียศาสตร์ก็ยังคงแฝงตัวอยู่ในทุกตัวโน้ต เราจึงได้ฟีลเจ็บปวดบนความสวยงามของดนตรีนั่นเอง เหมือนมีใครสักคนรับรู้เรื่องราวของเรา อย่างที่บอกว่าหลายครั้งเรามักเลือกเพลงที่มีเรื่องราวตรงกับเรื่องของเรา เพราะว่านั่นหมายถึงเราไม่ได้พบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เพียงคนเดียว อย่างน้อยก็ยังมีเพลงนี้ที่ยังเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา ช่วยให้เรารีแลกซ์ขึ้นมาอีกนิดว่าเราไม่ได้เผชิญปัญหาเพียงลำพังนั่นเอง แม้ว่าจะตรงนิดหน่อยแค่ท่อนสองท่อน แต่คนมันเฮิร์ทอะ แค่นั้นความรู้สึกก็อินจนรู้สึกว่าเพลงนี้แม่งตรงกับชีวิตเราซะเหลือเกิน (ทั้งที่จริงตรงอยู่สองท่อน) ใครที่มีเพื่อน ๆ พี่น้องคอยปลอบใจเป็นที่ระบายก็ดีไป แต่บางคนที่ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้ก็คงต้องพึ่งเพลงที่มันตรงกับชีวิตแบบนี้แหละคอยเป็นเพื่อนที่ร่วมเหตุการณ์เดียวกัน ฟังเพลงเศร้ามันจะเศร้ามากขึ้นหรือจะรู้สึกดีขึ้นกันแน่? เรามาฟังคำตอบจากนักวิจัยอย่าง Taruffi