Entertainment

“LOVE SUX” จาก AVRIL LAVIGNE การกลับมาทวงบัลลังก์ของเจ้าหญิงแห่งป๊อปพังก์กับตัวตนที่ทุกคนคุ้นเคย

By: JEDDY March 10, 2022

Avril Lavigne ศิลปินสาวสายป๊อปพังก์จากแคนาดา ที่คอเพลงสากลยุค 2000’s ต่างรู้จักเธอกันเป็นอย่างดี ฝากเพลงดังเอาไว้บนโลกใบนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Complicated”, “Sk8er Boi”, “My Happy Ending”, “Girlfriend” และอีกมากมาย

นอกจากนั้น Avril ยังมีหน้าตาที่น่ารัก โดดเด่นด้วยการกรีดอายไลเนอร์สีดำเข้ม, สีผมที่แสบตา, มีแฟชั่นการแต่งตัวที่ผสมแนวพังก์อันจัดจ้าน แถมเธอมีความทะเล้นแบบน่ารักอยู่ในตัว แค่นี้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดแฟนเพลงได้ทุกเพศทุกวัย ความสำเร็จใน 3 อัลบั้มแรก Let Go (2002), Under My Skin (2004) และ The Best Damn Thing (2007) ทำให้เธอถูกยกย่องให้เป็นราชินีแห่งวงการเพลงป๊อปพังก์

แต่หลังจากที่กระแสเพลงร็อกซบเซาลงไปทำให้แนวเพลงที่เราคุ้นเคยจากเธอได้เปลี่ยนตามไปด้วย ใน 3 อัลบั้มถัดมา ได้แก่ Goodbye Lullaby (2011), Avril Lavigne (2013) และ Head Above Water (2019) มันได้ทำให้เธอสูญเสียแฟนดั้งเดิมไปไม่น้อย และที่สำคัญมันกลับไม่มีเพลงที่น่าจดจำเหมือนอย่างในยุคแรกของเธอเลย และเหมือนเธอจะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของแฟนเพลง ทำให้เธอตัดสินใจกระโดดกลับเข้าไปในแนวทางดนตรีที่คุ้นเคยอย่าง “ป๊อปพังก์” อีกครั้งในอัลบั้มใหม่ “Love Sux” แค่ชื่อก็เดือดรับประกันความมันส์กันแล้ว

ความน่าสนใจของอัลบั้มนี้เริ่มตั้งแต่โปรดิวซ์เซอร์ที่มาร่วมงาน ซึ่งประกอบไปด้วย Travis Barker จากวง Blink-182, John Feldman จากวง Goldfinger ซึ่งเคยผ่านการโปรดิวซ์ให้กับวงสายป๊อปพังก์และอีโมมามากมาย เช่น Good Charlotte, The Used, Saosin รวมไปถึง Hilary Duff และ Mod Sun แฟนหนุ่มสายแร็ปเปอร์ของเธอเอง (ที่ภายหลังย้ายมาเล่นแนวป๊อปพังก์) “Love Sux” บรรจุเอาไว้ทั้งหมด 12 เพลง ดังนี้


1. Cannon Ball

เป็นแทร็กที่ต้อนรับเข้าสู่อัลบั้มได้ดีจริง ๆ กลิ่นอายของดนตรีที่เราทุกคนคุ้นเคยมันได้ย้อนกลับมาทั้งหมด ดนตรีจังหวะป๊อปพังก์มันส์ ๆ ชวนโดด ชวนโยก ถูกจัดมาเสิร์ฟให้ถึงที่ นอกจากนั้นยังมีซาวด์ของดนตรีสังเคราะห์เข้ามาเพิ่มสีสันให้กับเพลงนี้ด้วย ในพาร์ตของเนื้อหาพูดถึงการไม่แยแสเรื่องราวแย่ ๆ ในอดีตได้อย่างสะใจ


2. Bois Lie (Feat.Machine Gun Kelly)

เพลงนี้ได้ MGK อีกหนึ่งแร็ปเปอร์ที่เทิร์นตัวเองเข้าสู่ป๊อปพังก์มาร่วมแจม ซึ่งเขากำลังเป็นศิลปินที่ร้อนแรงมาก ๆ ในชั่วโมงนี้

ทั้ง 2 คนได้มาถ่ายทอดเรื่องราวของคนปลิ้นปล้อนผ่านดนตรีที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ใครฟังก็ต้องมีรอยยิ้มให้กับเพลงนี้ไม่มากก็น้อย


3. Bite Me

ซิงเกิ้ลเปิดตัวของอัลบั้ม อารมณ์ของเพลงนี้ใกล้เคียงกับ Blink-182 มากเลยทีเดียว ใครที่ได้ชม MV แล้ว น่าจะได้เห็น Travis Barker มาเข้าร่วมซีนในฐานะนักแสดงและมือกลองด้วย

เพลงนี้ทาง Avril บอกว่าเป็นเพลงที่อยากให้ทุกคนเล็งเห็นถึงคุณค่าในตัวเอง และอย่าให้โอกาสใครที่เคยทำร้ายเรากลับเข้ามาในชีวิตได้อีกเป็นครั้งที่ 2


4. Love It When You Hate Me (Feat. Blackbear)

นี่คือบทเพลงของการมาเจอกันระหว่างป๊อปพังก์และฮิปฮอป ซึ่งเรียบเรียงออกมาได้ลงตัวฟังได้ลื่นหูมาก ๆ มีการวางท่อนให้ Blackbear แร็ปเปอร์สุดคูลมาพ่นไรม์เท่ ๆ ไว้ในเพลงนี้


5. Love Sux

ไตเติ้ลแทร็กของอัลบั้มกับเรื่องราวของความรักจอมปลอม ดนตรียังคงความมันส์ไว้ต่อเนื่องแบบไม่ต้องพักกันเลย และเท่าที่ฟังมาทั้งหมด 4 เพลง บอกได้เลยว่าเพลงนี้ให้ อารมณ์ที่ใกล้เคียงกับผลงานของ Avril ในยุค 2000’s มาก ๆ เรียกได้ว่าจับไปมัดรวมอยู่ในอัลบั้มเดียวกันได้เลย


6. Kiss Me Like The World Is Ending

ความร้อนแรงยังคงไม่มีตก พกพาการสาดคอร์ดพร้อมเสียงแตกจากกีตาร์มาแบบจัดเต็ม กรูฟของดนตรีถือเป็นความโดดเด่นในเพลงนี้เลย ส่วนเนื้อหาพูดถึงความรักที่ต้องใช้ความมั่นใจในกันละกันเป็นตัวตัดสิน


7. Avalanche

และแล้วก็มาถึงเพลงของการพักเบรกกับดนตรีจังหวะกลาง ๆ เนิบ ๆ เรื่อย ๆ กับการบรรยากาศที่แสดงให้เห็นถึงความกดดันที่อยู่ภายในจิตใจ แต่ต้องพยายามฝืนยิ้มเพื่อจะบอกทุกคนไ ปว่า “ไม่เป็นอะไร”


8. “Deja Vu”

ขยับความเร็วขึ้นมาอีกนิด แต่ยังคงไม่ทิ้งความหนักแน่นของดนตรีที่เน้นไปที่จังหวะพาโยก ส่วนเนื้อหาภายในเพลงพูดถึงคนที่ทำผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่เคยจำ


9. F.U.

กลับมาสู่โหมดมันส์ ๆ อีกครั้ง อารมณ์รวม ๆ อาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คนนึกถึงวง Paramore ขึ้นมาได้เหมือนกัน ดนตรีที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดสาดใส่คนห่วย ๆ ที่ไม่เคยสนใจในสิ่งที่เราพูด เป็นเพลงที่เปิดกันสนั่นบ้านเมืองและ Social media อยู่ในขณะนี้


10. All I Wanted (Feat.Mark Hoppus)

เป็นอีกหนึ่งเพลงที่มีแขกรับเชิญมาร่วมสร้างความสนุก โดยเพลงนี้ได้ Mark Hoppus จาก Blink-182 มาร่วมผลัดกันตะโกนร้องเพลงกับ Avril ได้อย่างออกรสชาติ


11.  Dare to Love Me

เพลงช้าสุดซึ้งหนึ่งเดียวในอัลบั้ม บทเพลงที่เน้นถ่ายทอดอารมณ์สุดเศร้าด้วยเสียงร้อง, เสียงเปียโน และบรรดากลุ่มเครื่องสาย พร้อมกับข้อความที่เน้นย้ำว่า “อย่าพูดคำว่ารักหากไม่ได้รู้จักความหมายของมัน” คาดว่าเพลงนี้จะต้องถูกนำมาเป็นเพลงโปรโมตด้วยแน่นอน


12. Break Of A Heartache

ส่งท้ายอัลบั้มด้วยความสนุก ดนตรีป๊อปพังก์ที่ใส่มายับ ๆ กับบีตดนตรีอัดรวดเร็วช่วยปลุกให้อารมณ์ของเราพลุ่งพล่านตามไปด้วย

ในส่วนของพาร์ตเนื้อร้องพูดถึงการเอาเรื่องเฮงซวยโยนทิ้งออกไปจากชีวิตโดยใช้ความรักมาเปรียบเทียบ ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของอัลบั้มที่ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ

 

 

ตลอดระยะเวลากว่าครึ่งชั่วโมง มันได้บอกให้เรารู้ว่าตัวตนของ Avril Lavigne ได้กลับมาแบบ 100% แล้ว นี่คือสิ่งที่แฟนเพลงคิดถึงและรอคอยมานานนับสิบปี ต้องขอบคุณเธอที่ดึงความสดใสในวัยรุ่นกลับมาได้อีกครั้ง แม้ว่าอายุอานามจะเข้าใกล้เลข 4 แล้วก็ตาม (แต่หน้าตาแทบไม่ต่างจากตอนวัยรุ่น)

อีกส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้กับเหล่าบรรดาโปรดิวซ์เซอร์ โดยเฉพาะ Travis Barker ที่เข้ามาสร้างบรรยากาศความเป็นป๊อปพังก์ให้กับการทำงานในอัลบั้ม “Love Sux”

ขอบคุณที่ทำให้ Avril Lavigne กลับมาเป็นคนที่เราทุกคนคุ้ยเคยได้อีกครั้ง และตอกย้ำตำแหน่งเจ้าหญิงแห่งวงการป๊อปพังก์ไปอีกนานเท่านาน

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line