เป็นเรื่องที่กำลังฮือฮาใน Reddit เว็บไซต์พูดคุยครอบจักรวาล เมื่อมี User ที่ใช้ชื่อว่า Eriegin โพสต์ภาพรถ Supercar 2 คันจอดในโรงรถสภาพฝุ่นเกาะแน่นพร้อมข้อความว่า “ ถึงจะเต็มไปด้วยสนิมและฝุ่น แต่ Lamborghini Countach ของคุณยายแม่งก็ยังเจ๋งอยู่ดี!” จนทำให้คนคลั่งรถจำนวนมากร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเมามัน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาอยากทำหน้าที่หลานชายผู้น่ารัก เลยอาสาทำความสะอาดโรงรถให้คุณย่าของเขา แต่เมื่อเลื่อนประตูโรงรถขึ้นกลับต้องแปลกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเมื่อมีรถ Supercar 2 คัน จอดนิ่งสงบเหมือนไม่มีใครเคยแตะต้องเป็นเวลานาน! ความจริงปรากฏเมื่อคุณย่าเล่าให้เขาฟังว่า มันเคยเป็นของปู่ ซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่ในเวลาต่อมาราคาประกันรถยนต์ Supercar ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่าแพงมาก ๆ เริ่มพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของบริษัท จึงจำเป็นต้องจอดปีศาจทั้งสองตัวทิ้งไว้จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลารวมกันเกือบ 20 ปี รถคันแรกคือ Ferrari 308 GTS สีแดงสด มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขนาด 2.9 ลิตร กำลังขับ 237 แรงม้า ซึ่งคาดว่าหากออกขายทอดตลาดราคาจะอยู่ที่ ประมาณ 25,000 – 80,000
นี่คือเรื่องราวและรายละเอียดของ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ซูเปอร์คาร์ที่เดินทางผ่านยุคสมัยมาจากยุค 60 และตอนนี้มูลค่าของมันพุ่งสูงถึง 2-3 ล้านเหรียญหรือกว่า 70-120 ล้านบาท เช่นเดียวกับรถยนต์ราคาแพงระยับคันอื่น ๆ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT มีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมากมาย เรื่องแรกและเป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือรถรุ่นที่วางจำหน่ายอยู่ตอนนี้เดิมทีเป็นโมเดลที่ทาง Ferrari สร้างขึ้นมาเพื่อทดสอบและพัฒนาเท่านั้นไม่ใช่โมเดลที่สร้างขึ้นมาเพื่อวางจำหน่าย ถ้าใครเป็นสาวกรุ่นเก๋าของแบรนด์รถยนต์สัญชาติอิตาลีแบรนด์นี้คงสังเกตเห็นความแตกต่างของทั้ง 2 โมเดลได้ เนื่องจากขนาดและตำแหน่งของไฟเลี้ยวด้านหน้ามีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับไฟท้ายด้านหลังที่โมเดลต้นแบบจะมี 3 ดวงแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่จะมีเพียงแค่ 2 ดวง ด้วยความแตกต่างและมีจำนวนจำกัดนี้จึงเป็นสาเหตุให้ 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ราคาพุ่งสูงจนทะยานเข้าไปอยู่ในลิสต์หนึ่งในรถยนต์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก 1966 Ferrari Dino Berlinetta GT ตัวต้นแบบใช้เครื่องยนต์ V-6 ขนาด 2 ลิตร โดยติดตั้งตามแนวยาวซึ่งแตกต่างกับโมเดลการผลิตหลักที่ติดตั้งตามแนวขวาง นอกจากนั้นแถบโครเมียมด้านข้างและที่ปัดน้ำฝนขนาดใหญ่ซึ่งจะมีเพียงในโมเดลต้นแบบเท่านั้น แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโมเดลการผลิตหลักแต่ทาง Ferrari ก็ผลิตออกมาเพียง 152 คันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารุ่นโมเดลต้นแบบนั้นจะหายากและมีจำนวนน้อยแค่ไหน บางทีราคา