ถ้าจะหา classic Mini Cooper สภาพนางฟ้าในบ้านเรา ต้องเตรียมเงินค่าสินสอดไว้ไม่ต่ำกว่าสองล้านบาท แต่ถ้าการเงินไม่ใช่ปัญหา และหัวใจเรียกร้องหา classic Mini สภาพสมบูรณ์พร้อมใช้งาน อีกไม่นานเราอาจจะมีทางเลือกจาก Mini Remastered Oselli Edition หนึ่งในผลงานชื่อดังจาก David Brown Automotive Mini Remastered Oselli Edition คันนี้คือผลงานชิ้นแรกที่ผลิตและส่งมอบให้ลูกค้า ซึ่งมี waiting list ยาวเป็นหางว่าว แม้จะมาพร้อมราคาที่สูงถึงคันละ $140,000 หรือราว 5 ล้านบาท ราคาระดับนี้ ย่อมหมายถึงรายละเอียดที่เรียกว่า “ทำถึง” รถ Mini Remastered Oselli Edition คันนี้ต้องใช้เวลาถึง 1,400 ชั่วโมงในการผลิต ภายนอกมาในสี Carbon Grey ตกแต่งด้วย Heritage Green accents ดีไซน์ ลาย graphic
โอกาสสำหรับนักสะสมรถยนต์ที่มีเรื่องราวประวัติศาสตร์น่าสนใจติดตัว เมื่อผู้กำกับ Michael Bay จับมือกับ Curated supercar dealership ใน Miami นำรถยนต์ 4 คัน ดาวดังจาก Transformers จากหลายภาค มามัดรวมชุดเพื่อให้นักสะสมได้ประมูลกันไปในราคาราว $2 million USD การจัดชุดประมูลรถยนต์เป็นล็อต ช่วยเพิ่มเสน่ห์และมูลค่าให้นักสะสมได้เป็นอย่างดี โดยใน collection นี้ประกอบไปด้วยคันแรก ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “Bumblebee” 2010 Chevrolet Camaro เวอร์ชั่นจากภาค Transformers 3: Dark Side of the Moon ซึ่งเป็นคันเดียวกับที่ใช้ในการถ่ายทำ มีทั้งกันชนหน้า ฝากระโปรง สปอยเลอร์หลัง และสติกเกอร์ตกแต่งที่ใครเห็นก็ต้องจำได้แน่นอน ตามมาด้วยคันท่ีสองจากภาคเดียวกัน เป็นรถยนต์ Mercedes-Benz SLS AMG ที่ขับโดย Rosie Huntington ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการตกแต่งเป็นพิเศษอะไร แต่แค่ความเป็น SLS AMG
หากเอ่ยชื่อของ Mercedes-Benz เชื่อว่าหลายคนคงอดนึกถึง S-Class ซีรีส์เรือธงสุดหรูจากค่ายดาว 3 แฉกไปไม่ได้ โดยตัวอักษร “S” ใน S-Class นั้นมีที่มาจากคำว่า Sonderklasse ซึ่งเป็นคำในภาษาเยอรมันที่สื่อความหมายเปรียบได้กับการแปะป้ายตัวโต ๆ ว่ารถคันนี้คือ Special Class ที่ไม่เป็นรองใครในด้านความหรูหรา โอ่อ่า สะดวกสบาย พร้อมครองตำแหน่งรถยนต์ Luxury Saloon ที่ทำยอดขายติดอันดับต้น ๆ ของโลก และเมื่อทาง Mercedes-Benz หันมารุกตลาดยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการเปิด Sub-brand อย่าง Mercedes-EQ สำหรับซีรีส์รถยนต์ไฟฟ้า 100% จึงเกิดเป็นประเด็นให้เหล่าสาวกเฝ้ารอคอยการมาของ S-Class ซีดานพิกัดใหญ่สุดหรูหราในเวอร์ชั่น EV หลังจากที่ได้ยลโฉมรถยนต์ Compact SUV พลังไฟฟ้าคันแรกของค่ายอย่าง Mercedes-EQC กันไปแล้วเมื่อปี 2018 หลังผ่านเวลามาร่วม 3 ปี ในที่สุดก็ถึงเวลาเผยโฉม Mercedes-EQS ซึ่งถือได้ว่าเป็น S-Class พลังไฟฟ้ารุ่นแรกของ
เรียกว่า ‘คุณปู่’ ก็สมฐานะ สำหรับ Nissan Bluebird ที่ทำตลาดในประเทศอังกฤษตั้งแต่ปี 1986 ถึงวันนี้ก็มีอายุขัยอยู่ในวัย 35 ปี จึงเป็นโอกาสพิเศษที่ Nissan U.K. นำเสนอ edition สุดพิเศษ ‘Newbird’ Nissan Bluebird ‘Newbird’ ชื่อสุดเท่ที่มาจากการชุบชีวิตให้สุดเก๋าด้วยสไตล์ restomod คืนสภาพให้สดใหม่ พร้อมใส่เทคโนโลยีขุมพลังไฟฟ้าจาก Nissan LEAF เข้าไปแทนที่เครื่องยนต์เผาไหม้ แบตเตอรี่ขนาด 40kWh สามารถขับได้ระยะทางไกล 208 กิโลเมตร ทำความเร็ว 0-100 km/h ภายใน 15 วินาที ช่วงล่างออกแบบใหม่เพื่อรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เรียกว่าไม่เน้นแรง แต่เน้นฟิลลิ่งที่คลาสสิคตรงยุค ’80s ความเป็น ’80s ยังมีให้เห็นชัดเจนในดีไซน์ภายนอกที่รายละเอียดโดยรวมยังคงความเดิมไว้ครบถ้วน มีเพิ่มเติมไฟ LEDs เข้าไปในจุดต่าง ๆ รวมถึงหลังโลโก้ Nissan บนกระจังหน้า ด้านข้างพ่นสี rainbow
Ken Block ตำนานนักขับ Gymkhana ที่ยังหายใจ ผู้มาพร้อมรถประจำการคันใหม่ทุกปี และล่าสุดก็เป็นผลงานที่ถือว่าเดือดจัดใน Audi S1 e-tron Quattro Hoonitron ตัวแรงพลังงานไฟฟ้าที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ใน Ken Block’s Elektrikhana video ช้ินล่าสุด Audi S1 e-tron Quattro Hoonitron รถยนต์ที่ Audi พัฒนาขึ้นเพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าสร้างบันทึกหน้าใหม่ในประวัติศาสตร์ ได้แรงบันดาลใจจากตำนาน Iconic S1 จากการแข่งขัน Pikes Peak ซึ่งทีม Audi ใช้เวลาเพียงแค่ 1 สัปดาห์ตั้งแต่การเริ่มต้นดีไซน์ โดยทำงานร่วมกับ Ken Block ตั้งแต่แรก เพื่อให้ได้รถแข่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด ดีไซน์ภายนอกของ Audi S1 e-tron Quattro Hoonitron นั้นมีความใกล้เคียงกับตัวแข่ง Group B Rally ปี 1980s และ
ไม่มีรถยนต์ที่มีพร้อมทั้งความเป็น Off-roader สุดเก๋าพ่วงความ Luxury เทียบเท่า Supercar ได้มากกว่า Mercedes-Benz G-Class และสำหรับคนที่ต้องการความเป็นที่สุดอย่างไม่ซ้ำใคร อาจจะต้องหันไปมองหา Mercedes-AMG G63 6×6 รถยนต์ SUV ที่มีผลิตออกมาเพียง 100 คันในโลก มีเพียง 15 คันที่เป็นพวงมาลัยขวา แต่ที่เป็นตำนานและเป้าหมายของนักสะสมตัวจริงคือรุ่นพิเศษที่มีน้อยกว่านั้น นั่นคือ Brabus B63S-700 edition ที่ผ่านการปรับจูนจนสามารถพารถยนต์ขับเคลื่อน 6 ล้อให้พุ่งทะยานด้วยขุมพลังมากถึง 700 แรงม้า Mercedes-AMG G-Wagon เดิม ๆ จากโรงงานมากับขุมพลัง 5.5-liter twin-turbocharged V8 536 horsepower, 560 lb-ft of torque และรุ่นพิเศษที่ผ่านการปรับแต่งโดย Brabus จะถูกเรียกด้วยรหัส B63S-700 engine package อัพเกรด turbocharger ให้ใหญ่ขึ้นพร้อมระบบความเย็นใหม่หมด
การเปิดตัวโมเดลสำคัญในประวัติศาสตร์ BMW นี่คือรถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นแบบ standalone BMW M ที่พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับ M โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับการสร้าง BMW M1 ในตำนานนับตั้งแต่ปี 1978 และยังเป็นการสร้างบนตัวถัง SUV แทนที่จะเป็นตัวถังสปอร์ตคูเป้ ยิ่งทำให้ BMW XM คันนี้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ดีไซน์ภายนอกของ Concept XM สิ่งแรกที่ทุกคนต้องทักคือกระจังหน้าใหม่ขนาดใหญ่พิเศษในทรงแปดเหลี่ยม มีแถบไฟคอนทัวร์ในขอบกระจังหน้า ช่วยสร้างมิติที่ทันสมัย ไฟหน้าออกแบบเป็นด้านละสองดวงเล็กแยกออกจากกัน เพิ่มรายละเอียดที่โดดเด่น มองแวบแรกอาจจะแปลกตา แต่ยิ่งมองนาน ๆ ยิ่งรู้สึกถึงได้ถึงเสน่ห์ของการดีไซน์ที่บาลานซ์ได้ครบทั้งความสปอร์ตดุดัน ความหรูหรา ความแข็งแกร่ง และเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า รายละเอียดรอบคันก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน บอดี้รถเลือกใช้สี two-tone ระหว่างสี gold-bronze ที่ส่วนบนของรถ และใช้สี Space Grey Metallic บริเวณด้านล่าง มีไฟช่องไฟ LED อยู่เหนือเสา A-pillars สีดำ blacked-out ด้านหลังมีไฟท้ายลากยาวดวงใหญ่สีดำ blacked-out
ในรายชื่อรถยนต์ที่ดีที่สุดของ Mercedes-Benz หนึ่งในนั้นจะต้องมีรุ่น W201 Mercedes 190 series เวอร์ชันพิเศษ Cosworth ที่ทั้งแรร์และเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก มันคือรถ Road-legal ที่ถูกสร้างจากต้นแบบสำหรับลงแข่งรายการ Deutsche Tourenwagen Meisterschaft (DTM) เพื่อแข่งกันชิงตำแหน่งแชมป์กับ BMW M3 อย่างดุเดือดตลอดยุค ’80s – 90s Mercedes-Benz 190 E Cosworth เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Mercedes-Benz และสำนักแต่งรถชื่อดังจากอังกฤษ ‘Cosworth’ ซึ่งในช่วงปี 1980s เป็นครั้งแรกที่ค่ายตราดาวเปิดตัวรถซีดานหรูขนาด Compact ก่อนหน้าที่จะมี C-Class ในอีกหลายปีต่อมา ผลงานการออกแบบโดย Bruno Sacco หัวหน้าฝ่ายออกแบบผู้สร้างผลงานระดับตำนานมากมายในช่วง 1975 – 1999 ไม่ว่าจะเป็น S-Class W126, W140 รวมถึง R129 SL convertible ซึ่งเกือบทุกรุ่นที่ผ่านมือล้วนถูกยกย่องว่าเป็น
รถที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Iconic ที่ดีที่สุดในกลุ่ม Luxury sedan ต้องมีพื้นที่สำหรับ Jaguar XJ อยู่ในนั้น ด้วยระยะเวลาทำตลาดที่ยาวนานกว่า 50 ปี ก่อนจะเกษียณตัวเองอย่างถาวรไปในปี 2019 ตลอดระยะเวลานั้น ตัวถังที่สวยงามและหายากเหมาะแก่การสะสมที่สุดก็คือ XJ Coupe Mk II generation ทำตลาดในช่วงปี 1975 -1978 ผลิตออกมาทั้งหมดจำนวน 10,500 คัน วันนี้สำนักแต่งรถเลือด Polish ชื่อ “Carlex Design Studio” ได้เปิดโปรเจคปั้น Jaguar XJ Coupe ให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ custom Jaguar XJ Coupe จะเป็นโปรเจคล่าสุดภายใต้ “Carlex Jewel line” ซึ่งจะเน้นการปั้นตัวถังรถ classic cars ให้มีความทันสมัยด้วยดีไซน์ที่แตกต่าง แน่นอนว่าอาจจะไม่ถูกใจนักอนุรักษ์ของเดิม เพราะจากภาพที่เราเห็นนั้นมันคือ Restomod XJ Coupe
ก่อนหน้านี้ทุกสำนักรีวิวต่างยกให้ Cayman GT4 เป็น 718 ที่ดีที่สุด ดีไม่แพ้ 911 แต่ปัจจุบันตำแหน่งนั้นคงต้องเปลี่ยนมือเสียแล้ว เพราะนี่คือโมเดลที่จัดจ้านยิ่งกว่าในบอดี้ 718 ที่มากับราคาเท่า 911 Turbo S เป็นเวอร์ชั่นที่เต็มที่สุดทุกด้านด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเท่าที่ Porsche มี จนเราต้องถามตัวเองว่า 911 ยังจำเป็นไหมต่อจากนี้ Porsche เปิดตัว 718 Cayman GT4 RS ครั้งแรกกับรหัสที่ร้อนแรงที่สุดของ 718 Cayman รถสปอร์ต mid-engined น้องเล็กแต่ขุมพลังไม่เล็กตาม หันมาใช้เครื่องยนต์ความจุ 4.0 ลิตร NA flat-six ที่ยืมมาจากรุ่นพี่ใหญ่ 992-gen 911 GT3 ในบอดี้ที่เล็กกว่า จึงให้สมรรถนะที่ดีกว่าเป็น 493 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร สามารถลากรอบได้ถึง 9,000 rpm กับน้ำหนักตัวที่เหลือเพียง 1,463 กิโลกรัม
ในสารพัดรุ่นย่อยของ Ford Mustang จะเรียงความยิ่งใหญ่นับจากรุ่น GT, Mach 1, Boss, GT350 และรุ่นสูงสุดในตระกูลก็คือ Shelby GT500 ใช้ขุมพลัง 5.2-liter supercharged Predator V8 760 แรงม้า ซึ่งเปิดตัวไปล่าสุดในปี 2020 ล่าสุดก็ถึงเวลา refresh ความสดใหม่ ด้วยการเปิดตัว “GT500 Heritage Edition” ใช้แรงบันดาลใจจากตำนานรุ่นเก๋า 1967 Shelby GT500 ของ Carroll Shelby รถ Iconic car ในโทนสีฟ้า Brittany Blue มาโมดิฟายอย่างบ้าคลั่งจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสัญลักษณ์จงอางอสรพิษ และเป็นรถที่เจ้าตัวภาคภูมิใจที่สุดคันนึง ใน edition ใหม่นี้เป็นการอัพเดทลุคภายนอกด้วยการนำสีฟ้า Brittany Blue กลับมาใช้อีกครั้ง แต่ถ้าลูกค้าต้องการ Wimbledon White stripe เส้นสีขาวพาดกลางรถ สัญลักษณ์ที่สร้างโดย
รถยนต์ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งความอิสระ ด้วยถนนเปิดโล่งให้เราสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ โดยมีคนขับเป็นผู้กำหนดทิศทางอยู่หลังพวงมาลัย เราจึงมักจะเห็นโฆษณารถยนต์ที่พาตัวเองออกจากเมืองใหญ่ไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่รถยนต์ทุกคันที่จะแกร่งพร้อมลุยได้ทุกสภาพถนนอันท้าทาย จากถนนลาดยางสู่ทางฝุ่นสุดสมบุกสมบัน ได้เท่ากับ Mercedes-Benz GLE รถยนต์ mid-size luxury SUV ที่นอกจากความแกร่งพร้อมลุย ยังเป็นรถยนต์ที่สะท้อนความภาคภูมิใจในความสำเร็จให้กับเจ้าของ เต็มไปด้วยความหรูหรา สะดวกสบาย เทคโนโลยีล้ำสมัย และความปลอดภัยสูงสุดในคันเดียว ความสำเร็จของรถยนต์ SUV สุดแกร่งจากค่าย Mercedes-Benz เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 25 ปีที่แล้ว ย้อนกลับไปในเดือนมกราคม ปี 1996 Mercedes-Benz เปิดตัวรถยนต์ Concept SUV คันแรกของค่ายในชื่อ “AAVision” เป็นครั้งแรกของรถยนต์ Sport Utility ที่พัฒนามาเพื่อเสริมทัพให้ G-Class โดยมีความแตกต่างอยู่ที่ AAVision ได้เพิ่มฟีเจอร์และความสะดวกสบายที่เหมาะสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้น เพราะในอดีต G-Class นั้นมีความดิบแกร่งเน้นลุยในฐานะรถยนต์ Off-roader พันธุ์แท้ จึงไม่ค่อยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนัก ต่างกับ G-Class ในปัจจุบันที่ยังคงเป็นที่สุดด้านความแกร่ง พร้อมใส่เทคโนโลยีและกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราที่คนทั้งโลกยอมรับ