Entertainment

GARAGE : “อะตอม-ชนกันต์” เด็กชายชอบร้องเพลงในวันวาน สู่การเป็นนักเขียนเพลงครองใจผู้คน

By: Synthkid January 16, 2020

“รักฉัน รักฉันเถอะนะ จะไม่ทำให้เธอเสียใจ” 

“ที่เธอเห็นแค่ฝุ่นมันเข้าตา ฉันไม่ได้ร้องไห้”

หากบทเพลงของผู้ชายที่ชื่อ ‘อะตอม – ชนกันต์ รัตนอุดม’ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณมาโดยตลอด ขอให้รู้ไว้ว่าเรากับคุณคือเพื่อนกัน จากวันแรกที่เด็กชายอะตอมได้เห็นนักร้องในโทรทัศน์เป็นครั้งแรก เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าในอนาคตตัวเองจะต้องเป็นแบบนี้ให้ได้ ถึงแม้จะเรียนจบปริญญาตรีด้านกฎหมาย แต่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ชีวิตของอะตอมกลับวนเวียนอยู่กับเสียงเพลงมาโดยตลอด

และถ้าหากคุณรู้สึกว่าบทเพลงของเขาคือส่วนหนึ่งในชีวิต วันนี้ก็ถึงคราวที่คุณจะได้ไปเรียนรู้ชีวิตของผู้ชายเจ้าของบทเพลงเหล่านั้นกันบ้าง เขาเริ่มต้นการเป็นนักร้องไมค์ทองคำตัวยงบนเวทีประกวดเพลงลูกทุ่งชั้นประถม สู่การเริ่มเขียนเพลงจริงจังในสมัยมัธยม จนถึงวันที่เขาตัดสินใจส่งเดโมให้ค่ายใหญ่ ทุกความสำเร็จล้วนเกิดขึ้นจากความพยายาม หาใช่โชคช่วยหรือการเป็นไวรัลทางอินเทอร์เน็ตแต่อย่างใด

บทสนทนาในครั้งนี้จะพาเราทุกคนไปย้อนประวัติศาสตร์บนเส้นทางดนตรีของอะตอมกันอีกครั้ง รวมถึงรับฟังมุมมองด้านกฎหมายลิขสิทธิ์เข้มข้น ที่เราการันตีว่าจะเป็นประโยชน์กับศิลปินและเหล่าผู้สร้างสรรค์ผลงานทุกคนอย่างแน่นอน

จุดเริ่มต้นของคุณคือการฝากเดโมเพลงตัวเองไปกับ ‘แอมมี่ The Bottom Blues’ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

อันที่จริงตอนเริ่มต้นไม่ใช่ว่าทำเดโมเลยตามหาตัวพี่แอมมี่เพื่อเอาไปฝากนะ ไม่รู้ว่าโชคชะตาฟ้าลิขิตอะไรหรือเปล่า วันที่เราไปอัดเดโมเซตสุดท้ายที่เราตั้งใจว่าถ้าเสียเงินให้ห้องอัดที่นี่รอบนี้ แล้วเอาไปส่งรอบนี้ ถ้าไม่รอดก็คือไม่รอด ถือว่าสุดทางแล้ว มีเพลงที่แต่งมาเยอะประมาณ 5-6 เพลง อัดเป็นกีตาร์โปร่งกับเสียงร้อง ซึ่งห้องอัดนี้เราหาจาก Google พยายามหาอันที่ดูดี ที่คนเขาใช้กันเยอะ ๆ ก็ไปเจอห้องอัดนึงชื่อ LopStudio อยู่ตรงตึกลิเบอร์ตี้ ท้ายซอยทองหล่อ แล้วก็เข้าไปอัด ปรากฏว่าห้องนี้เป็นห้องที่มีซาวด์เอนจิเนียร์ของพี่แอมมี่ แล้วพี่แอมมี่ก็เข้ามาด้วยวันนั้น บังเอิญเจอ เป็นโอกาสที่ทำให้ได้พูดคุยกัน จริง ๆ เขาเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเดียวกันอยู่แล้ว (กรุงเทพคริสเตียน) เคยเห็นหน้าเห็นตากัน แต่ด้วยความที่รุ่นห่างพอสมควรเลยไม่ได้คลุกคลีกันขนาดนั้น เท้าความกันได้ว่าสมัยก่อนพี่แอมมี่ชอบมายืมกีตาร์โปร่งของพวกผมไปเล่นตอนช่วงพัก แต่ไม่ยอมเอามาคืน จนพวกผมต้องเดินไปทวง นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ได้คุยกัน

หลังจากตัดสินใจฝากเดโมไป เราคาดหวังไว้ใหม่

เราก็คาดหวังแหละ เราก็อยากได้ไปอยู่ค่ายใหญ่ อยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง ปล่อยมันไปหาคนทั่วประเทศ แต่จริง ๆ หลังจากฝากพี่แอมมี่ไป กว่าจะได้รับการติดต่อกลับมา เราก็รอนานเหมือนกัน ประมาณครึ่งปี พอเรารอไปประมาณ 2-3 เดือนแรก เราก็รู้สึกว่า เออเขาคงไม่เลือกเราแล้ว เลยปล่อยเดโมเซตนั้นลง Youtube หมดเลย ซึ่งบางเพลงก็ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนบางอันก็ถูกดึงออกไปบ้างครับ

พูดถึงเดโมที่เราส่งให้แอมมี่ไปในวันนั้นหน่อย

ทีแรกเรามีวงดนตรีตอนอยู่มัธยม เหมือนโรงเรียนทั่วไป มีงานอะไรเราก็ขึ้นไปเล่นกัน เราก็เริ่มแต่งเพลงให้วงตัวเอง สุดท้ายวงแตก! เพราะทะเลาะกันอะไรบ้าง เราก็ตัดสินใจว่าไม่เอาละ เบื่อจะทำอะไรไม่อยากปรึกษาใคร อยากคิดคนเดียว ทำคนเดียว เลยตั้งใจเขียนเพลงด้วยกีตาร์ตัวเดียว จบ ร้องเองก็ได้ ยุคแรกเราก็อัดเองครับ มันจะมีเครื่องเล่น MP3 หลากหลายยี่ห้อมาก ของเราก็เป็นยี่ห้อจีนแดงอันนึงแม่ซื้อให้ มันมีขายอยู่บนรถไฟฟ้า มันมีระบบอัดเสียงง่าย ๆ มีไมค์อันจิ๋วให้ต่อร้องได้ เราก็ตั้งเอาไว้แล้วก็เล่น แต่ก่อนมันจะมีเว็บบอร์ดเก่า ๆ ที่เขาไปแชร์เพลงใต้ดินกัน เราก็เอาไปฝากไว้ ส่งให้เพื่อนฟังบ้าง สมัยก่อนจะมีเว็บ iMeem ผมก็ลงเป็นเพลย์ลิสต์ไว้เลยใส่ใน Hi5 ตัวเอง ใครจะฟังก็ฟังได้เลย เริ่มจากตรงนั้นเป็นต้นมา

ห้องอัดไม่ใช่ที่แรกที่คุณอัดเพลง?

ครับ ก่อนจะเสียเงินให้มืออาชีพอัดให้ เราก็ลองมาแล้ว พอเรารู้สึกว่าอยากยื่นเดโมให้ค่าย เพราะมันดูเป็นทางเดียวที่จะทำให้เพลงเราไปสู่คนหมู่มากได้ เด็ก ๆ เราไม่ได้รู้เรื่องมากขนาดนี้ เดี๋ยวนี้มันทำผ่าน iTunes มีแพลตฟอร์มต่าง ๆ ง่ายกว่าเดิมเยอะเลย ไม่ต้องผ่านค่ายก็ดังได้ ฟังจากมือถือเหมือนส่งจากผู้ผลิตไปถึงผู้บริโภคเลย

รู้มาว่าอะตอมเป็นคนชอบร้องเพลงมากตั้งแต่เด็ก ๆ 

ตอนก่อนจะทำงานตรงนี้ มันจะมีความอยากร้องมากกว่านี้ แต่ตอนนี้ความอยากตัวนั้นมันถูกใช้ไปกับงานเราด้วย เวลาว่างก็จะร้องน้อยลงหน่อย ถ้าไม่ต้องใช้คิดเพลง แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนสร้างความบันเทิงมันก็มีบ้าง เพราะสมัยก่อนผมเป็นคนที่ร้องเพลงต่อวันเยอะกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันเจอโชว์คืนนึงร้องชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่งงี้ มันก็ใช้พลังกับตรงนี้ไปอย่างเต็มที่แล้ว

ในขณะที่แต่ก่อนผมอยู่บ้านเนี่ย เป็นบ้านสองชั้น นอนชั้นสอง ห้องผมอยู่ตรงข้ามกับห้องพี่สาว ส่วนห้องน้ำใช้ด้วยกันตรงกลาง แต่ห้องพี่สาวจะมีประตูเชื่อมกับห้องน้ำ เวลาผมจะใช้ก็ต้องเดินออกจากห้องออกมา ผมร้องเพลงตอนอาบน้ำตลอดจนพี่สาวตะโกนด่าว่า ‘กูจะนอน’ เป็นแบบนี้บ่อยมาก นี่คืออย่างแรกที่เราทำได้ในฐานะคนชอบดนตรี เพราะว่าร้องเพลงมันง่ายที่สุดในการลอกเลียนแบบสิ่งที่ฟัง ก่อนจะเริ่มเล่นเครื่องดนตรีอย่างอื่น

เริ่มแต่งเพลงตั้งแต่ประถม?

ประถมยังไม่เป็นรูปเป็นร่างหรอก มันเริ่มจากแปลงเพลง ล้อชื่อพ่อชื่อแม่เพื่อนเงี้ย ตลก ๆ เอาชื่อพ่อแม่เพื่อนมาใส่ในเพลงแล้วก็แซวโน่นแซวนี่สไตล์ทะลึ่งตึงตังแบบเด็ก มันก็เริ่มจากตรงนั้นที่ทำให้เราได้ลองเรียบเรียงอะไรเข้าไปในดนตรี ถึงแม้มันจะเป็นคอร์ดเพลงของคนอื่น แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของเรา

เริ่มแต่งเพลงจริงจังครั้งแรกตอนไหน

น่าจะตอนขึ้นมา ม.2 – ม.3 แล้ว อาจจะเริ่มจากเรื่องของเพื่อน อันนี้ไม่ได้ล้อชื่อพ่อชื่อแม่แล้วนะ (ยิ้ม) อาจจะเป็นความเป็นกลุ่มเป็นแก๊งของเรา ความรักเพื่อน อาจจะเนื่องด้วยเราเรียนโรงเรียนชายล้วนด้วย ไอ้ความรักแบบหนุ่มสาวที่จะเล่ามันเลยเกิดขึ้นช้ากว่าคนที่เขาเรียนโรงเรียนสห กว่าจะได้มีเพื่อนผู้หญิง เริ่มมีแฟนมันก็ตอน ม.3 – ม.4 ถึงจะได้มีเนื้อหาที่อยากจะเล่า จะรักเขา จะจีบเขา หรือว่าเจ็บจากเขา วัตถุดิบเหล่านั้นมันก็เริ่มมา ให้เราได้กลั่นกรองความเป็นตัวตนจนชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ

ก่อนและหลังเข้าสู่เส้นทางดนตรีแบบจริงจัง คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหน

เปลี่ยนเยอะนะ แต่ไม่ได้เปลี่ยนในชั่วข้ามคืน มันค่อย ๆ เป็นไปตามเวลาของมัน นับจากตอนปล่อยเพลงแรกก็ใช้เวลาเติบโตค่อนข้างนาน อย่างเพลง Please ก็ใช้เวลาเกือบปี ประมาณ 8 – 9 เดือนกว่ามันจะเริ่มดังเป็นที่รู้จักของคน ไลฟ์สไตล์มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เริ่มเดินทางเจอสื่อ ไปเล่นต่างจังหวัด ตอนนั้นยังมีเครือข่ายวิทยุของค่ายแกรมมี่อยู่ที่มันคลุมทั่วประเทศ เราก็จะเดินทางไปเจอคนโน้นคนนี้เยอะ ตามค่ายวิทยุต่าง ๆ หลังจากนั้นที่ตามมาก็คืองานโชว์ การออกรายการให้สัมภาษณ์ การทำงานกับสินค้า มีอะไรท้าทายใหม่ ๆ ขึ้นมาให้เราลอง

มันเดินทางมาถึงจุดที่บางเดือนเราทัวร์คอนเสิร์ตทุกวันก็มี ชีวิตมัน On The Road มาก กินนอนบนรถตู้ นอนตีสอง-ตีสามเป็นเรื่องปกติ นอนตื่นสาย แล้วก็เปลี่ยนที่โชว์ สมัยก่อนเราทัวร์เป็น Route ด้วย เช่น ลงภาคใต้ 5 วัน บินลงจังหวัดแรก แล้วก็นั่งรถตู้ต่อไปที่อื่น 4-5 จังหวัด แล้วค่อยขึ้นเครื่องบินกลับปลายทาง อย่างสมัยโปรโมตเพลง อ้าว เราจะทำแบบนี้ประจำ จะว่าเปลี่ยนไปทางที่ดี มันก็ดีในทางอาชีพ งานที่เรารัก แต่สิ่งที่มันขาดหายไปคือเวลากับครอบครัว และการดูแลสุขภาพก็ลดหลั่นไปตามสภาพครับ

เคยเตรียมใจมาก่อนไหมว่าจะต้องเดินทางหนักมากขนาดนี้

เราพอจะเห็นภาพอยู่นะ เพราะก่อนจะออกเพลงตัวเอง เราทัวร์กับพี่ ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’ มาก่อน 3 ปี ในฐานะนักร้องคอรัสก่อนหน้านั้น เราโชคดีที่ได้มีโอกาสทำงานเบื้องหลังตรงนั้น โชคดีที่เจอพี่บอล โปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงด้วยกันจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้ทุกคนกลายเป็นครอบครัว เห็นกันมาตั้งแต่ผมเด็ก ๆ ผมเรียนปี 2 กำลังจะขึ้น ปี 3 ก็ได้ทัวร์กับ บุรินทร์ แอนด์ ดิโอลด์สคูล ออลสตาร์ส แล้วตอนนั้น อยู่ดี ๆ ก็ไปโผล่อยู่บนเวทีกับเขา มีโอกาสได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากทั้งตัวพี่บุรินทร์และนักดนตรีทุกท่าน มันเตรียมเราให้พร้อมสำหรับวันที่จะออกมาเป็นศิลปินด้วยตัวเอง

พูดถึงเรื่องงานมามากแล้ว แล้วชีวิตประจำวันของคุณล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าไม่ได้ทำงานก็จะนอนครับ เพราะกระหายการนอนมาก คือจริง ๆ ก่อนหน้านี้สัก 3 ปี จะยังไม่ยอมนอน แบบไหวเว้ย! ยังไงก็ฟื้น จะทำงานดึก จะปาร์ตี้ยังไงก็สู้ คนที่ร่างกายยังสู้ไหวมันก็จะคิดว่าไม่เป็นไร จนถึงวันที่มันเป็นอะไรขึ้นมาเนี่ย ถึงจะรู้สึกว่าต้องหันมาดูแลกันแล้ว เดี๋ยวนี้ถ้าวันไหนตื่นสาย คือผมจะพยายามไม่ให้เลยไปบ่าย ตั้งเวลาไว้สัก 11 โมงอะไรงี้ เพราะไม่งั้นมันจะไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่นในชีวิตเลย กินข้าวเย็นได้แป๊บเดียวก็ต้องนอนแล้ว ถ้าไม่ได้ร้องเพลง ไม่มีงาน ผมจะออกมานั่งคาเฟ่ ไม่ได้ทำตัวเท่หรืออะไรนะครับ แต่เราจะคิดอะไรไม่ออกเวลานั่งอยู่ในห้องปิด อยู่คอนโด อยู่บ้านเราเอง ทุกอย่างมันจะนิ่งไปหมด พอไม่เห็นอะไรเคลื่อนไหวเลยจะรู้สึกไม่ชอบ อย่างร้านวันนี้ผมก็ชอบนะ ถือว่าบรรยากาศดี (Rocca BKK) เป็นหนึ่งในร้านที่เราอาจจะเลือกมาเองได้ มีกระจกที่มองออกไปได้ไหล มีต้นไม้ มีผู้คนเคลื่อนไหว ยิ่งถ้ามีสัตว์ด้วยผมก็จะชอบมาก เป็นบรรยากาศที่ทำให้เราคิดอะไรออก อ่านหนังสือ ฟังเพลงใหม่ ๆ ที่ไม่เคยฟัง จดไอเดียต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นมา หรือคิดอะไรที่มันเกี่ยวกับตัวเราที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน ดูน่าเบื่อเนอะ (หัวเราะ) แต่ถ้าไม่ออกมาคาเฟ่ผมก็ดูหนังฟังเพลงปกติครับ เดี๋ยวนี้มี Netflix ก็สบายเลย เป็นทาส Netflix เหมือนทุกคน

ชอบดูอะไรใน Netflix

เราชอบดูแนวสอบสวนสืบสวนฆาตกรรม ไม่มีเรื่องไหนชนะ Hannibal เลยสำหรับเรา ไม่มีอะไรดาร์กไปกว่านี้แล้ว คนเล่นเขาก็หล่อนะ แม้จะโรคจิตมากในเรื่อง แต่อย่าง Documentary ต่าง ๆ ในนั้นก็ดีเหมือนกัน

ชีวิตที่ดีในนิยามของอะตอมเป็นอย่างไร

อย่างแรกผมยกให้สุขภาพดีก่อนเลย ผมเป็นคนที่ป่วยค่อนข้างบ่อยตอนที่เด็กกว่านี้ ตอนเด็กผมเป็นทั้งภูมิแพ้อากาศ เป็นหวัด หาหมอทุกสัปดาห์ก็มี เป็นหอบหืดด้วย พ่อแม่เสียตังค์รักษามาตลอดทางเลยครับ

ถ้าอย่างอื่นในชีวิตดี แต่สุขภาพไม่ดีมันก็ไม่เหลืออะไรเลย

จริง ๆ ปีนี้เริ่มกลับมาดูแลตัวเองจริง ๆ เริ่มกินดี ออกกำลังกาย ถ้าย้อนไป 3-4 ปีก่อน เรานึกไม่ออกเลยว่าทุกวันนี้อะตอมจะสั่งอาหารคลีน จะไปยิมอาทิตย์ละ 3-4 วัน มันนึกไม่ออกเลยครับ แต่พอถึงเวลามันต้องดูแลก็ต้องทำ ยิ่งโตขึ้น คนข้างหลังก็ยิ่งพึ่งพาเรามากขึ้น พ่อแม่ปู่ย่าตายายผมยังอยู่ครบหมดเลย ก็ต้องดูแลกัน ต้องรักษาสุขภาพเพื่อคนอื่นด้วยครับ

เวทีประกวดแรกในชีวิต

มันคือการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งในโรงเรียน ที่กรุงเทพคริสเตียนมันก็จะมีกิจกรรมนึงที่จะจัดสัปดาห์นึงต่อปี ชื่อว่า “สัปดาห์สืบสานวัฒนธรรมไทย” เด็กจะใส่เสื้อลายดอก ใส่ม่อฮ่อมกันมาเลย อาจารย์ก็จะใส่ผ้าไหม มีแข่งตำส้มตำ แข่งขันเล่นว่าวจริงจังกันกลางสนาม เราก็จะจอยอยู่เวทีเดียวเป็นประจำคือเวทีร้องเพลงลูกทุ่ง ซึ่งเราก็ชนะอยู่ 3 ปีติด จนมา ป.4 ดันมีคนอื่นชนะ เลิกแข่งเลย ตอนนั้นเฮิร์ตมาก อารมณ์แบบไม่แข่งแล้วเว้ย

เกิดอะไรขึ้น ทำไมแพ้คนนี้?

มันร้องเก่งตั้งนานแล้วคนนี้ แต่มันเพิ่งจะลงประกวดปีนี้ ด้วยความเป็นเด็กผมก็เหมือนแพ้ไม่เป็น งอน กูไม่อยากลงแล้วปีหน้า จนพอมา ป.5 ผมก็เริ่มสนใจเพลงป๊อปทั่วไป พวกวงป๊อปร็อกของพี่ ๆ ที่เราเห็นถึงทุกวันนี้ เช่น Clash  Bodyslam Big Ass ต่าง ๆ ก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราในช่วงเด็ก

แล้วทำไมถึงไปประกวด จำได้ไหมตอนนั้นคิดอะไรอยู่

ชอบแหละ ผมชอบร้องเพลง เป็นความชอบทางดนตรี โดยส่วนมากผมเป็นคนไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ไม่ชอบกิจกรรมสังคม โตมาทุกวันนี้ก็ยังเป็น งานรื่นเริงใหญ่ ๆ แบบงานแต่งหรืองานที่รวมคนเยอะ ๆ ถ้าไม่ใช่เพื่อนหรือญาติสนิทจริง ๆ ผมจะไม่ค่อยไป เวลามีใครมาขอให้ไปผมก็จะอิดออด แต่ถ้าไปเล่นคอนเสิร์ตอีกเรื่องนึงนะ

ตลอดชีวิตที่ผ่านมาถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับดนตรีผมจะไม่เกี่ยงเลย จะเจอคนเท่าไหร่ ต้องขึ้นไปยืนร้องเพลง ยืนตื่นเต้นบนเวทีเราก็ยอม เพราะเราชอบร้องเพลง ชอบเล่นดนตรี เป็นข้อยกเว้นที่ทำให้เรากล้าแสดงออกมาเสมอ อย่างตอนเด็ก ๆ ที่ยอมไปประกวดก็คือผมทำใจดีสู้เสือ จริง ๆ สั่นอยู่ข้างใน แต่พอขึ้นเวทีบ่อย ๆ มันก็เริ่มชินครับ

มีคนเชียร์ให้ขึ้นไปหรือเปล่า

อาจารย์ด้วยส่วนหนึ่งครับ ตัวดีเลย แม่ยกทั้งหลาย ทั้งแม่ผม ทั้งอาจารย์ เพราะเด็กที่ร้องเพลงได้เป็นเรื่องเป็นราวมันไม่ค่อยเยอะ ตอนนั้นก็แข่งกันแค่ 10 คนเองมั้งครับจากทั้งโรงเรียน เพราะแข่งแยกกัน ประถมต้น ประถมปลาย อะไรแบบนี้ แต่พอผ่านหลังจากนั้นมาก็ไม่ประกวดอีกเลย เคยไปต่อแถวรอ Audition รายการอะไรสักอย่างของช่อง 3 กับเพื่อนไม่รู้ ไม่ใช่อันดัง ๆ ที่ทุกคนรู้จักนะ เราเคยไปนั่งรอต่อแถวหลายชั่วโมง พอเข้าไปเจอกรรมการผมร้องแค่สองคำเขาส่งออกเลย ตอนนั้นยังเป็นเด็กอ้วนอยู่ เขาไม่ได้ฟังเสียงเลย เขาดูคาแรกเตอร์โดยรวมว่าคุณมีแววที่จะไปต่อหรือเปล่า

เรารู้สึกว่าทำไมต้องให้คนอื่นมาบอกว่าเราดีหรือไม่ดี เราไม่ชอบวิธีที่คนมานั่งจ้องแล้วตัดสินเรา

พอเรารู้สึกว่าไม่ใช่ทางแล้ว เราก็ไปสายแต่งเพลงดีกว่า ตามทางของตัวเองมา

จริง ๆ แล้วคุณเรียนจบด้านกฎหมายมา แล้วได้ทำงานสายนี้บ้างหรือเปล่า

ผมไม่ได้ทำเลยครับ คุณแม่พยายามให้เข้าไปฝึกเข้าไปทำกับสำนักงานกฎหมายของที่บ้านอยู่ช่วงแรก ๆ แต่เราก็บอกเขาว่าเราจะไปทางนี้นะ เราเรียนจบให้แล้ว เพราะเงื่อนไขของพ่อแม่คือต้องเรียนปริญญาตรีให้จบ เป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แล้วเราก็ไม่เคยทิ้งเลย ตอนเรียนจริง ๆ ก็ซ่าเหมือนกัน เฮฮาปาร์ตี้ พ่อแม่ก็เข้าใจว่าเข้าเรียน แต่จริง ๆ ไม่ได้เข้า เพราะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์มันไม่ได้เช็กชื่อ พอสอบไฟนอลก็ทำให้ได้ละกัน ทำไม่ได้ก็ตก พอเดือนใกล้ ๆ สอบผมก็จะหยุดทุกอย่างแล้วอ่านหนังสือ

เรียนกฎหมายมาไม่ได้ใช้เลย แต่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ตอนเจอเอกสารเราก็จะละเอียดกว่าคนอื่น วิธีคิด วิธีการให้เหตุผล ตรรกะในการเขียนเพลงหรือในการพูดคุยด้วยก็ตาม มันก็ส่งผล เพราะเรียนมาหลายปี และยังอยู่กับเรามาถึงทุกวันนี้ ไม่เคยเสียใจที่เลือกเรียน เราเองก็ชอบเหมือนกัน

เรื่องกฎหมายเคยสะท้อนออกมาในเพลงบ้างไหม

ถ้าให้อยู่ตรง ๆ มันอยู่ยาก เพราะมันคงกลายเป็นเพลงที่ไม่มีใครฟัง มีเคยแต่งเรื่องหนี้นะ หนี้รักอะไรประมาณนั้น เคยพยายาม แต่พอเอามานั่งอ่านเนื้อผมก็รู้สึกว่า ‘มึงฝืนเหรอ’ (หัวเราะ) ก็พยายามเหมือนกันนะเนี่ย มันเอามาใส่ไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเหตุผล สมมุติว่าเพลงนึงจะมีเนื้อเพลงจากท่อน A ไปท่อนฮุค ไปท่อน B มันก็จะได้เรื่องการให้เหตุผลเหมือนปูเรื่องมายังงี้แล้วถึงเป็นยังงั้น สุดท้ายเลยมาเข้าฮุคสรุปใจความสำคัญเป็นแบบนี้ ประมาณนั้นครับ

เพลงของอะตอมมักสะท้อนเรื่อง ‘ความแฟร์’ ในความสัมพันธ์ มันเป็นเพราะการจบกฎหมายนี่ด้วยหรือเปล่า

จริง ๆ เรื่องความแฟร์ในความสัมพันธ์มันไม่ใช่เพราะการเรียนกฎหมายหรอกครับ ผมได้มาจากแม่ผม แม่ผมเป็นคนไม่เอาเปรียบใคร และไม่ให้ใครเอาเปรียบ ทุกคนควรจะแฟร์ซึ่งกันและกันครับ

อะตอมเป็นคนซีเรียสเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์ไหม

ซีเรียสนะ มันถึงเป็นสาเหตุให้เราเลือกจะอยู่ตรงนี้กับค่ายปัจจุบัน คือผมไม่แน่ใจว่าค่ายอื่นเป็นอย่างไร แต่เท่าที่ทราบก็อาจจะไม่ละเอียดเท่าค่ายที่ผมอยู่ตรงนี้ เพราะผมเป็นคนเขียนเองด้วย ร้องเองด้วย มันก็จะมีส่วนแบ่งต่าง ๆ ที่ตามกฎหมายต้องตกลงกันว่ามันเป็นของใคร เราได้รับเท่าไหร่

อยากให้ศิลปินคนอื่นจริงจังกับเรื่องลิขสิทธิ์เพลงตัวเองบ้างไหม

ผมว่าซีเรียสไว้ตั้งแต่ต้นน่ะดี พอมันเป็นเรื่องกฎหมายมันจะทำให้เข้าใจยาก แต่มันก็มีเวอร์ชันที่ย่อยมาแล้ว รวมถึงคนที่พร้อมจะให้คำปรึกษา สำนักงานที่เปิดขึ้นมาเพื่อดูแลลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ก็มีเยอะ ถ้าจะหานะ มันมีคนจัดการดูแลให้ อยู่ที่ว่าใส่ใจหรือเปล่า ถ้าวันนึงมันประสบความสำเร็จขึ้นมา แล้วเงินทองที่ควรจะเป็นของคุณมันหายไปกับสายลม มันก็ไม่รู้จะไปตกอยู่ที่ใคร

ที่บอกว่าฝันอยากเป็นนักร้องตั้งแต่เด็ก ๆ ตอนนั้นคิดไหมว่าเราจะมาไกลขนาดนี้

ถ้าถามเราตอน ม.ต้นก็แอบคิดว่าเป็นไปได้ แต่ก็ห่างไกลมาก จากคนทั่วประเทศไทย เราจะได้ทำมันจริง ๆ เหรอ เราจะได้เป็นศิลปิน มีเพลงเป็นของตัวเอง เป็นนักร้องจริง ๆ เหรอ แต่งเพลงเองให้คนได้ฟัง ออกมาทัวร์ ได้เจอทุกคน มันดูเป็นภาพที่อยู่ในฝันเรามากกว่า เราโชคดีที่มีโอกาสเดินทางมาถึงตรงนี้ เราให้เครดิตคนรอบตัวเราตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาให้โอกาสเรา ถ้าผู้ใหญ่หลายคนไม่ให้โอกาส ไม่มีการสนับสนุนที่ดีจากครอบครัวและเพื่อนฝูงมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้

เราให้เครดิตตัวเองในด้านของความดื้อด้าน และความไม่ยอมแพ้ 

Big Inspiration 

ผมไม่มีไอดอลหนึ่งเดียวในใจนะ มันจะเป็นหลาย ๆ คนรวมกันมากกว่า คนที่เราเห็นเป็นแบบอย่างคือคนที่เราได้พบเจอ คนที่เราได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ทั้งตัวพี่บุรินทร์ และวง Groove Rider เอง วงอพาร์ตเมนต์คุณป้าทั้งวง เราได้เห็นได้สัมผัสมา เรารู้สึกประทับใจในอีกแง่หนึ่ง รวมถึงแง่ชีวิตส่วนตัวที่เป็นพี่เป็นน้องกันมันก็ทำให้เราปลื้มมากขึ้น แต่ถ้าถามว่าอะไรอินสไปร์อะไรเรามาก ๆ ในช่วงนี้มันคือความสงบ ก่อนหน้านี้เราจะชอบอะไรที่ฉูดฉาดรุนแรง ที่มันส่งผลกระทบกับอารมณ์เราเยอะ ๆ ไปเจอเรื่อง เจอคน ไปคอนเสิร์ต อะไรที่มันเป็นกิจกรรมที่มันกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวเราให้มันผลิตงานออกมา แต่ทุกวันนี้มันคือความสงบ ความนิ่ง เราเลือกที่จะคุยกับตัวเองเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน ตอนเด็ก ๆ เรารับเยอะกว่านี้ ไปเสพดนตรี ไปดูศิลปะ ตอนนี้เรากลายเป็นคนชอบนั่งคาเฟ่เฉย ๆ แบบที่บอก

ผลงานเพลงล่าสุด

ตอนนี้ผมมีอัลบั้ม MOON เป็นดิจิทัลอัลบั้มชุดแรกของผม จริง ๆ มันทำขึ้นมาสนองนี้ดผมกับโปรดิวเซอร์ เรียกว่าเป็นโปรเจกต์ในฝันที่อยากทำแหละ ผมกับทีมทำเพลงเป็นคนที่ฟังเพลงค่อนข้างหลากหลาย แต่พวกเราชอบดนตรีคนผิวสีเป็นพิเศษ พวก Soul Jazz หรือ Funk ซึ่งวงใหญ่ที่เล่นในรูปแบบของ Jazz เนี่ย มันหาทางทำยาก เราก็มีโอกาสได้ทำเป็น Youtube Original Project มีเครื่องเป่าเครื่องสายเต็มรูปแบบ วิธีการเล่นต่าง ๆ ก็จะมีความ Jazzy มากขึ้น พยายามบาลานซ์ให้คนฟังเข้าถึง ไม่ยากจนเกินไป ในรูปแบบที่กำลังดี ออกมา 5 เพลง เป็นเพลงใหม่ 3 เพลงครับ (ไม่ใช่ฉัน, HAPPY ANIVERSARY, WEREWOLF) มีเพลงคัฟเวอร์ 1 เพลง (คิดถึงพี่ไหม) และเรียบเรียงเพลงตัวเองใหม่หนึ่งเพลง (ช่วงนี้)

 

ฝากอะไรไปบอกคนที่อยากแต่งเพลง แต่ยังไม่มั่นใจพอที่จะลงมือทำหน่อย

ของแบบนี้ต้องมองให้รู้ คำนี้อาจจะได้ยินบ่อยนะ ที่เขาบอกว่า ‘ความเสียดายที่เราทำอะไรลงไป มันเทียบไม่ได้กับความเสียดายที่ไม่ได้ทำ’ ที่คนเขาบอกว่ารู้งี้ทำแบบนี้ดีกว่า มันจะเป็นอะไรที่รบกวนจิตใจคุณไปตลอดชีวิต เหมือนผีที่ตามหลอกหลอนว่าคุณยังไม่ได้ตามความฝันของคุณ เพราะฉะนั้นอยากให้ลอง

ถ้าชอบอะไรจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่จะทู่ซี้ทำ ต้องพัฒนาตัวเองด้วย ให้เวลากับมัน อยากเก่งก็ต้องฝึก

มันไม่มีอะไรที่จะเก่งขึ้นได้โดยการนั่งเฉย ๆ ถ้าปากบอกว่าชอบก็ต้องลุย ถ้าคุณอึดพอสักวันโอกาสมันก็มา

ถ้ารู้จุดที่ชอบแล้วอยู่กับมันให้ได้ ด้วยความอดทน ด้วยการพัฒนาตัวเองต่าง ๆ ต้องมากับแผนสำรองด้วย ถ้าถามผมนะ เพราะสิ่งที่ทำอยู่เอาจริง ๆ เราก็ไม่รู้มันจะมาถึงจริงหรือเปล่า คือถ้าถึงจุดนั้นถ้าผมปล่อยเพลงมาแล้วไม่รอด เราก็จะไม่มีผีตัวนั้นมาตามหลอกหลอนแล้ว เพราะเรารู้แล้วว่าเรามาสุดทางแล้ว เพลงปล่อยแล้ว คนไม่เอา ทำไม่ได้ ก็จบไป แต่เรายังมีทางของเราที่เหลือต่อ แต่ถ้าถามว่าไม่มีแผนสำรองเลยทำได้ไหม ก็ทำได้ครับ แต่มันจะเจ๊งแล้วเจ๊งเลย ไม่แนะนำ

ผมว่าทุกอย่างมันมีตรงกลางมีจุดพอดีที่คุณจะหาได้ มันอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ถ้าอยากทำก็ต้องได้ทำ สู้ ๆ ครับ

 

กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก เตรียมตัวอย่างไรบ้าง

ประชุมกันตลอดเลยช่วงนี้ ผมเตรียมตัวรอบทิศเลยครับ ทุกฝ่ายทุกหน่วยกำลังสร้างฐานของมันให้แข็งแรง ไม่ว่าจะโปรดักชันแสงสีเสียง ตอนนี้ได้พี่บอล อพาร์ตเมนต์คุณป้ามาเป็น Music Director ซึ่งผมไว้ใจอยู่แล้ว แล้วก็จะได้ร่วมงานกับหลาย ๆ คนที่เก่งมาก ๆ อยากให้พร้อมที่สุด ไม่อยากช่วงเริ่มต้นมันหละหลวม เดี๋ยวปลายทางมันจะออกมาไม่ดี เราจะใส่ใจกับทุกรายละเอียด

อยากให้คนดูได้อะไรจากโชว์นี้

คอนเสิร์ต ‘House Of Heart; ในครั้งนี้ ผมอยากให้คนรู้สึกดีนะ ผมคิดว่าคนที่จะมาคอนเสิร์ตนี้ เขาคงจะเป็นคนประเภทเดียวกับเรา เพราะถ้าเขาไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเรา เขาก็คงจะไม่ชอบเพลงของเรา เขาจะไม่เข้าใจว่า ทำไมจะต้องมาขอให้เขารักแบบเพลง Please หรือจะมาตัดพ้ออะไรในเพลง? แต่คนที่จะเขามาคงจะเป็นคนที่เข้าใจกัน อยากให้ทุกคนมาเพื่อบอกกับคนอื่น ๆ ว่า มันโอเคที่จะรู้สึกแบบนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต

ถ้าคุณรู้สึกอ่อนไหว ถ้าคุณรู้สึกไม่มีใคร คุณก็มีผม คุณมีทุกคนที่อยู่ตรงนั้นกับคุณ และเราจะผ่านมันไปด้วยดี

ชวนคนไปคอนเสิร์ตหน่อย

วันที่ 25 เมษายนนี้ เจอกันที่คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของอะตอมครับ House Of Heart จัดที่ Impact Exhibition Hall 5 เริ่มขายบัตร 31 มกราคมนี้แล้ว มีวีไอพีด้วยนะ วีไอพีมีจำกัด จะเตรียมของไว้ให้อย่างแน่น ๆ เลย อยากให้ทุกคนมาครับ มันจะเป็นคืนที่ดีของพวกเรา ผมสัญญา อยากจะเจอทุกคน ไม่อยากให้พลาด เพราะจะจัดแค่รอบเดียวนะ!

PHOTOGRAPHER: Warynthorn Buratachwatanasiri

 

 

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line