Entertainment

HERO: ‘บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ’ ผู้กำกับนอกกรอบกับบทสนทนานอกรอบเคล้ารสเบียร์

By: PSYCAT May 30, 2017

แม้กระแสหนังเรื่องฉลาดเกมส์โกง หนังเรื่องล่าสุดจากค่าย GDH จะเริ่มซาลงไปบ้างแล้ว ในวันที่เราเดินฝ่าฝนยามบ่ายมุ่งหน้าไปยังบาร์เบียร์ย่านพัฒน์พงษ์ เพื่อคุยกับผู้กำกับที่กำลังฮอตที่สุดในขณะนี้ แต่บทสนทนาที่เราได้แลกเปลี่ยนกันยิ่งตอกย้ำให้เรามั่นใจว่า เขาจะต้องสร้างกระแสใหม่ ๆ ให้กับวงการภาพยนตร์ไทยได้อีกหลายระลอกแน่นอน

เมื่อ‘บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ’ผู้กำกับหนุ่มมาถึง UNLOCKMEN จึงไม่รอช้า สั่งเบียร์แก้วใหญ่มาตั้ง เพื่อที่เราจะรับรองได้ว่านี่คือบทสนทนานอกรอบ สบาย ๆ ที่จะแสดงตัวตนที่ไม่ติดอยู่ในกรอบของผู้กำกับคนนี้ และวิธีคิดที่สร้างเขาขึ้นมาเป็นผู้กำกับมากความสามารถอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน

อย่าช้าอยู่เลย มา มาฟังบทสนทนานอกรอบจากผู้กำกับนอกกรอบเคล้ารสเบียร์ขม ๆ ไปด้วยกัน

17-5-31-baz-11

UNLOCKMEN: อยากให้แนะนำตัวเองหน่อย เผื่อมีคนไม่รู้ว่าคุณคือใครหรือทำอะไรอยู่

ชื่อ บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ เป็นพี่ชายน้องจูนจูนครับ (ยิ้ม) แล้วก็เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ครับตอนนี้

UNLOCKMEN: ที่ต้องแนะนำว่าเป็นพี่ชายจูนจูนนี่เพราะเชื่อว่าทุกคนจะรู้จักจูนจูนมากกว่าเราใช่ไหม?

ใช่ครับ ก่อนหน้านี้ทุกคนจะแบบว่า เออ นี่พี่ของจูนจูนใช่มั้ย ไม่ค่อยรู้จักชื่อเรา

UNLOCKMEN: วินาทีแรกในชีวิตที่เราอยากเป็นผู้กำกับ เราจำมันได้มั้ยว่ามันคือตอนไหน แล้วเรารู้สึกอะไรบ้าง?

จำได้ ตอนนั้นพี่น่าจะอยู่ประมาณ ม.1 ได้ดูหนังเรื่อง Goodfellas ซึ่งจริง ๆ ก่อนหน้านี้เราเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้ว พอดีที่บ้านญาติทำร้านเช่าวีดีโอแล้วตอนเด็ก ๆ คลุกคลีอยู่ในร้าน จำได้เลยว่าจะมีม้วนมาสเตอร์ที่ส่งมาจากต่างประเทศ ก็จะมารับเป็นม้วนวีดีโอแล้วให้คนอื่นเช่า เราก็ชอบไปนั่งดูหนัง รื้อหนังเก่า ๆ มาดู แต่ส่วนมากมันจะเป็นการดูเพื่อความบันเทิง

17-5-31-baz-10

จนกระทั่งได้มาดูหนังเรื่อง Goodfellas ผู้กำกับคือ Martin Scorsese เป็นหนังปี 1990 แต่ปีที่เราดูน่าจะหลังจากนั้นนิดนึง ดูแล้วเราก็รู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมมันดีวะ เราอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ แต่เรารู้สึกว่าทำไมหนังเรื่องนี้มันแตกต่างจากหนังแอคชั่น หนังผีที่เราดูมาก่อน

ดูเสร็จแล้วก็จำได้เลยว่ากรอม้วนวีดีโอกลับไปดูอีกรอบหนึ่ง แล้วก็จำได้ว่าเราไม่สนใจหนังเรื่องอื่นเลย เราอยากดูแต่หนังเรื่องนี้ กลับจากโรงเรียนตกเย็นมาก็มานั่งดูทุกวัน จำซาวนด์แทร็กได้ จำโมเมนท์ได้ แล้วก็รู้สึกว่าหนังมันมีเสน่ห์น่าสนใจ

มันเลยเป็นครั้งแรกที่ทำให้เรามองหนังเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่แค่ให้ความบันเทิงแล้ว มองหนังว่า เฮ้ย มันมีมิติว่ะ มันเท่ มันสามารถสร้างเอฟเฟคต์บางอย่างให้กับคนได้จริง ๆ นะ แล้วก็เลยทำให้เราอยากเป็นผู้กำกับ

17-5-31-baz-9

UNLOCKMEN: นับตั้งแต่วันนั้นที่คุณบอกว่า คุณเริ่มมองหนังเป็นอย่างอื่น แล้วตอนนี้คุณมองว่าหนังที่คุณทำเป็นอะไรสำหรับวงการหนังตอนนี้?

เรายังอยากมองภาพตัวเองเป็นคนทำผัดกะเพราอยู่ ในตลาดนี้นะ ยังอยากทำรสชาติแบบไทยสไตล์ กินง่าย แต่ก็จะพยายามเลือกใช้วัตถุดิบที่แปลกหน่อยแล้วกัน สมมติว่าเขาสั่งกะเพราไข่ดาวใช่ไหม เราอาจจะใช้เนื้อแพะอะไรอย่างนี้ แบบลองดู อร่อยหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่า ถ้ามันมีกะเพราไก่เยอะแล้ว ก็ลองรสชาติอื่น ๆ ดูบ้างก็ได้

UNLOCKMEN: แล้วการใช้เนื้อแพะ เป็นวัตถุดิบ ในการทำหนังนี่มันเวิร์คมั้ย เท่าที่คุณได้ลองทำหนังมา 2 เรื่อง?

ก็เวิร์คในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายเราคิดว่ามันก็คงไม่หยุดแค่นี้นะ ไม่รู้เรื่องหน้าอาจจะมีเนื้อจระเข้ก็ได้ ลองดู

17-5-31-baz-7

UNLOCKMEN: แล้วนับตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นผู้กำกับ มีอะไรที่คุณทำเป็นประจำแล้วรู้สึกว่านี่มันมีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้คุณกลายมาเป็นผู้กำกับอย่างทุกวันนี้?

ดูหนัง ดูหนังอย่างเดียวเลย เป็น The only thing จริง ๆ ด้วยความฉิบหายวายป่วงบางอย่างในชีวิตทำให้เราไม่ได้เรียนหนัง จริง ๆ ตั้งใจว่าจะเรียนนะ ตั้งแต่ดูหนังเรื่อง Goodfellas ก็อยากเป็นคนทำหนัง อยากเรียนหนังมาตลอด แต่ด้วยอะไรบางอย่างก็ทำให้เราไม่ได้มีโอกาสเรียน ตั้งแต่มัธยม

โอเค มัธยมอาจไม่ต้องพูดถึงเพราะการศึกษาระดับสามัญของเมืองไทย ไม่มีอะไรพวกนี้อยู่แล้ว แต่พอเข้ามหา’ลัย ก็เข้าคณะผิด ไปเข้าคณะแบบการแสดงและกำกับการแสดงโดยที่ไม่รู้ว่า ไอ้ห่า แม่งเป็นละครเวทีว่ะ มันไม่ใช่หนัง เราก็ไม่ได้จับกล้องเลย แล้วไปเรียนต่อเมืองนอก ก็แพลนไว้ว่าจะไปเรียนหนัง ปรากฏว่าไปแล้วก็เรียนไม่ไหว เพราะค่าเรียนมันแพงมาก

สุดท้ายเลยกลายเป็นคนทำหนังที่ไม่เคยได้เรียนเรื่องหนังมาก่อน แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราทำมันได้ ก็คือการดูหนังนี่แหละ ครูพักลักจำมา เราถือว่าหนังทุกเรื่อง ผู้กำกับทุกคนเป็นอาจารย์ที่สอนเรา

17-5-31-baz-5

UNLOCKMEN: ข้อดีของการทำหนังโดยที่เราไม่เคยเรียนอะไรเกี่ยวกับหนังมาเลยคืออะไร? สำหรับคนที่รู้สึกว่า เฮ้ย ก็อยากทำหนังว่ะ แต่ก็ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เหมือนกัน

ก็พูดยากเหมือนกันนะ พอเราไม่ใช่นักเรียนหนัง เราก็ไม่รู้ว่าการได้เรียนมันอาจจะดีกว่าหรือเปล่า ถ้าเราได้เรียนพี่ก็อาจจะทำงานเยอะกว่านี้ ทำงานดีกว่านี้ก็ได้

แต่สำหรับเรา เรามองว่า พอมันเป็นงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นหนัง เป็นเพลง เป็นอะไรก็แล้วแต่ ศิลปะมันไม่มีถูกผิดอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องรสนิยม เป็นเรื่องความรู้สึกส่วนตัวของคนทำ ณ จุดนั้น หรือของคนดูงานบางคน ณ จุดนั้น

เพราะฉะนั้นข้อดีของการไม่เรียนหนังอาจจะเป็นการทำให้เรากล้านี่แหละมั้ง คือพอเราไม่ติด ไม่มีระบบ ไม่มีความรู้ชัดเจนว่าอะไรคืออะไร เราก็จะกล้าลงมือทำ เชื่อความรู้สึก เชื่อสัญชาตญานตัวเองมากขึ้น

Untitled-1a

UNLOCKMEN: แล้วจากคนที่ไม่เคยเรียนหนัง เส้นทางการเป็นผู้กำกับมันเริ่มขึ้นได้อย่างไร?

อาศัยความหน้าด้านหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยฮะ ก็ไปสมัครบริษัทโฆษณาในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับ โดยที่ไม่มีความรู้เลยนะ จำได้ว่าออกกองวันแรก เจ้านายตะโกนแบบว่า เฮ้ย บาส มึงมาหาโฟร์กราวด์ให้กูหน่อยดิ แล้วเราก็แบบโฟร์กราวด์มันคือเหี้ยอะไรวะ เราก็ต้องหันไปถามพี่ตากล้องว่าคืออะไร

เดือนแรกนี่คือโดนด่าตลอดเวลา โดนด่าทุกวัน ทำงานไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่เราก็คิดว่านี่คือโอกาสที่ได้ใกล้ชิดการทำหนังมากที่สุดในชีวิต เราไม่อยากเสียมันไป ไม่อยากปล่อยมันไป ก็เลยทู่ซี้ อดทนทำมัน จนเริ่มผ่านไปเดือนนึง ครึ่งปี หนึ่งปี เราก็เริ่มทำได้ เจ้านายเริ่มไว้ใจ จนกระทั่งปีที่ 2 ของการทำงาน เจ้านายก็เริ่มโยนงานกำกับเล็ก ๆ มาให้

เลยได้เริ่มกำกับเอง คิดบอร์ดเอง อยู่กับลูกค้าเอง ตอนนั้นอายุประมาณ 23-24

17-5-31-baz-1

UNLOCKMEN: โห มันมหัศจรรย์มากเลยนะ การที่เรากระโดดเข้าไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับทั้ง ๆ ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการกำกับเลย คุณเผชิญหน้ากับความกลัวในแต่ละวันได้อย่างไร?

เพราะเรามีแพสชั่นไง ถ้าพูดแบบน้ำเน่า ๆ หน่อยก็เพราะเรามีความฝัน ซึ่งมันก็จริงนะ เพราะเราก็เป็นแบบเด็กเนิร์ด ที่อยากทำหนังมาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความผิดพลาดส่วนตัวมันทำให้เราไม่เคยได้ใกล้โอกาสแบบนั้นเลย

มันทำให้พอเรารู้ว่าเจ้านายเราที่เขารักเรา โดยที่เค้ารู้ว่าเราไม่รู้พื้นฐานอะไรพวกนี้เลย แล้วเขาก็ให้โอกาสเรา เพราะฉะนั้นเราจะยอม give up กับโอกาสครั้งนี้เพราะแค่โดนดุไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ควรจะโดนดุอยู่แล้วด้วย

เอาจริง ๆ เราว่าคนเราจะเรียนรู้อะไรบางอย่างมันจะมีโมเมนท์ลองผิดลองถูก และมันจะต้องมีคนที่คอยบอกเราว่า เฮ้ย สิ่งที่มึงทำ ผิดอยู่นะ ต้องทำแบบนี้ แบบนี้ แบบนี้ ด้วยวิธีการและท่าทีที่แตกต่างกันไปแค่นั้นเอง ต่อให้เราอยู่ในมหาลัย อาจารย์ก็จะดุเรา เราก็เลยคิดว่านี่ก็เหมือนเป็นการเทคคอร์สการเรียนทำหนังของเรา

UNLOCKMEN: การเป็นผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จในสายตาคุณคืออะไร?

สำหรับเรา คำว่าความสำเร็จมันพูดยากมากเลยนะ เพราะมาตรฐานแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สำหรับเรา ความสำเร็จมันไม่ตายตัว หมายถึงว่าเราคิดว่ามันเป็นแค่เป้าหมายในแต่ละช่วงของชีวิต เช่น เราก็เคยอยากทำหนัง เคยตั้งเป้าไว้ว่าอายุ 30 ต้องได้ทำหนังสักเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็โชคดีได้ทำ ซึ่งจะคิดว่านี่คือสำเร็จแล้วก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็คิดว่ามันยังไม่ใช่ที่สุด เราก็เลยอยากทำเรื่องต่อไปให้แม่งดีกว่านี้

หรืออย่างก่อนหน้านี้เรากลัวการขายงานลูกค้า คือทำงานโฆษณาแล้วรู้สึกว่าการขายงานลูกค้าแม่งยากจังเลย แต่พอทำหนังไปแล้ว สเต็ปต่อไปก็คือถ้าเราเอาชนะการขายงานได้ ก็ลองทำดู เพราะฉะนั้นสำหรับเราความสำเร็จมันคือการพยายามเอาชนะตัวเองในสเต็ปต่าง ๆ ของชีวิตมันไปเรื่อย ๆ แบบนี้ แล้วก็พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ

BadGenius10

UNLOCKMEN: พูดถึงการพัฒนาตัวเอง คุณมีวิธีการพัฒนาตัวเองในวันที่โลกของการทำหนังมันดูหลากหลาย มันดูเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วอย่างไร?

ดูให้เยอะขึ้น เสพให้เยอะขึ้น ทำตัวให้เป็นวัยรุ่นตลอดเวลา นึกถึงภาพเราตอนเป็นวัยรุ่น เป็นช่วงที่บ้าดูหนังมาก เป็นช่วงที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ยังไม่มียูทูป ยังไม่มีหนังสตรีมมิ่งออนไลน์เลย

การดูหนังของเรามันลำบากมากเลยนะ กว่าจะหาหนังอย่าง Trainspotting ดูนั่นหมายความว่าเราต้องนั่งรถเมล์จากบ้านไป เก็บตังค์ทั้งอาทิตย์ อดข้าวเพื่อไปซื้อวีดีโอหนึ่งม้วนในราคา 160 บาท มันยากมากสำหรับความเป็นเด็กในขณะนั้น แต่เรายังทำได้เลย

พอเห็นโลกปัจจุบันนี้ การเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนัง เพลง หนังสือ มันง่ายขึ้นเยอะมาก เราเลยรู้สึกว่าน่าอิจฉานะ มันสะดวกขนาดนี้ แล้วอะไรหยุดเราไว้ล่ะ? เราอาจจะเคยทำงานมาแล้ว แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วได้ เราจะทำตัวเป็นเด็กไม่รู้เรื่อง ใฝ่รู้ตลอดเวลา เราก็ทำได้ สุดท้ายแล้วเราเชื่อว่าการทำแบบนี้มันจะพัฒนาผลงานของเราไปได้เรื่อย ๆ

17-5-31-baz-8

UNLOCKMEN: ถ้ามีคนมายืนอยู่ตรงหน้าแล้วบอกว่า พี่ ผมอยากเป็นผู้กำกับแบบพี่ มันมีอะไรมั้ยที่ผมทำ แล้วผมจะเป็นแบบพี่ได้ คุณจะบอกเขาว่าอะไร?

(นิ่ง) พูดยากจัง (หัวเราะ) คือเราก็ไม่ได้เติบโตมาตามระบบอะไร ถ้าจะให้บอก ก็คงจะบอกว่าอย่ายอม อย่า give up อย่าท้อ มันฟังเหมือนน้ำเน่านะ แต่มันใช้ได้ผลกับเรานะ

ความรู้สึก เหี้ย ทำไมมันไกลจังวะ ทำไมมันยากจังวะ ทำไมคนอื่นเค้าทำได้กันวะ เราแม่งห่วยนี่หว่า แต่ถ้าตั้งใจจริง ๆ มุ่งมั่นจริง ๆ เราเชื่อว่าไม่ว่าจะใช้เวลานานขนาดไหน สักวันมันจะมาถึง ตั้งใจทำ ซื่อสัตย์กับสิ่งที่ตัวเองทำ

แล้วก็เป็นตัวเอง ยิ่งช่วงนี้การเข้าถึงสื่อต่าง ๆ มันง่ายมาก คนเสพงานเยอะขึ้น คนเห็นงานเยอะขึ้น มันง่ายมากที่ตัวเราจะโดนกระแสเหล่านี้ทำให้โอนเอน

แต่ในฐานะศิลปิน คนเขาไม่ได้ซื้องานคุณเพราะงานของคุณเหมือนของพี่คนนี้จังเลย เขาซื้อคุณเพราะคุณทำอะไรบางอย่างที่แตกต่างและเป็นตัวตนของคุณจริง ๆ มันอาจจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายกับงานที่เคยเห็นมาอันนี้เป็นเรื่องปกติ เราคิดว่านี่คือเมล็ดพันธุ์ที่มีส่วนทำให้เราเติบโต แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นตัวเอง ทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ

17-5-31-baz-2

UNLOCKMEN: นั่นคือในแง่ความคิด ความเชื่อที่จะหล่อเลี้ยงเราไปจนถึงวันที่เราสำเร็จ แล้วถ้าในแง่การลงมือทำล่ะ ถ้าใครสักคนอยากเป็นผู้กำกับ มันจะเริ่มจากการหยิบจับอะไรได้บ้าง? ควรเริ่มจากตรงไหน ถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ ตัดต่อ เขียนเรื่องราว หรืออะไร?

จริง ๆ การเป็นผู้กำกับ การทำหนังมันก็มีหลายแบบนะ เพราะหนังมันก็มีหลายแบบ มันมีหนังที่บทดีชิบเป๋งเลย เขียนคาแรคเตอร์เขียนบทเขียนรายละเอียดตัวละครดีมาก หนังบางเรื่องโชว์เทคนิค อย่างแรกก็คือหาให้เจอให้ได้ก่อนว่าจุดแข็งตัวเองอยู่ตรงไหน เพราะสิ่งพวกนี้ไม่มีถูกผิดเลยนะ

ถ้าถามเราว่ามันควรจะเริ่มจากการหยิบจับอะไร ง่าย ๆ เราคิดว่าหนังคือการเล่าเรื่องนะ เล่าเรื่องหรือเล่าไอเดียอะไรบางอย่างให้คนดูเข้าใจ ฟังในสิ่งที่เราจะพูด หรือดูในสิ่งที่เราจะเล่าได้ เพราะงั้นก็หยิบไอโฟนขึ้นมา ไอโฟนนี่แหละ แล้วถ่ายเลย

หลายครั้งที่เราถ่ายเอ็มวีแล้วเรามีบท แต่มันอยู่ในหัวหมดเลยนะ แล้วเราก็อย่างนี้แหละ ไปกับทีมงาน ถ่ายเลย ลุย โดยไม่มีสคริปต์อะไรมาเป็นตัวกำหนด มันก็ได้ผลที่น่าสนใจไปอีกแบบหนึ่ง ถ้าให้เราแนะนำจริง ๆ เราว่าก็นี่แหละ หยิบไอโฟนขึ้นมา เอาแบบเริ่มต้นแบบเร็ว ๆ ไปเลย สเต็ปต่อไปเราค่อยเรียนรู้กันต่อ

17-5-31-baz-14

UNLOCKMEN: ส่วนตัวคุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ผู้กำกับไม่ควรทำบ้างหรือเปล่า?

ไม่ควรเป็นน้ำเต็มแก้ว ควรเป็นน้ำครึ่งแก้ว อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว อย่าคิดว่าตัวเองถึงจุดสูงสุดของอาชีพแล้ว ไม่มีจุดนั้น จุดสูงสุดของอาชีพคุณคือวันที่คุณตาย แล้วคุณไม่ได้ทำงานอีกต่อไป

มันสามารถพัฒนาตัวเองไปได้เรื่อย ๆ ในไดเรคชั่นที่แตกต่างกันไป หนังมันเป็นศิลปะที่เป็นสายน้ำมันไปได้ทุกทิศทุกทางและสวยงามได้ในแบบของมัน วันหนึ่งคุณอาจเติบโตมากับการทำหนังตลก คุณทำหนังตลกไป 10 เรื่อง ถึงจุดหนึ่งคุณอาจจะแบบว่า เออ อยากทำดราม่าบ้างว่ะ ก็ทำได้ นั่นแหละคือความสวยงามของมัน

UNLOCKMEN: อะไรคือสิ่งที่คุณคิดว่ายากและท้าทายที่สุดของการเป็นผู้กำกับ?

การเอาชนะความกลัวของตัวเอง ทำไมพูดแล้วน้ำเน่าอีกแล้ววะ (หัวเราะ) มันน้ำเน่าจริง ๆ นะ คืออย่างเรา เราเกิดมาเป็นเด็กที่แบบว่าโคตรขี้อายเลยนะ การมีปฏิสัมพันธ์กับคนมันยากมาก ๆ สำหรับเรา แล้วจำได้ว่าตอนออกกองวันแรกนี่เราแบบพูดเสียงเบามากจนผู้ช่วยด่า ความมั่นใจอะไรก็ไม่มี เพราะเรากลัวไง

เรารู้สึกเราไม่มีความรู้ เราไม่ได้เรียนหนังมา เราพูดอะไรออกไปเราจะผิดมั้ยวะ คนเหล่านี้เขาแก่กว่าเรา เก่งกว่าเราเยอะแยะ สุดท้ายแล้วคือสิ่งที่เราได้เรียนรู้คือเราทำงานศิลปะ ข้อดีของมันก็คือมันไม่มีถูกไม่มีผิด มันไม่เหมือนหนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง นึกออกป้ะ

ในงานศิลปะมันมีมิติมากกว่านั้น เพราะฉะนั้นคุณแค่ชัดเจนในตัวคุณ ชัดเจนในสิ่งที่คุณต้องการ แล้วทำไปเลย สื่อสารให้ได้กับทีมงาน กับนักแสดงหรือกับใครก็ไม่รู้ที่ทำงานร่วมกับคุณ แล้วทำให้ภาพในหัวเรามันออกมาโดยที่ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องมีกรอบอะไร แล้วผมว่าอันนี้มันเอาไปปรับใช้ได้กับทุกอย่างในชีวิตนะ

17-5-31-baz-6

UNLOCKMEN: แล้วตอนนี้คุณยังมีความกลัวว่าทำหนังออกมาแล้วคนจะไม่ชอบอยู่ไหม? แล้วคุณรับมือกับความกลัวนั้นอย่างไร?

จริง ๆ มันก็กลัวหมดแหละ อันนี้เป็นธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์นะ การที่มีคนมาบอกว่าพี่เก่งจังเลย อันนี้มันเป็นขนมหวานมาก การโดนด่าเราก็จะเจ็บปวด แต่ถึงจุดหนึ่งของชีวิตเราก็จะรู้ว่า เอาจริง ๆ พวกนี้ไม่มีผลอะไรกับเราเลยนะ

อ่ะ โอเค การมีคนชมเรา เรารู้สึกขอบคุณมาก ๆ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ควรไปยึดติดกับมัน เพราะว่ามันก็มีความมายาประมาณหนึ่ง

สุดท้ายสิ่งที่จะบอกได้ว่างานมันดีหรือยังก็คือตัวคุณเอง ยิ่งถ้าคุณเป็นผู้กำกับที่อยู่กับหนังมานาน ๆ เข้า ยิ่งดูงานตัวเองหลาย ๆ รอบ มันจะยิ่งเห็นแผล ไอ้แผลที่เราดูรอบแรกมันเป็นแค่รอยถลอกอ่ะ ดูรอบที่ 10 แม่งเป็นแผลเป็นแล้ว เหวอะหวะมาก

เพราะฉะนั้นก็คือต้องเอาชนะมันไปให้ได้เรื่อย ๆ แล้วก็ไม่ว่าจะเป็นคำชมหรือคำด่า มันก็ดี แล้วมันก็ส่งผลต่อตัวเราเองหมด แต่อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับมันจนเสียโอกาสในอนาคตไป

UNLOCKMEN: คุณคิดว่าซักวันหนึ่งคุณจะเบื่อกับการทำหนังไหม? คิดว่าจะทำมันไปได้ตลอดชีวิตหรือเปล่า?

ณ ขณะนี้คิดว่าไม่น่าเบื่อนะ เพราะดูแล้วเราก็ไม่น่าจะทำอะไรเป็นนอกจากนี้ (หัวเราะ)

UNLOCKMEN: มีความสามารถอะไรที่เราอยาก UNLOCK ให้ตัวเองอีกไหม?

มีนะ คืออย่างที่บอกเราโตมากับการชอบดูหนัง แล้วเราก็ดูหนังได้หลายแบบมาก ๆ แล้วทุกงานที่ทำปัจจุบันเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นหนัง เอ็มวี โฆษณา มันจะทำเพื่อเบสออนอะไรบางอย่าง เช่น ชิ้นนี้เราทำเพื่อทริบิวท์ให้หนังโรแมนติกที่เราเคยชอบดู เราทำมันตามโจทย์นั้น หรืองานชิ้นนี้เราอยากทำให้เหมือนหนังวัยรุ่นยุค 80 เราก็จะทำตามโจทย์นั้นตลอดเวลา

แต่ทีนี้มันมีหนังประเภทหนึ่งที่เราไม่กล้าแตะเลยคือหนังตลก ไม่กล้าแตะเลย กลัว กลัวทำออกมาแล้วไม่ตลก ซึ่งเราจะชื่นชมคนอย่างเมษ ธราธร (ผู้กำกับ I fine…thank you love you, ATM เออรัก เออเร่อ) ที่ทำหนังตลกได้ เราก็จะรู้สึกว่าไปเอาความมั่นใจเหล่านี้มาจากไหนวะ อาจจะเป็นเพราะว่าหนังตลกมันเห็นฟีดแบ็คจากคนดูได้ชัดมากเลย ตลกคือตลก ฮาก็คือฮา มันแบบชัดเจนมาก ๆ

ก็เลยคิดว่าในอนาคตก็อยากจะทำนะ ในวัยที่กล้ากว่านี้ ปล่อยวางกว่านี้ หรือตลกกว่านี้

17-5-31-baz-4

UNLOCKMEN: คุณคิดว่าคุณสมบัติ 3 อย่างที่คนเป็นผู้กำกับควรมีในโลกปัจจุบันคืออะไร?

ง่าย ๆ เลย เราว่าต้องออกกำลังกายนะ

UNLOCKMEN: ออกกำลังกายเนี่ยนะ?

สำคัญมากเหมือนกันนะ มันจะมีช่วงหนึ่งที่เรารับงานโฆษณาเยอะ ๆ พอรับเยอะ ก็เครียดเยอะ แล้วก็กินเบียร์ตอนถ่าย แล้วก็ไปบล็อคช็อตโลเคชั่น แล้วอยู่ดี ๆ ก็แขนชา ขาชา จนต้องบอกผู้ช่วย บอกทีมงาน เฮ้ย ไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าร่างกายมันไม่ไหวแล้ว มันแบบไม่ได้นอน ไม่ได้อะไร เลยรู้สึกว่าต่อให้เราจะฟิตขนาดไหนในทางชีวภาพ ถ้ากายภาพแม่งไม่ไหว มันก็ไม่ไหวจริง ๆ ว่ะ ก็เลยเริ่มลดเบียร์ ออกกำลังกาย ซึ่งก็ช่วยนะ พอร่างกายมันแข็งแรงขึ้นทุกอย่างมันก็เฟรชขึ้น

UNLOCKMEN: โอเค อย่างต่อไปคืออะไร?

อย่างที่สองคือต้องมีวินัย สำหรับเรา เรารู้สึกว่ายิ่งแก่ ยิ่งวินัยน้อยลง ถ้าไม่มีวินัยในการทำงาน มันส่งผลต่ออะไรหลาย ๆ อย่าง ส่งผลต่อทีมงาน ส่งผลต่อลูกค้า ส่งผลต่อภาพรวมของชีวิต

เอาจริง ๆ พวกผู้กำกับต้องถูกมองว่าติสต์ใช่มั้ย เออ ก็ติสต์ได้แหละ แต่วินัยพื้นฐานในการทำงานบางอย่าง เช่น นัดกันว่าจะส่งงานวันนี้ ตัดหนังให้เสร็จภายในวันนี้ ก็ต้องพยายามทำให้มันเป็นไปตามนั้นได้จริง ๆ

อย่างที่สาม เราว่าต้องเข้าใจมนุษย์เยอะ ๆ เข้าใจคนเยอะ ๆ อย่าคิดว่าตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล มองคนแล้วพยายามเข้าใจเขา สิ่งเหล่านี้มันจะส่งผลต่อการคิดงาน ต่อการทำงาน ต่อการคิดตัวละครของเราหมดเลย เพราะฉะนั้นมันคือการเข้าใจมนุษย์น่ะ ตัวละครของเรามันคือการที่เราไปอยู่กับเขาตั้งใจดูเขาให้ลึกขึ้น แล้วเราจะเห็นแง่มุมต่าง ๆ มันงดงาม และมันน่าหยิบมาบอกเล่าต่อ

17-5-31-baz-3

UNLOCKMEN: สุดท้าย ตอนนี้ถ้ามีคนสักคนกำลังท้อกับความฝันที่จะเป็นผู้กำกับ คุณจะบอกเขาว่าอะไร?

ต้องถามว่าท้อเพราะอะไรก่อน เหตุผลในการท้อ ท้อเพราะอะไร สมมติคุณท้อเพราะว่าทำหนังออกมาแล้วมีแต่คนด่า คุณท้อเพราะไม่ได้รับการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองทำ เราก็อยากให้เขาย้อนกลับไปถามตัวเองว่า ชอบทำหนังเพราะอะไร? ตกลงอยากทำหนังเพราะอยากได้รับคำชมหรอ? มันไม่ใช่ไง ถูกป้ะ?

เราอยากทำหนังเพราะเรามีความเข้มข้นบางอย่างในชีวิตเราที่เรารู้สึกว่าถ้ากูไม่ได้เล่า ไม่ได้พูด ไม่ได้ทำหนังแล้วกูจะระเบิดว่ะ บางทีการทำหนังสำหรับคนทำงานมันเป็นแค่การระบายออกของสิ่งเหล่านี้เองนะ แล้วเราเชื่อว่าถ้าคุณตั้งใจทำจริง ๆ จากคนดู 100 คน ยังไงมันก็ต้องมีคนชอบ แต่จะมากจะน้อย ฟีดแบ็คแตกต่างกันไป

แต่สำหรับเรา งานศิลปะ แค่มันเปลี่ยนคนแค่คนเดียว นี่มันโคตร success แล้วนะ คือมันไม่ต้องเปลี่ยนคน 100 คน แค่เปลี่ยนคนเคนดียว ทำให้คนคนหนึ่งมีมุมมองที่เปลี่ยนไป เข้าใจชีวิตมากขึ้น เข้าใจตัวเองมากขึ้น คุณ success แล้ว

เมื่อบทสนทนาจบลงพร้อมกับเบียร์ในแก้ว เราก็เชื่อว่าความฝันของหลายคนก็อาจถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหลได้ใหม่อีกครั้ง หลังจากได้ฟังเรื่องราวของ HERO ของ UNLOCKMEN คนนี้  บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line